บทที่ 544.2 คนหนุ่มสาวนับหมื่นในสายตา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นักพรตซุนที่มองดูอยู่ปวดหัวแปล๊บ เขาส่ายหน้า หมุนตัวเดินตามหวงซือไป บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกปลงกับความโชคร้ายและโมโหกับความไม่เอาไหนของเจ้าหมอนี่ เสียงในใจที่เขาเอ่ยจึงแฝงไว้ด้วยความเดือดดาล “สหายเฉิน! ต่อจากนี้จงจำตำแหน่งของตัวเองให้ดี อย่าได้เข้าใกล้เจ้าหวงซือผู้นี้มากนัก ทางที่ดีที่สุดก็ให้มีข้าผู้เป็นนักพรตคั่นกลางระหว่างตัวเองกับหวงซือ ไม่อย่างนั้นหากหวงซือเข้าประชิดตัวเมื่อไหร่ ต่อให้เจ้ามียันต์มากแค่ไหนก็เป็นได้แค่เครื่องประดับเท่านั้น ทำไมแค่หลักการตื้นเขินที่ว่าผู้ฝึกลมปราณห้ามปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเข้าใกล้ก็ยังไม่เข้าใจได้นะ?!”

“นักพรตซุน หลักการเหตุผลนั้นข้าเข้าใจ แต่พอต้องต่อกรกับหวงซือเข้าจริงๆ หัวสมองของข้าก็ว่างเปล่า มือเท้าไม่ฟังคำสั่ง มือไม้มันตามไม่ทันหลักการเหตุผลพวกนี้จริงๆ”

หลังจากคนผู้นั้นได้กระจกทองแดงบานหนึ่งไปแล้วก็เดินเร็วๆ ตามนักพรตซุนมา แล้วจึงชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ไม่มาเดินเคียงบ่ากับนักพรตซุน แต่เลือกจะเดินอยู่ข้างหลังเขาเสียเลย ฝีเท้าก้าวเดินมั่นคง นักพรตซุนถอนหายใจ แล้วก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก จะดีจะชั่วก็รู้จักเรียนรู้จากบทเรียนบ้างแล้ว ไม่ถึงขั้นไร้ทางเยียวยา

เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านหลังสุด ปาดคราบเลือดตรงมุมปากออกเบาๆ

ผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่ท่องอยู่ในยุทธภพ หากโชคไม่ดีก็มักจะถูกคนอื่นต่อยตีจนใบหน้านองไปด้วยเลือด

เฉินผิงอันกลับดีนัก ดันหาเรื่องใส่ตัวด้วยตัวเอง

แต่พอคิดถึงกระจกโบราณทองสัมฤทธิ์ที่ดูก็รู้ว่ามีอายุหลายปีบานนั้น เฉินผิงอันก็ไม่มีคำบ่นอะไรอีก

บนกระจกมีตัวอักษรที่สลักไว้เล็กมาก ด้านหน้าตรงสลักคำว่า ‘เลี่ยงภัยทางทหาร’ ด้านหลังสลักคำว่า ‘ต้านเสนียดชั่วร้าย’

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือกระจกขจัดความชั่วร้าย อีกทั้งยังทำเลียนแบบกระจกโบราณ เพราะก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็พบว่ามีตัวอักษรที่เล็กมากสลักไว้ว่า ‘ตระกูลกงเป็นผู้สร้าง’ แต่นี่กลับกลายเป็นส่วนที่ทำให้มันล้ำค่าที่สุด

เพราะการที่กล้าสลักแซ่สกุลบวกกับคำว่า ‘สร้าง’ ลงไปบนวัตถุอาคมอย่างกระจกทองแดงบานนี้ ก็เท่ากับเป็นการรับรองระดับขั้นของมัน

ในตำราเทพเซียนเล่มนั้นก็เคยมีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ในบรรดานั้นเป็นกระจกโบราณจำลองของสองตระกูล ได้แก่กระจกโบราณลายสัตว์ทะเลหมอบคลานที่สลักคำว่า ‘ร้านหลี่สร้าง’ และกระจกแสงสว่างหรือกระจกเทพเซียนท่องราตรีที่สลักคำว่า ‘น่าหลันซานซานสร้าง’ ที่มีมูลค่าควรเมืองมากที่สุด ส่วนกระจกทองแดงยุคหลังที่สร้างเลียนแบบของเลียนแบบอีกทีนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นวัตถุที่เอามาหลอกพวกผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัว ต่อให้จะสร้างขึ้นอย่างประณีตไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ยังคงเป็นหลุมพรางขนาดใหญ่ หากมีคนเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก็บสมบัติมาได้ เอาไปขายต่อราคาสูงได้ก็ยังถือว่าดี แต่หากนำมันไปหล่อหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วยความฮึกเหิม คาดว่าคงทำให้ผู้ฝึกตนเคียดแค้น กระอักเลือดไม่หยุดเป็นแน่

เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันเกือบจะอดไม่ไหว อยากให้นักพรตซุนช่วยลูบคลำดูให้ก่อน พูดกับเขาเพราะๆ ว่าขอให้ช่วยดูของให้สักหน่อย จากนั้นตนค่อยเก็บเข้าไปไว้ในห่อสัมภาระอย่างจริงจัง

มือของนักพรตซุนผู้นี้พอๆ กับสุยจิ่งเฉิงเลยทีเดียว ต่างก็มีแสงสว่างส่องบนมือมาก่อนหรืออย่างไร? (มาจากประโยคปากมีแสงสว่าง หมายถึงว่าพูดอะไรไว้ สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น)

ไม่พูดถึงผลเก็บเกี่ยวในครั้งนี้อย่างกรงไม้ไผ่สานขนาดเล็กที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นข้องราชามังกรคู่นั้น พูดถึงแค่กระพรวนเจดีย์วิเศษที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนักพรตร่างผอมสูง ก็เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นไม่ธรรมดา

ไม่อย่างนั้นตอนอยู่ข้างนอกอารามเต๋าบนยอดเขา กระพรวนเจดีย์วิเศษก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายระเบิดตัวเองเพื่อส่งสัญญาณเตือนอย่างแน่นอน

ทางฝั่งด้านหลังภูเขานี้ สิ่งปลูกสร้างเทียบกับด้านหน้าภูเขาที่ลดหลั่นเรียงรายไม่ได้ สิ่งปลูกสร้างที่เรียกได้ว่าโอ่อ่าตระการตาก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ มีแค่สามหลังเท่านั้น

ตลอดทางที่คนทั้งสามเดินลงจากภูเขามานี้ ทอดสายตามองไป เห็นสิ่งปลูกสร้างเพียงประปรายเท่านั้น

แต่กลับช่วยลดปัญหายุ่งยากไปได้ไม่น้อย

อิงตามกฎเดิม หวงซือจึงไปค้นสมบัติมุมหนึ่ง นั่นคือสิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนพระราชวังที่อยู่ตรงหน้า ส่วนนักพรตซุนก็ไปอีกจุดหนึ่ง ตรงนั้นมีหอเรือนสูงตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนเฉินผิงอันแยกไปยังหอเรือนที่อยู่ใกล้กับตีนเขามากที่สุด

หลังแยกกับนักพรตซุนมาแล้ว เฉินผิงอันก็เดินไม่เร็วนัก ราวกับกำลังสาวเท้าเดินเล่นชมทัศนียภาพของภูเขาสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มน้ำปราณวิญญาณของใบไผ่หนึ่งอึก ทำให้จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายได้ดีจริงๆ

เพียงแค่รสชาติจืดไปสักหน่อย ไม่ได้เข้มข้นเหมือนสุรา

เพียงแต่พอคิดว่าหยดน้ำจากปลายใบไผ่เขียวขจีซึ่งก็คือปราณวิญญาณที่เข้มข้นพวกนี้ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุด ราคาเหนือกว่าเหล้าหมักตระกูลเซียนไปไกลโข เขาก็พลันรู้สึกว่ารสชาติของมันยอดเยี่ยม ชวนให้คนหวนระลึกถึงอย่างไร้ที่สิ้นสุด

เมื่อดื่มอึกนี้ลงไป ไม่ใช่ว่าดื่มชาอะไร แต่เป็นการดื่มเงินเทพเซียนเข้าไปกำมือใหญ่ รสชาติจะไม่ดีได้อย่างไร?

หันหน้ากลับไปมอง ไม่เห็นเงาร่างของหวงซือและนักพรตซุนแล้ว เฉินผิงอันจึงผูกน้ำเต้าให้เรียบร้อย ค้อมตัวลง ร่างพลันพุ่งตะบึงไปเบื้องหน้า พริบตาเดียวก็ทะยานผ่านกำแพงสูง พลิ้วกายลงบนพื้น

ราวกับว่าผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน ถึงทำได้อย่างเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ไม่เกิดริ้วคลื่นที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย

……

ตรงตีนเขาของภูเขาด้านหน้า ศึกวุ่นวายตรงสะพานโค้งหยกขาวยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

หากใช้คำกล่าวพื้นบ้านของอุตรกุรุทวีปมาพูด นั่นก็คือต่อสู้กันจนเอาน้ำในสมองที่ไหลออกมา มาดื่มต่างสุราได้แล้ว และนี่ต่างหากจึงจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง

ศึกการช่วงชิงบนสะพานโค้งของศัตรูที่พบเจอกันบนทางแคบครั้งนี้ดุเดือดอย่างมาก

แม้แต่ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของแคว้นฝูฉวีที่ขึ้นเขาไปหาสมบัติก็ยังได้ยินความเคลื่อนไหว จนจำต้องปล่อยสมบัติที่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาชิ้นนั้นทิ้งไป แล้วรีบเข้ามาร่วมในสนามรบ

ทว่าผู้ถวายงานแคว้นฝูฉวีผู้นี้ก็เป็นคนมีอุบายไม่น้อย เขาเลือกสมบัติส่วนหนึ่งที่รู้สึกว่ามีค่า นำไปซ่อนไว้บนคานของหอเรือนแห่งหนึ่ง ส่วนของอื่นๆ ที่เหลือนั้นเก็บรวบใส่ห่อสัมภาระไว้ด้วยกัน แล้วขยับห่างออกมา เอาไปวางไว้ตรงมุมห้อง ถึงเวลานั้นเมื่อกลับมาที่นี่พร้อมกับป๋ายปี้และท่านโหวน้อย ก็จะไม่เผยพิรุธใดๆ ส่วนข้อที่ว่าสุดท้ายแล้วจะเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร ก็คงต้องค่อยๆ ดูกันไปทีละขั้นแล้ว

เกาหลิงเรียกเอาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารออกมาแล้ว เขาที่สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้บนร่างร่วมมือกับผู้ถวายงานของจวนโหว พยายามปกป้องจานชิงไว้ให้ได้มากที่สุด

ส่วนจานชิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งมีอาจารย์เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดก็แสร้งทำเป็นว่าตื่นตระหนกลนลาน เวทอำพรางตาอย่างการเป็นคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยถิง บวกกับคำพูดคำจาที่กำเริบเสิบสานก่อนหน้านี้ก็ล้วนใช้ได้ผลดีเยี่ยม แทบไม่มีใครเชื่อเลยว่าลูกหลานชนชั้นสูงแห่งแคว้นเป่ยถิงผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตกลางตัวจริง อีกทั้งยังได้ครอบครองสมบัติอาคมด้านการโจมตีที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ถึงสองชิ้น

สถานการณ์การต่อสู้ที่เดิมทีเอนเอียงไปข้างหนึ่ง พอผู้ถวายงานของแคว้นฝูฉวีผู้นั้นเข้ามาร่วมด้วย ก็เริ่มดึงสถานการณ์ย่ำแย่กลับมาได้เล็กน้อย

จานชิงเคียดแค้นผู้ฝึกตนหญิงที่สวมหมวกคลุมหน้า สวมชุดอาคมของนครเหนือเมฆผู้นั้นเป็นที่สุด ก็เพราะคนผู้นี้ที่นำขบวนทุกคนข้ามสะพานมา ทำลายแผนการนั่งรับทรัพย์ของเขาไปเสียสิ้น

ไม่เพียงเท่านี้ ท่ามกลางการต่อสู้วุ่นวายที่เกิดขึ้นในภายหลัง ผู้ฝึกตนหญิงที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำผู้นี้ยังรู้หนักรู้เบาเป็นอย่างดี นางทั้งไม่จับคู่ต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง แต่ก็ไม่นั่งภูดูเสือกัดกัน ไม่ปล่อยให้ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธของฝ่ายต่างๆ พาตัวไปตาย ทุกครั้งที่เกาหลิงสามารถออกหมัดสังหารคน ผู้ฝึกตนหญิงก็จะคอยยื่นมือเข้าแทรก เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป นางก็สามารถใช้สมบัติหนักด้านการป้องกันสองชิ้นช่วยชีวิตคนเจ็ดแปดคนมาจากเงื้อมมือของเกาหลิงและผู้ถวายงานของจวนโหวได้

วัตถุแห่งชะตาชีวิตด้านการป้องกันสองชิ้นของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยกเขียวที่มีประกายแสงไหลริน มันหมุนคว้างไม่หยุดอยู่นิ่ง อีกชิ้นหนึ่งคือเบาะรองนั่งสีเหลืองสดปักเป็นรูปมังกรทองห้าตัว ต่อให้เกาหลิงจะต่อยโดนมัน มันก็แค่ยุบลงไป ส่งเสียงสะบัดดังพึ่บพั่บ พายุหมัดไม่สามารถต่อยมันให้แหลกสลายได้ ทว่าทุกครั้งที่โดนหนึ่งหมัด ประกายแสงของมังกรทองห้าตัวก็มักจะหม่นหมองลงไปหลายส่วน เพียงแต่ว่ากำไลเขียวกับเบาะรองนั่งจะสลับกันลงสนามรบ เบาะรองนั่งพุ่งกลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของนาง พอถูกปราณวิญญาณแทรกซึมเข้าไป เพียงไม่นานแสงสีทองก็กลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีกครั้ง

ส่วนการล้อมโจมตีของคนอีกสี่สิบกว่าคนที่เหลือ แต่ละคนพากันเรียกสมบัติที่ใช้โจมตีออกมาอย่างพร้อมเพรียง พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม หากไม่เป็นเพราะการร่วมมือกันของผู้ฝึกตนเหล่านี้ยังมีช่องโหว่ และผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่ห้าบางคนก็ไม่กล้าต่อสู้ประชิดตัวมากเกินไปนัก ส่วนใหญ่ล้วนใช้ธนูโจมตีอยู่ไกลๆ บ้างก็ปล่อยพายุหมัดออกมารบกวนอีกฝั่งหนึ่งของสะพานโค้ง ไม่อาจร่วมมือกันอย่างแนบแน่นไร้ช่องโหว่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าพวกเกาหลิงคงจะรับมือได้ยากยิ่งกว่านี้ แต่หากผู้ฝึกตนอิสระเลือกจะลงมือทุ่มสุดชีวิตเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่จานชิงที่เห็นเลือดมาไม่มากเลย แม้แต่เกาหลิงที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพ กับผู้ถวายงานของตระกูลที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาจนเคยชินแล้วก็ยังอดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้

ผู้ถวายงานของจวนโหวถูกคนใช้สมบัติลับลอบโจมตี หน้าท้องถูกแทงทะลุเป็นรู มีเลือดสดไหลไม่หยุด เพียงแต่ว่าอาศัยเรือนกายของผู้ฝึกยุทธร่างทองจึงพอจะฝืนประคองตัวเองเอาไว้ได้ หันกลับไปมองเกาหลิงที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ในสนามรบ สำหรับการตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูที่เต็มไปด้วยปลายทวนแหลมคมนั้น ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา เป็นเหตุให้แม้จะมองดูน่าตกใจ แต่ก็ไร้อันตรายที่แท้จริง ส่วนผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีผู้นั้น สภาพกลับน่าอนาถที่สุด ถูกอาวุธวิเศษด้านการโจมตีชิ้นหนึ่งกระแทกเข้าใส่หัว หากไม่เป็นเพราะเกาหลิงช่วยใช้พายุหมัดสลายพลังของอาวุธชิ้นนั้นไปเกินครึ่ง แล้วจานชิงยังใช้สมบัติลับที่เป็นพัดพับในมือเล่มนั้น ทำให้ด้านหน้าของเขามีฉากบังตาตระกูลเซียนที่เป็นภาพคนขี่ม้าบนสะพานไม้เลียบขุนเขาท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะตกโผล่มาขวางไว้ ก็คาดว่าเทพเซียนผู้เฒ่าของแคว้นฝูฉวีผู้นี้คงต้องตายคาที่ไปแล้ว

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคนซึ่งรวมถึงเกาหลิงด้วยนั้น ต่างก็ไม่ได้กินหญ้า ต่อให้จะมีอู่ชวินแห่งจวนไช่เฉวี่ยคอยช่วยต้านทานพายุหมัดให้ แต่กระนั้นคนที่ถูกคนทั้งสองโจมตีจนตายก็ยังมีมากถึงเจ็ดแปดคน สภาพการตายน่าสังเวชอย่างยิ่ง ทุกคนต่างก็เหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยวิธีห้าม้าแยกร่างทั้งสิ้น

ดังนั้นการเร่งรุดมาถึงของป๋ายปี้เซียนดินโอสถทองของสำนักมังกรน้ำจึงไม่ใช่การเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร แต่เป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ

เพียงแต่ว่าป๋ายปี้เพิ่งจะเรียกสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตหนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตีออกมา ซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยก็ทะยานลมขึ้นสูง เป็นฝ่ายเลือกจับคู่ต่อสู้กับลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเอง

รอบเรือนกายของป๋ายปี้คือเงินเหรียญยาเซิ่งหนึ่งชุดสิบแปดเหรียญที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำมอบให้ ตัวป๋ายปี้เองคือผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ซึ่งเกิดมาก็เหมาะแก่การฝึกวิชาธาตุน้ำ และตัวอักษรที่สลักไว้บนเหรียญเงินพวกนั้นก็มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำ แฝงไว้ด้วยโชคชะตาแคว้นเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ พวกมันเคยเป็นวัตถุเปิดเตาหลอมเงินของราชวงศ์เก่าแก่บางแห่งเลียบลำน้ำจี้ตู๋ ภายหลังกระจายไปสี่ทิศ มีทั้งเอาไปวางไว้บนเสาคานของอารามเต๋าโบราณ แล้วก็ฝังไปพร้อมกับศพของสุสานโบราณ บ้างก็ถูกเชื้อพระวงศ์รุ่นหลังเก็บไว้ในคลังสมบัติ ซึ่งสำนักมังกรน้ำเก็บรวบรวมมาได้สองชุด หนึ่งชุดรวมกันแล้วมีมากถึงสิบแปดเหรียญ ชุดหนึ่งในนั้นก็ได้นำมามอบให้ป๋ายปี้

อันที่จริงเงินยาเซิ่งที่ต่อให้อยู่ในศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำก็ยังถือว่าเป็นของดีชุดนี้ ได้ทั้งป้องกันและโจมตี

แต่ป๋ายปี้ก็ยังเรียกสมบัติหนักบนภูเขาออกมาอีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือผลงานอันเป็นที่ภาคภูมิใจของยอดฝีมือด้านจั๋วฉิน (เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของจีน) ท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์อุตรกุรุทวีป ฉินโบราณนี้มีนามว่า ‘หิมะปลิวปราย’

หลังจากที่ผู้ฝึกตนโอสถทองทั้งสองท่านลงมือ สถานการณ์การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือด

แล้วก็มีน้ำเสียงแหบพร่าที่สมควรโดนแทงพันครั้งนั่นเอ่ยเตือนทุกคนเสียงดังอีกครั้ง “พวกเราฆ่าท่านโหวน้อยก่อน!”

จานชิงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด คนผู้นี้ต่างหากที่รับมือได้ยากอย่างแท้จริง

ทุกครั้งที่เปิดปากพูดล้วนได้ผลไปเสียทุกครั้ง

เพียงแต่ว่าเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายใช้วิชาลับบนภูเขา บวกกับที่การต่อสู้ครั้งนี้อันตราย สถานการณ์วุ่นวายเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง ทำให้จานชิงไม่อาจแยกแยะได้ว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่

เกาหลิงแม่ทัพบู๊และผู้ถวายงานสองคนต่างก็ไม่มีทางกล้ามองตนถูกอาวุธหรือเวทคาถาเล่นงานจนตายแน่ แต่หากต้องคอยดูแลเขามากเกินไปก็ย่อมทำให้ห่วงหน้าพะวงหลัง และถ้าเกิดช่องโหว่ขึ้นมา จะกลายเป็นกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ง่ายที่จะทำให้ป๋ายปี้ต้องเสียสมาธิด้วย จานชิงกล้าแน่ใจเลยว่า ขอแค่ฝั่งของตนมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งรบตายไป หรือมีคนได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังการต่อสู้ไปชั่วคราว จำต้องถอยออกจากสนามรบกลับขึ้นไปบนภูเขา ผู้ฝึกตนอิสระและผู้ฝึกยุทธที่เข่นฆ่าจนบ้าเลือดกลุ่มนี้จะยิ่งต้องทุ่มสุดชีวิตอย่างแน่นอน

อันที่จริงจานชิงเริ่มใช้เสียงในใจบอกเตือนเกาหลิงและผู้ถวายงานสองคนแล้วว่า ทุกครั้งที่ร่วมมือกันสังหารคน หากเป็นไปได้ให้เลือกดูสักหน่อย สังหารคนจากภูเขาเล็กๆ ที่รวมกลุ่มกันสามสี่คนให้สิ้นซากในรวดเดียว นี่จะสยบขวัญผู้คนได้เป็นอย่างดี และยังป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายกลายเป็นพวกไม่กลัวตาย พยายามจะแก้แค้นให้สหายอีกด้วย เพียงแต่ว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต ต่อให้จานชิงจะคิดคำนวณมาอย่างดีแค่ไหน ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าคงเพราะคราวนี้ที่ออกจากบ้านไม่ได้เปิดปฏิทินเหลืองดูฤกษ์ยามให้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย ยิ่งการเข่นฆ่าดำเนินไปถึงช่วงหลัง เกาหลิงและผู้ถวายงานอีกสองคนก็ไม่อาจระมัดระวังเช่นนี้ได้อีก ส่วนตนก็กลายมาเป็นเป้าหมายที่ทุกคนคิดจะสังหาร อีกฝ่ายมีคนมากกว่า แล้วก็ไม่คิดจะสนหน้าสนหลัง ไม่ว่าสมบัติโจมตีกี่รูปแบบ หรือเวทคาถาอันตรายที่นับไม่ถ้วนแค่ไหน ก็ขอให้โยนออกมาก่อนค่อยว่ากัน

จนกระทั่งบัดนี้ จานชิงถึงเพิ่งจะเริ่มเสียใจภายหลัง ตนไม่ควรลำพองใจในตัวเองขนาดนี้เลยจริงๆ

ไม่ควรคิดว่าการเอาโชควาสนาทั้งหมดของที่แห่งนี้รวบเข้ากระเป๋าของตัวเองคือเรื่องง่ายๆ

แต่เขาควรทำตามลำดับขั้นตอน ไล่จู่โจมไปทีละฝ่าย ไม่ใช่คิดว่ากลุ่มของตน เมื่อรวมตัวกันขึ้นมา คิดจะสังหารก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ไม่ยาก แล้วจะต้องสนใจผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งมดตัวน้อยที่มารวมตัวกันชั่วคราวอย่างไร้ระเบียบไปทำไม?

ผลกลับกลายเป็นว่ารอจนจานชิงเดินอาดๆ มาสกัดขวางทางไปของทุกคนอยู่ที่นี่ เลียนแบบคำพูดในนิยายว่าหนึ่งคนเป็นหน้าด่าน หมื่นคนอย่าหวังจะฝ่าไปได้ สุดท้ายเวลานี้กลับต้องมาเสียใจภายหลังซะแล้ว

อันที่จริงไม่ใช่ว่าแผนการก่อนหน้านี้ของจานชิงแย่เกินไป เพียงแต่ว่าบนเส้นทางการฝึกตน หมื่นหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวนั้น หากมาถึงเข้าจริงๆ นั่นก็คือหนึ่งหมื่นที่ไม่ว่ากี่เรื่องก็อย่าได้เพ้อฝันถึง (หนึ่งหมื่นเปรียบเปรยถึงเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ ส่วนหมื่นหนึ่ง คือเกินหมื่นออกไป หมายถึงเรื่องที่ไม่คาดฝัน)

ป๋ายปี้พลันค้นพบว่าโอสถทองที่เป็นผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำผู้ยิ่งใหญ่อย่างตนกลับไม่อาจต่อกรกับผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยที่ปิดบังใบหน้าตรงหน้านี้ได้

ป๋ายปี้จึงใช้เสียงในใจคำรามอย่างเดือดดาลว่า “ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ย! เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ? ไม่กลัวหรือว่าจะผูกปมแค้นกับสำนักมังกรน้ำของข้า จวนไช่เฉวี่ยแห่งท่าเรือดอกท้อจะต้านทานฝ่ามือของบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนตระกูลข้าได้กี่ครั้งกัน?”

การที่ป๋ายปี้ไม่ได้โพนทะนาออกมาดังๆ

เพราะถึงอย่างไรนางก็มีชาติกำเนิดเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ตัวคนเดียวแล้ว มีสิ่งให้ต้องกริ่งเกรงเยอะกว่า และเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียก็มีมากกว่า

ซุนชิงบังคับสมบัติอาคมโจมตีชิ้นนั้นให้ไปปั่นป่วน ‘เกล็ดหิมะ’ ที่ผุดออกมาเพราะแรงดีดสายฉินโบราณหิมะปลิวปราย จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ทำไมข้าถึงฟังไม่เข้าใจ”

ป๋ายปี้เดือดดาลอย่างหนัก “ซุนชิง! เจ้าคิดจะไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับข้าจริงๆ งั้นรึ?”

มีเงินยาเซิ่งสิบแปดเหรียญนั้นปกป้องอยู่รอบกาย สภาพของป๋ายปี้จึงยังไม่กระเซอะกระเซิงมากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่สมบัติอาคมที่จัดเรียงกันเป็นค่ายกลชุดนี้ได้ทั้งป้องกันและโจมตี แล้วก็เห็นได้ชัดว่าป๋ายปี้ยังไม่ได้ทุ่มสุดกำลัง อีกอย่างเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากศาลบรรพจารย์ที่มีอักษรจงในชื่อคนหนึ่ง มีใครบ้างที่ไม่มีวิชาไม้ตายที่เอามาใช้รับมือกับศัตรูให้วอดวายกันไปทั้งคู่ หรือไม่ก็ช่วยให้หลบหนีได้ไกลเป็นพันลี้ ดังนั้นการที่ป๋ายปี้อับอายจนพานเป็นความโกรธนี้ น่าจะเป็นเพราะสภาพจิตใจของนางไม่ต่างจากจานชิงเท่าไร่ เพราะต้องสูญเสียโอกาสอันดีที่จะได้ฮุบครองผลประโยชน์เพียงลำพังไป อีกทั้งยังต้องเสียหน้าผู้ฝึกตนโอสถทองสำนักใหญ่เช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับจานชิงที่อยู่ตรงหัวสะพานตีนเขาซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้ว สภาพการณ์ของป๋ายปี้ในตอนนี้ก็นับว่าดีกว่ามาก

——