บทที่ 1006 เหตุไฉนภาพหลอนถึงพูดได้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

“เร็วเข้า”

“พวกมันอยู่ข้างหน้า อย่าปล่อยให้หนีไปได้”

นักรบเกราะเพลิงกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามผู้คนไปบนท้องถนน

นอกจากนี้ พวกมันยังมียอดฝีมือขั้นเซียนคอยบินตรวจตราหาผู้หลบหนีจากบนท้องฟ้าอีกด้วย

บนถนนสายเล็กแคบในขณะนี้ ยังมีเงาร่างของผู้คนกลุ่มหนึ่งอาศัยความชำนาญเส้นทางหลบหนีไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว

หลายคนเป็นสมาชิกคนสำคัญของสมาคมศิษย์สำนักศึกษาแห่งนครหลวง

ย่อมต้องเป็นพวกของหลี่ซิวเยวียน หลิวเหวินฮุย กานเซียวซวง เยวียนหนงและตู้กู่อู๋อิงรวมถึงคนอื่น ๆ นั่นเอง

เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวต่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่บนร่างกาย โลหิตไหลย้อมอาภรณ์ แต่ละคนหอบหายใจหนักหน่วง และด้วยกลัวว่าพวกตนเองจะถูกพบเห็นจากยอดฝีมือขั้นเซียนบนท้องฟ้า พวกเขาจึงไม่ได้ใช้พลังลมปราณ อาศัยเพียงเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ในร่างกายวิ่งไปข้างหน้าต่อไปเท่านั้น…

สีหน้าของทุกคนบอกชัดถึงความโกรธแค้นและเกลียดชัง

แต่ไม่มีความเศร้าเสียใจ

“พวกเราแยกกันดีกว่า ไม่งั้นได้ตายกันทั้งหมดแน่”

เมื่อวิ่งมาถึงทางแยกลับสายหนึ่ง กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวก็หยุดชะงักหอบหายใจ หลี่ซิวเยวียนเป็นคนกระซิบขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ความเศร้าปรากฏขึ้นบนสีหน้าของทุกคนทันที

พวกเขาจำเป็นต้องแยกย้ายกันแล้ว!

นี่คือถ้อยคำที่เรียบง่าย

แต่กลับสร้างความรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าการจากลาครั้งนี้ อาจเป็นการจากลาตลอดกาล

การแยกย้ายกันหลบหนี สามารถช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ก็จริง

แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันได้เลยว่าทุกคนจะหนีรอด

ไม่ว่าในวันนี้พวกเขาจะอยู่หรือตาย ล้วนแต่เป็นเรื่องราวของโชคชะตาวาสนาทั้งสิ้น

“พี่น้องทุกท่าน พวกข้าขอล่วงหน้าไปก่อน”

หลี่ซิวเยวียนพาหลิวเหวินฮุยหลบหนีไปยังตรอกหนึ่ง

ทุกคนล้วนเห็นแล้วว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด

เนื่องจากกลุ่มนักรบเกราะเพลิงไม่มีความชำนาญเส้นทาง อย่างน้อย พวกเขาก็น่าจะหลบหนีได้ง่ายขึ้น

ยิ่งกระจายกันหลบหนี ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะมีผู้รอดชีวิต

“เซียวซวงขอขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่านที่คอยให้คำชี้แนะตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

กานเซียวซวงหอบหายใจอย่างรุนแรง ประสานมือค้อมศีรษะคำนับทุกคนด้วยความเคารพเทิดทูน ร่องรอยของความเศร้าปรากฏขึ้นในแววตาของนางเล็กน้อย ก่อนที่เด็กสาวใบหน้ารูปไข่จะวิ่งแยกไปอีกเส้นทางหนึ่ง

นั่นก็เป็นเส้นทางที่อันตรายเช่นกัน

“ทุกท่านรักษาตัวด้วย”

เยวียนหนงกุมมือภรรยาสุดที่รักตู้กู่อู๋อิงยิ้มแย้มให้แก่ทุกคนและกล่าวว่า “ความหวังคือสายธารหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ เมื่อท่านกับข้าได้กลับมาพบกันใหม่ มันย่อมเป็นการพบกันในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะของจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างแน่นอน”

พูดจบแล้ว ทั้งสองคนก็วิ่งแยกไปอีกทางหนึ่ง

บัดนี้ ศิษย์จำนวนมากทำได้เพียงร่ำลากันด้วยใบหน้านองน้ำตาเปียกชุ่ม

“แฮ่กแฮ่กแฮ่ก…”

หลี่ซิวเยวียนกุมมือหลิวเหวินฮุยวิ่งหนีมาพร้อมกับหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า

เสียงแห่งการฆ่าฟันดังขึ้นไม่หยุดยั้ง

นอกจากพวกเขาจะสลัดกลุ่มผู้ไล่ล่าไม่พ้นแล้ว อีกฝ่ายกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกด้วย

ในไม่ช้า เด็กหนุ่มและเด็กสาวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหน้า

ปรากฏว่าสองข้างฝั่งถนนมีนักรบเกาะเพลิงจำนวนมากเดินตรวจตราอยู่บนยอดหลังคาอาคารบ้านเรือน

ไม่มีทาง

หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยถูกปิดล้อมเสียแล้ว

ไร้หนทางหลบหนี!

แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยังไม่เห็นการปรากฏตัวของพวกเขา แต่การค้นหาก็ใกล้เข้ามาทุกที จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะหลบหนีได้อีก

ทั้งสองคนหยุดชะงัก

“เหวินฮุย ดูเหมือนพวกเราจะหนีไม่พ้นแล้วสิ”

หลี่ซิวเยวียนยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น ดวงตาจับจ้องใบหน้าของเด็กสาวผู้อยู่ข้างกาย “ข้าไม่เสียใจเลยที่ได้ตายเพื่อประเทศชาติ ข้าดีใจที่ได้อยู่กับเจ้าจนลมหายใจสุดท้าย ความเสียใจเดียวของข้าก็คือข้ายังไม่ได้แต่งงานกับเจ้าตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ เหวินฮุย บัดนี้ข้าขอถามเจ้า เจ้าจะแต่งงานกับข้าหรือไม่?”

ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเหตุการณ์เลวทรามต่ำช้าในสถานทูตจักรวรรดิจี้กวง หลิวเหวินฮุยจึงรู้สึกเศร้าเสียใจเสมอมา นางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่มีมลทินและไม่ดีพอสำหรับแต่งงานกับหลี่ซิวเยวียน

ทางด้านหลี่ซิวเยวียนก็เข้าใจคนรัก ช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงไม่ได้เร่งเร้า

แต่วันนี้ เขาคงตายตาไม่หลับ หากไม่ได้ขอนางแต่งงาน

หลิวเหวินฮุยสวมกอดหลี่ซิวเยวียนแนบแน่น น้ำตาไหลพราก นางยิ้มและพยักหน้า “ไม่มีสิ่งใดจะทำให้ข้ามีความสุขได้มากกว่านี้อีกแล้ว หากโลกหลังความตายมีจริง ไม่ว่าพวกเราจะต้องเผชิญอุปสรรคอีกมากมายสักแค่ไหน ข้ากับท่านก็จะไม่มีวันแยกจากกันเด็ดขาด”

หลี่ซิวเยวียนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เขากอดหญิงผู้เป็นที่รักแนบแน่น ในที่สุด ปมในใจของตนเองและนางก็ถูกคลี่คลายลงเสียที

เช้ง!

เสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝัก

หลี่ซิวเยวียนถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ สีหน้าแสดงออกถึงความปลอดโปร่งโล่งใจ

เด็กหนุ่มตั้งใจแล้วที่จะสละชีวิตของตนเองไปพร้อมกับนักรบเกราะเพลิงเหล่านั้น

เพราะหากถูกพวกมันจับตัวได้ การมีชีวิตอยู่ก็เลวร้ายยิ่งกว่าความตายมากนัก

“เหวินฮุย ชาติหน้าเมื่อเราได้พบกันอีก เจ้าต้องจำข้าให้ได้นะ”

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หลี่ซิวเยวียนก็ยกกระบี่ในมือขึ้นสูง

ทันใดนั้น…

“ข้าอยู่ทางนี้ เข้ามาเลย เก่งจริงก็มาจับข้าให้ได้สิ…”

เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากตรอกที่อยู่ติดกัน

เป็นเสียงของกานเซียวซวง

นางตะโกนเสียงดังเรียกความสนใจได้จากรอบทิศทาง

นักรบเกราะเพลิงที่กำลังเดินใกล้เข้ามายังที่ซ่อนตัวของหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุย เช่นเดียวกับยอดฝีมือขั้นเซียนที่บินอยู่บนท้องฟ้า ต่างก็ถูกกานเซียวซวงดึงดูดความสนใจไปหมดสิ้น

เส้นทางการค้นหาจึงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยพบว่านี่เป็นโอกาสหลบหนีของพวกเขาแล้ว

“เป็นกานเซียวซวงตั้งใจเรียกร้องความสนใจ เปิดทางให้พวกเราหลบหนี”

หลี่ซิวเยวียนคิดคำนึงอยู่ในใจด้วยความซาบซึ้ง

กานเซียวซวงรู้ดีว่าเขากับหลิวเหวินฮุยหลบหนีมายังเส้นทางนี้ นางพบว่าพวกเขากำลังเจอวิกฤต จึงใช้วิธีนี้สร้างโอกาสให้เขาและหลิวเหวินฮุยได้หลบหนีไป

แต่นั่นมิใช่หมายความว่ากานเซียวซวงจะต้องพบจุดจบเองหรอกหรือ?

นักรบเกราะเพลิงแห่งตระกูลเว่ย ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการฆ่าฟันที่โหดเหี้ยมอำมหิต พวกมันสามารถกระทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้…

และหากเด็กสาวหน้าตางดงามอย่างกานเซียวซวงตกไปอยู่ในกำมือของพวกมัน ไม่ทราบเลยว่านางจะต้องเผชิญเคราะห์กรรมอะไรบ้าง!

จะทำอย่างไรดีนะ?

ขณะนี้ หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยไม่ได้คิดถึงการหลบหนีอีกแล้ว

แต่พวกเขากำลังคิดว่าตนเองจะกลับไปช่วยเหลือกานเซียวซวงดีหรือไม่?

แต่หากกลับไปแล้วพวกเขาจะทำอะไรได้?

ด้วยระดับพลังของคนทั้งคู่ ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือกานเซียวซวงได้เด็ดขาด

หลี่ซิวเยวียนและหญิงคนรักตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก พวกเขาไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นว่า

“เหอเหอ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”

ภายใต้เงามืดริมถนน ชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงเพลิงหน้าตาหล่อเหลาค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมาใต้แสงไฟอย่างเงียบงัน “เอาเวลาที่พวกเจ้าห่วงใยผู้อื่นมาห่วงชีวิตตนเองไม่ดีกว่าหรือ? ถึงอย่างไรนางก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว ส่วนพวกเจ้า… หึหึ ก็หนีไม่รอดเช่นกัน”

บัดนี้ ใบหน้าของหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยซีดเผือดมากแล้ว

พวกมันรู้ทันความตั้งใจของกานเซียวซวง

พวกมันรู้แล้วว่าหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยอยู่ที่นี่

ครั้งนี้ นับว่าศัตรูของพวกเขาไม่ได้โง่เขลา แล้วลูกไม้ตื้น ๆ ของกานเซียวซวงจะสามารถตบตานักรบเกราะเพลิงผู้มากประสบการณ์ได้อย่างไร?

เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดเกราะเพลิงผู้นั้นเดินใกล้เข้ามา ดวงตาของหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยก็เป็นประกายลุกวาวด้วยความโกรธแค้น

เนื่องจากว่าพวกเขาจดจำบุคคลผู้นี้ได้

มันผู้นี้เป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยนักรบเกราะเพลิง มีนามว่าเว่ยซวงหัว หรือที่รู้จักกันในฉายานาม มือกระบี่จอมเชือด!

วันนี้ มันคือผู้นำในการบุกทลายสมาคมศิษย์สำนักศึกษาแห่งนครหลวงและเป็นผู้ที่สังหารอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้น

เว่ยซวงหัวมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับหก

แข็งแกร่งเกินไป

ต่อให้หลี่ซิวเยวียนกับหญิงคนรักร่วมมือกันต่อสู้ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยซ้ำ

“เจ้าจะยอมถูกจับกุมแต่โดยดีหรือต้องให้ข้าใช้กำลัง?”

เว่ยซวงหัวมีสีหน้าเย็นชา ดวงตาเป็นประกายแวววาวราวกับแมวหยอกหนู

เมื่อสายตาของมันจับจ้องไปยังใบหน้าและเรือนร่างของหลิวเหวินฮุย รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากทันที

เว่ยซวงหัวขึ้นชื่อดีว่าลุ่มหลงในราคะมากที่สุด

นับตั้งแต่ที่เข้าสู่นครหลวง ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ข้างกายของเว่ยซวงหัวจะปราศจากสาวงาม แม้ตัวมันเองจะมีภรรยาและนางคณิกามากมายที่ทางตระกูลเว่ยจัดหาให้ แต่นั่นก็ยังสร้างความพอใจให้แก่เว่ยซวงหัวได้ไม่เท่ากับบรรดาเด็กสาวจากสำนักศึกษาต่าง ๆ ทั่วเมือง…

พวกนางคือของโปรดของมัน

เพราะว่าพวกนางมีเนื้อหนังเต่งตึง

เว่ยซวงหัวชื่นชอบสีหน้าที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ชื่นชอบสีหน้ายามอับอายอยากปฏิเสธ

มันชอบที่จะได้ย่ำยีจิตใจของพวกนาง

และแน่นอนว่าการทำร้ายจิตใจบุคคลที่พวกนางรัก ก็คืออีกหนึ่งความสุขของเว่ยซวงหัวด้วยเช่นกัน

ดังนั้น มันจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าคงเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันสินะ เหอเหอเหอ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายินดีอยู่ด้วยกันตายด้วยกัน แต่ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า…”

เว่ยซวงหัวยกมือชี้มาที่หลิวเหวินฮุย ยิงฟันยิ้มอวดฟันขาววับและกล่าวว่า “หากเจ้ายอมตกเป็นของข้าสักครั้ง ข้าจะปล่อยคนรักของเจ้าไป”

หลี่ซิวเยวียนระเบิดเสียงคำรามควงกระบี่โถมเข้าใส่

เว่ยซวงหัวเพียงโบกมือไล่แมลงวันเท่านั้น

วูบ!

ร่างของหลี่ซิวเยวียนก็ลอยกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงหินและกระอักเลือดออกมาคำใหญ่

“ฮ่า ๆๆ วิ่งไปเลยสาวน้อย ข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าจะหนีไปไหนพ้น”

“เจ้าเป็นเด็กสาวเนื้อนุ่มนิ่ม ฮ่า ๆๆ สงสัยข้าจะได้สนุกอีกแล้วสิ”

“จับเป็นนาง”

บรรดานักรบเกราะเพลิงปิดล้อมกานเซียวซวงอยู่กลางตรอกแห่งหนึ่ง

“พวกเจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน”

กานเซียวซวงถือกระบี่อยู่ในมือ ดวงตาจ้องมองหัวหน้ากลุ่มนักรบเกราะเพลิงที่เดินเข้ามา นางหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “สักวันหนึ่ง พวกเจ้าจะต้องชดใช้… หลินเป่ยเฉินวีรบุรุษของพวกข้า ไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าลอยนวลเด็ดขาด”

สีหน้าของเด็กสาวปราศจากความหวาดกลัว

หลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงในนครหลวงมากมาย สุดท้าย เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาอย่างกานเซียวซวงก็เติบโตมากขึ้นแล้ว

มิเช่นนั้น นางคงไม่มีทางส่งเสียงร้องเพื่อเรียกความสนใจนายทหารเหล่านี้ เพราะอยากช่วยเหลือสหายของตนเองให้หลบหนีได้สำเร็จหรอก

“องค์เทพีกระบี่จะต้องสาปแช่งพวกเจ้า”

กานเซียวซวงพูด ก่อนขบฟันกัดเม็ดยาพิษที่อมไว้ในปาก

ต่อให้ต้องตาย นางก็ไม่มีทางยอมตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวชั่วร้ายเหล่านี้เด็ดขาด

ยาพิษเริ่มออกฤทธิ์

โลหิตสีดำทะลักออกมาจากปากและจมูก

“นางแพศยาคนนี้…”

“คิดกินยาพิษรึ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“หมดทางเยียวยาแล้ว”

เสียงของเหล่านักรบเกราะเพลิงแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน

ใบหน้ารูปไข่ของกานเซียวซวงปรากฏรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ

นางไม่กลัวตาย

เสียดายก็แต่เพียงไม่ได้เจอหน้าหลินเป่ยเฉินก่อนตายเท่านั้น

เขาช่างหล่อเหลาถึงเพียงนั้น

รอยยิ้มของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเพ้อฝัน

ยาพิษแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย สายตาของนางเริ่มพร่าเลือน

บางทีอาจเป็นเพราะนางหมกมุ่นกับความคิดก่อนตายมากเกินไป หรือบางที่อาจเป็นเพราะยาพิษที่ทำให้นางเห็นภาพหลอน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เด็กสาวจึงเห็นหนุ่มในฝันมาปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้า

“ท่านพี่เป่ยเฉิน นั่นใช่ท่านหรือไม่?”

กานเซียวซวงรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้น

ต่อให้เป็นภาพหลอน นางก็ขอสัมผัสเขาอีกสักครั้ง

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมา

สัมผัสเข้ากับมือของนาง

เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น

เดี๋ยวก่อนนะ?

ทำไมภาพหลอนถึงเสมือนจริงขนาดนี้?

กานเซียวซวงค่อย ๆ ล้มลงด้วยความสับสน

ทันใดนั้น ภาพหลอนที่อยู่เบื้องหน้าก็พูดว่า “เด็กโง่ เจ้าวู่วามเกินไปแล้ว หากข้ามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ก็คงต้องพบกับศพของเจ้าแล้วเท่านั้น…”