ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 70 กล่าวโทษ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เปี๋ยเทียนซินตายแล้วอย่างนั้นหรือ แม้ว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาจะไม่สูงพอจะติดอยู่ในกลุ่มอัจฉริยะที่แท้จริงอย่างพวกที่อยู่บนประกาศเซียวเหยากับประกาศเตี่ยนจิน เขาก็ยังเป็นคนดังในต้าลู่

สุดท้ายแล้วไม่ใช่ทุกคนเป็นเหมือนเขา มีพ่อแม่เป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงแล้วนอกจากลั่วลั่วแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก

คนแบบนี้ตายแล้ว ใครกันที่กล้าฆ่าเขา

เมื่อพวกเขาคิดถึงคำถามนี้ คนพันกว่าคนบนที่ราบสูงก็หันไปทางเฉินฉางเซิงอีกครั้ง

ทุกคนรู้ว่าเฉินฉางเซิงกับนิกายหลวง หรือพูดให้เจาะจงก็คือสำนักฝึกหลวงมีความแค้นล้ำลึกกับแม่ลูกอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยเทียนซิน

และคนที่กล้าฆ่าเปี๋ยเทียนซินอีกทั้งยังมีความสามารถที่จะทำ…ก็มีน้อยคนนักในต้าลู่ที่จะทำได้ นอกจากสังฆราชแล้วจะมีใครอีก

เฉินฉางเซิงเห็นประกายความเสียใจในดวงตาเปี๋ยยั่งหง ก็รู้ว่าอู๋ฉยงปี้พูดความจริง เปี๋ยเทียนซินตายแล้ว

เขาใจหายวูบเมื่อตระหนักว่าเรื่องวันนี้เป็นปัญหายิ่งกว่าที่เขาใช้เพลงกระบี่รอบรู้คำนวณไว้เมื่อวาน

หลายปีก่อนในจิงตู พระราชวังหลีได้จัดให้มีการประลองระหว่างสำนักขึ้น เขากับสำนักฝึกหลวงเคยมีความขัดแย้งกับเปี๋ยเทียนซินและคนรับใช้ของเขา ในตอนนั้นเปี๋ยยั่งหงส่งจดหมายให้ซูม่ออวี๋ทันเวลา ให้เขาย้ายจากสำนักจวนพระราชวังหลีมาสำนักฝึกหลวง ทำให้สถานการณ์สงบลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นอู๋ฉยงปี้ก็บุกเข้าสำนักฝึกหลวงยามค่ำคืน ตั้งใจจะฆ่าเซวียนหยวนผ้อเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของนาง แต่จบลงด้วยการถูกจดหมายของซูหลีไล่ตีราวกับหมาจรจัด

ในเหตุการณ์ทั้งสองเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาเสียหายอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดเรื่องการล้างแค้นอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยเทียนซิน เมื่อเวลาผ่านไปมีเรื่องที่สำคัญมากมายเกิดขึ้น เขาถึงกับแทบจะลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้ว ไม่กี่วันก่อนตอนที่เขาพบเปี๋ยเทียนซินในเมืองฮั่นชิว เขาไม่เหลือบมองด้วยซ้ำ

“ข้าขอให้ท่านช่วยอธิบายให้ชัดเจนด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น” เฉินฉางเซิงกล่าวกับเปี๋ยยั่งหง

เปี๋ยยั่งหงมองเขาอย่างลึกล้ำแล้วกล่าว “บุตรชายข้านั้นไม่มีค่า แต่ข้าก็ไม่เชื่อว่าเขามีความผิดถึงตาย ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อหาว่าทำไมเขาถึงได้ถูกฆ่า”

เฉินฉางเซิงตอบ “ครั้งล่าสุดที่ข้าพบเปี๋ยเทียนซินก็คือในเมืองฮั่นชิว เป็นครั้งแรกในรอบสามปี”

โก่วหานสือลุกขึ้นและกล่าว “ข้าขอให้ท่านระงับความโศกเศร้า ผู้เยาว์เชื่อว่าต้องมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้และขอให้ผู้อาวุโสช่วยบอกรายละเอียด”

เปี๋ยยั่งหงไพล่มือไว้ด้านหลังและมองไปทางแม่น้ำถงเจียงที่ไกลออกไป สีหน้าค่อยๆ เย็นเยียบขึ้นมา

“บุตรชายข้าตายเมื่อวานนี้ในแม่น้ำตรงโกรกธารที่ห่างไปยี่สิบลี้จากเมืองเฟ่งหยาง ร่างเขาถูกทำลายจนเหลือแค่ฝุ่นแล้วโยนลงแม่น้ำ หากไม่ใช่เพราะตราประทับที่ภรรยากับข้าทิ้งไว้บนตัวเขา รวมถึงวิธีการลับอีกหลายอย่าง เราก็คงไม่อาจหาเขาพบ คนร้ายโหดเหี้ยม ชั่วร้ายและพิถีพิถัน นับว่าคู่ควรให้นับถือจริงๆ”

ยอดฝีมือกล่าวชื่นชมคนร้ายที่ฆ่าลูกชายตัวเองนั้นย่อมเป็นคำประชด

ยิ่งเขาชื่นชมมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการให้คนผู้นั้นตายมากเท่านั้น ตายอย่าน่าอนาถที่สุด น่าอนาถยิ่งกว่าถูกบดกระดูกเป็นผงหลายร้อยหลายพันเท่า

ที่ราบสูงเงียบมาก ทุกคนตั้งใจฟังคำพูดของเขาอย่างจริงจัง

เมื่อได้ยินชื่อเมืองเฟิ่งหยาง ถังซานสือลิ่วกับฮู่ซานสือเอ้อร์ก็สบตากัน ความรู้สึกไม่สบายใจผุดขึ้นมาในหัวใจของพวกเขา

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไปเมืองเฟิ่งหยางมาจริง แต่หาได้พบกับบุตรชายท่าน”

เปี๋ยยั่งหงไม่ประหลาดใจที่เฉินฉางเซิงยอมรับว่าไปเมืองเฟิ่งหยาง มีผู้ศรัทธาหลายหมื่นคนเป็นพยาน ใครจะกล้าปฏิเสธ

เขามองไปที่ดวงตาเฉินฉางเซิงและถาม “หนานเค่อได้พาท่านบินข้ามแม่น้ำใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงนึกถึงภาพนั้นและกล่าว “ถูกต้อง”

เปี๋ยยั่งหงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ส่วนที่เหลือของร่างกายเขาอยู่ก้นแม่น้ำตรงจุดนั้น”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไป

ในฐานะคนที่เกี่ยวข้อง เขาย่อมรู้ว่านี่เป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้ ปัญหาก็คือแผนนี้น่ากลัวจนเขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

อู๋ฉยงปี้รุดมาข้างกายเปี๋ยยั่งหงและตะโกน “เจ้าต้องการอะไรถึงได้พูดจาไร้สาระกับเขา!”

ลมเย็นพัดผ่านที่ราบสูง พัดผมขาวของนางจนดูน่าสงสารอยู่บ้าง

เฉินฉางเซิงไม่เคยชอบนาง แต่เมื่อเห็นท่าทางโศกเศร้าของนางแล้ว เขาก็เห็นใจ “มันไม่ใช่ข้าจริงๆ”

อู๋ฉยงปี้หันกลับไปจ้องเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต ดูเหมือนพร้อมจะกัดเขา “เช่นนั้นก็ส่งนังมังกรชั่วนั่นมา”

เฉินฉางเซิงสับสนอยู่บ้างว่าทำไมอู๋ฉยงปี้ถึงได้ติดใจจี๊ดจี๊ดนักจึงถาม “มีใครเห็นว่านางฆ่าเปี๋ยเทียนซินด้วยตัวเองบ้าง”

“ไม่ ต่อให้มีคนเห็นก็คงถูกซื้อตัวไปแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องเชื่อพวกเขา”

เปี๋ยยั่งหงมองไปที่เขาและกล่าว “แต่มีหลักฐานที่ไม่อาจพูดได้ มันน่าเชื่อถือยิ่งกว่า เพราะหลักฐานนี้ไม่อาจซื้อได้ ไม่อาจปลอมแปลงได้”

กล่าวแล้วเขาก็ยื่นมือขวาออกมา

ดอกไม้แดงที่โด่งดังยังลอยอยู่บนนิ้วก้อยของเขา ลอยไปมาในสายลม

แต่ฝูงชนไม่ได้ให้ความสนใจกับดอกไม้ แต่เป็นของที่อยู่บนฝ่ามือของเขา

รัศมีดาวอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งแผ่ออกมาจากฝ่ามือ ห่อหุ้มผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กสิบกว่าเม็ดเอาไว้

ผลึกน้ำแข็งนี้ขนาดเล็กเกินไป หากอยู่ไกลสักหน่อยก็ไม่อาจที่จะมองเห็นผลึกนี้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตอนที่ผลึกน้ำแข็งนี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งที่ราบสูงก็อุณหภูมิลดต่ำลงในทันที

ชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนต้นหญ้ารอบตัวเปี๋ยยั่งหง

วัตถุใดที่มีความเย็นถึงเพียงนี้

เฉินฉางเซิงจำมันไม่ได้แต่เขาคุ้นเคยกับปราณเย็นนี้ดี

ขณะต่อมาสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป

แผนร้ายนี้ช่างยากจะแก้จริงๆ

“นี่คือลมหายใจมังกรเยือกแข็งที่มีแต่มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเท่านั้นที่ใช้ได้ มันไม่อาจเลียนแบบได้”

เปี๋ยยั่งหงมองไปที่เฉินฉางเซิงและถาม “พระองค์จะอธิบายอย่างไร”

ด้วยคำพูดนี้เสียงพูดคุยของฝูงชนก็เงียบลงอีกครั้งหนึ่ง

สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่เฉินฉางเซิง

โก่วหานสือกับรองเจ้าสำนักต้นไหวหน้าตาเคร่งเครียด

เซียงอ๋องกับขุนพลเทพคนนั้นสบตากันเงียบๆ

ไหวปี้หัวเราะเยาะ

มีคนสำคัญมากมายรู้ว่าในต้าลู่ตอนนี้มีมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่รู้ก็ได้รู้อย่างรวดเร็วจากการสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเป็นตัวละครหลักของตำนานสะพานอุดรใหม่ในจิงตู และยังเป็นผู้พิทักษ์ของเฉินฉางเซิงสังฆราชองค์ปัจจุบัน!

……

……

“ใครบอกว่าลมหายใจมังกรเยือกแข็งต้องเป็นของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง”

“ต่อให้เป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งใครบอกได้ว่ามันเป็นมังกรดำของเฉินฉางเซิง”

“เผ่ามังกรอาศัยอยู่บนหมู่เกาะในทะเลใต้ มังกรทองจากไปแล้ว แต่มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งยังอยู่ที่นั่น ใครจะไปรู้ว่ามีมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งอีกตนมายังต้าลู่หรือเปล่า”

ในบรรยากาศอันกดดัน คนที่สามารถถามคำถามเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้มีแต่ถังซานสือลิ่วเท่านั้น

เขาสัมผัสได้ว่าเรื่องวันนี้เป็นปัญหาที่ยากจะรับมือได้ ไม่ว่าเขาหรือเฉินฉางเซิงก็ไม่อาจคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ได้

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถามคำถามน่ารำคาญออกมาไม่จบสิ้น เพื่อกวนน้ำให้ขุ่นแล้วลองดูว่าจะหาทางออกได้ไหม

หลายคนมักจะไม่สนใจกับวิธีการแบบนี้ของถังซานสือลิ่ว หากตอบโต้สถานการณ์จะกลายเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมา

แต่เปี๋ยยั่งหงตอบโต้อย่างเรียบง่าย เขากล่าวอย่างจริงจังกับถังซานสือลิ่ว “ลูกชายข้าตายแล้ว อย่าได้ทำเช่นนี้”

ถังซานสือลิ่วเงียบไปเป็นเวลานานแล้วก็ถอยไป