ไหวเหรินมองผิงเซวียนและกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าคิดเรื่องนี้ชัดเจนดีแล้วหรือ”
ผิงเซวียนตอบกลับไปอย่างสุขุม “อาจารย์ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มอบยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ให้ศิษย์ดูแลเป็นการชั่วคราว และศิษย์ก็ทุกข์ทนมาตลอดว่าจะทำอย่างไร แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าข้าคิดมากเกินไป คนโง่เช่นข้าไม่จำเป็นต้องคิดมากนัก ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีตราบใดที่ข้าทำตามความประสงค์ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางผิดไปได้”
ไหวเหรินย้อน “เจ้าคิดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่ไม่สามารถแยกผิดถูกได้อย่างนั้นหรือ”
ผิงเซวียนตอบ “ข้ารู้แค่ว่าหากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ นางย่อมไม่ปล่อยให้ใครใช้สาเหตุใดก็ตามมาข่มขู่องค์สังฆราชได้”
จากหานซานถึงจิงตู การเดินทางหลายพันลี้ นางกับศิษย์อีกหลายคนของสถานศึกษาหนานซีได้เห็นมากับตาตัวเอง มันไม่มีทางผิดไปได้
ไหวเหรินกล่าวอย่างเย็นชา “ต่อให้เขาฆ่าเปี๋ยเทียนซินจริงๆ ก็ตามอย่างนั้นหรือ”
ผิงเซวียนตอบ “อาจารย์ ข้าบอกไปแล้วว่าไม่ว่าเหตุผลใดก็ไม่ได้”
ไหวเหรินพบว่ายากที่จะปกปิดความผิดหวังตอนที่กล่าวออกมา “ต่อให้เจ้ารู้ว่ามันจะนำยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ความวุ่นวายไร้สิ้นสุดจนไม่อาจจะย้อนกลับได้อย่างนั้นหรือ”
ผิงเซวียนตอบ “หากเป็นประสงค์ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมใช่”
……
……
อู๋ฉยงปี้ห่างจากแท่นยกไปสิบกว่าจั้ง
นางตะคอกศิษย์สถานศึกษาหนานซีอย่างรุนแรง “เจ้าต้องการจะใช้พวกมากรังแกหญิงชราที่เสียลูกชายไปอย่างนั้นหรือ”
คนผมขาวฝังคนผมดำเป็นเรื่องที่น่าสงสารจริงๆ แต่นางกับเปี๋ยยั่งหงเป็นสุดยอดฝีมือที่มีไม่กี่คนในโลก จะมีใครรักแกพวกเขาได้
พวกศิษย์กระวนกระวายมาก นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยเผชิญหน้ามาในชีวิต แต่ค่ายกลกระบี่ก็ยังหนักแน่นปานขุนเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรพันกว่าคนบนที่ราบสูงมองอย่างกระวนกระวาย
ด้านหนึ่งเป็นยอดฝีมือของต้าลู่ที่อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีแล้ว
อีกด้านหนึ่งเป็นค่ายกลกระบี่ในตำนานที่ทำเรื่องเหนือจินตนาการให้สำเร็จมามากมายบนสนามรบ
เมื่อทั้งสองปะทะกัน ฝ่ายไหนจะแข็งแกร่งกว่า
……
……
เสียงโหยหวนดังก้องไปทั่วเทือกเขา
แส้หางม้าในมืออู๋ฉยงปี้ลงมาจากท้องฟ้าฟาดเข้าใส่แท่นยก
แส้หางม้ากวาดผ่านอากาศ ขนแต่ละเส้นตัดผ่าราวกับสายฟ้าฟาด ทิ้งไว้แต่รอยสีขาวปั่นป่วนตามทางที่มันผ่านไป
กลิ่นอายดับสูญผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาจากสายฟ้านั่นและรอยปั่นป่วนในอากาศ เป็นภาพที่น่าหวาดกลัวยิ่ง
ตรงหน้าแท่นยก เยี่ยเสี่ยวเหลียนยกกระบี่ของนางขึ้นปะทะกับแส้หางม้า ประกายกระบี่ฉายแสงเหนือแท่นยก
ภายใต้แรงกดดันน่ากลัวของอู๋ฉยงปี้ ที่ราบสูงเย็นและหม่นมัวลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเผชิญหน้ากันประกายกระบี่ดูเปราะบางทีเดียว
ประดุจเรือน้อยกลางทะเล สามารถพลิกคว่ำและถูกกลืนไปได้ทุกขณะ ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้
ไม่นานหลังจากนั้น ประกายกระบี่มากมายสว่างขึ้น ทำให้ท้องฟ้ามืดหม่นดูสว่างขึ้นเล็กน้อย
เรือน้อยหลายลำในทะเลก่อตัวเป็นเรือใหญ่ มันยังไม่ใหญ่มากนักแต่มันก็มั่นคงขึ้นมาก
ประกายกระบี่หลายสิบสายเข้ารวมตัว ส่องแสงขึ้นพร้อมกันและทำให้ท้องฟ้าหม่นมัวดูกระจ่างใสขึ้น
เรือน้อยเรือใหญ่รวมตัวกันกลายเป็นเรือมหึมาที่สามารถต้านคลื่นสูงใหญ่ทะลวงผ่านลมฝนเพื่อไล่ล่าแสงสีเงิน
แต่ไม่ได้แค่รวมตัวกันง่ายๆ
ต่อให้เรือน้อยนับหมื่นลำรวมตัวกัน ซ้อนทับกันจนกลายเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ก็ยังแตกกระจายเมื่อเข้าสู่ทะเล ไร้กำลังจะต้านทานคลื่นลม
มีแต่ต้องรวมตัวกันอย่างแท้จริงจึงจะกลายเป็นเรือยักษ์ที่สามารถต้านทานคลื่นลมได้
ประกายกระบี่หลายสิบสายส่องสว่างยอดเขา เพลงกระบี่หลายสิบสายฟาดผ่านอากาศ พวกมันตอบสนองและสื่อสารกัน กลายเป็นหนึ่งเดียว
มันเป็นขั้นตอนที่รวดเร็วมาก เป็นไปตามหลักการของธรรมชาติเหมือนกับน้ำที่ไหลผ่านคลอง ลึกลับที่สุดเหมือนกับไม้ที่กลายเป็นเรือ เมื่อเพลงกระบี่พวกนี้รวมตัวกัน พวกมันก็เริ่มแผ่ความแข็งแกร่งที่ยากจะอธิบายออกมาพลังงานพวยพุ่งออกมา ความแข็งแกร่งเหนือกว่ากำลังของเพลงกระบี่ที่ใช้ออกโดยศิษย์สถานศึกษาหนานซีคนเดียวหลายต่อหลายเท่า
นี่คือค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีที่มีชื่อเสียงก้องโลก!
พลังกระบี่กว้างใหญ่ปกคลุมที่ราบสูงในขณะที่ประกายกระบี่ส่องสว่าง ตัดผ่านเมฆดำและปะทะกับแส้หางม้าพิสดาร
เจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัวพุ่งออกมา ฟันใส่สายฟ้าและรอยแตกร้าวของมิติ หยุดปราณแห่งการดับสูญอันน่ากลัวเอาไว้
เสียงฉีกขาดและเสียงระเบิดมากมายดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามการปะทะกันส่งผลให้เกิดการดับสูญอย่างแท้จริง เงียบงันที่สุด แต่ก็อันตรายยิ่งขึ้น
ลมพัดโหยหวน ต้นไม้บนที่ราบสูงลู่ไปทางตะวันตกราวกับถูกกดด้วยกำลังที่ไม่อาจทนรับได้
สำนักกระบี่หลีซาน สำนักต้นไหวและสำนักอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับการปะทะเริ่มแผ่ปราณและเปิดใช้ของวิเศษเพื่อปกป้องศิษย์ของตน
ตอนที่ฝุ่นสงบลง ร่างอู๋ฉยงปี้ก็ปรากฏขึ้น นางยังอยู่ในที่เดิม ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว!
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีก่อตัวขึ้นจากเด็กสาวหลายสิบคนสามารถต้านทานการโจมตีจากยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้!
ศิษย์สามถูกคนถูกพลังของอู๋ฉยงปี้ทำให้พวกนางหวาดกลัว เส้นทางแห่งจิตสั่นคลอน หลังจากนั้นพวกนางก็ได้รับบาดเจ็บและไร้กำลังจะยืนต่อไป
เสียงแตกร้าวในอากาศดังขึ้นเมื่อศิษย์คนอื่นรีบเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของศิษย์สามคนนั้น เพิ่มความมั่นใจให้กับพวกนาง
แต่มันยังไม่จบ
ผิงเซวียนออกคำสั่งอย่างสุขุม “ก่อตั้งค่ายกล”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ศิษย์สถานศึกษาหนานซีที่เคลื่อนไหวช้าเกินไปก่อนหน้านี้ก็รีบรุดมาโดยเร็ว
นับจากตอนนั้น ประกายกระบี่ส่องสว่างขึ้นบนที่ราบสูงและเสียงกระบี่ดังขึ้นไม่รู้จบ
ศิษย์สามร้อยกว่าคนของสถานศึกษาหนานซีได้ก่อตั้งค่ายกลกระบี่สำเร็จเสร็จสิ้น!
เสื้อผ้าสีขาวของพวกนางสั่นพลิ้วในสายลมราวกับคลื่นอันไม่รู้จบ
เจตจำนงกระบี่ที่น่าเกรงขามเป็นเหมือนกับยอดเขานับพันที่ไม่มีทางถล่มลง
นี่เป็นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีอันมีชื่อเสียงอย่างแท้จริง!
……
……
ที่ราบสูงเงียบงันอย่างที่สุด ความตกใจอยู่บนดวงตาทุกคน
คนมากมายได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี ทว่าน้อยคนนักที่จะได้เห็นกับตาตัวเอง
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีแข็งแกร่งสมกับคำเล่าลือจริงๆ แค่ศิษย์ขั้นทะลวงอเวจีก็สามารถรับการโจมตีของอู๋ฉยงปี้ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้!
ใบหน้าอู๋ฉยงปี้เปี่ยมไปด้วยความโหดเหี้ยม นางรู้ว่าค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีแข็งแกร่งเพียงใด ว่ากันว่าเมื่อพันปีก่อนตอนที่โจวตู๋ฟูยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ท้องฟ้าพร่างดาวบุกขึ้นยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำลายค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี แม้ว่านางยังมีวิชาที่แข็งแกร่งอีกมากที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา นางไม่อาจที่จะแข็งแกร่งไปกว่าโจวตู๋ฟูได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจหยุดนางได้ นางต้องล้างแค้นให้กับลูกรักของนาง ดังนั้นนางต้องฆ่าเฉินฉางเซิงในวันนี้!
ในตอนที่นางเตรียมที่จะโจมตีค่ายกลกระบี่อีกครั้ง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
“อ๋องผู้นี้เชื่อว่าเป็นการดีที่สุดที่จะให้จูซาปรากฏตัวออกมาและให้นางรับผิดชอบเรื่องในวันนนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นความเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตาม สามารถพูดคุยกันได้ในภายหลัง”
เซียงอ๋องลุกจากเก้าอี้ ขยับเข็มขัดสีเหลืองสดใสรอบเอว สูดหายใจแล้วก็ยิ้มให้เฉินฉางเซิง “ทุกคนรู้ว่าองค์สังฆราชมีความเชื่อมโยงกับผู้พิทักษ์ เชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่จะแจ้งนาง มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งสามารถเดินทางพันลี้ในพริบตา ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใดบนต้าลู่ ก็สามารถมาถึงได้ในวันนี้ หากพระองค์เชื่อว่าข้อเสนอของข้าเหมาะสม เช่นนั้นก็ไม่มีความเสียหายอันใดที่จะพวกเราจะจิบชารอให้นางมาถึง”
เปี๋ยยั่งหงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบ “ได้”
อู๋ฉยงปี้ย่อมไม่ต้องการเช่นนี้ ใบหน้านางเปี่ยมไปด้วยความโกรธ แต่นางเลือกที่จะไม่พูดอะไร
ทุกคนหันไปหาเฉินฉางเซิง ในสายตาของพวกเขา ข้อเสนอของเซียงอ๋องไม่มีปัญหาอันใด มันเป็นวิธีที่รอบคอบที่สุด
แต่สังฆราชอาจเป็นห่วงความปลอดภัยของมังกรดำน้อยและไม่ยอมที่จะเรียกนางมา หรือเป็นว่า…เขาไม่กล้าที่จะเรียกนางมา
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็ตอบ “ข้าจะไม่เรียกนางมาให้การ”
ฝูงชนระเบิดเสียงออกมา
เซียงอ๋องหุบยิ้มและกล่าวอย่างเฉยชา “ถ้าอย่างนั้นอ๋องผู้นี้ก็ไม่อาจสนับสนุนพระองค์ได้อีกต่อไป”
ไม่สนับสนุนก็คือคัดค้าน แม้ว่าจะไม่พูดออกมาตรงๆ ท่าทีของเขาก็ชัดเจนยิ่ง
นี่คือท่าทีของเขา และก็ถือได้ว่ามันเป็นท่าทีของราชสำนัก
เมื่อเสียงของเซียงอ๋องดังก้องไปในเทือกเขา คนมากมายเริ่มยืนขึ้นช้าๆ
บางคนเป็นยอดฝีมือของราชสำนัก และนักพรตชุดน้ำเงินหลายคนจากอารามฉางชุน บ้างก็เป็นยอดฝีมือจากสำนักที่เข้าร่วมกับราชสำนักมานานแล้ว โดยรวมแล้วมีหลายร้อยคน
ที่สะดุดตาที่สุดก็คือขุนพลเทพที่นั่งข้างกายเซียงอ๋องตลอดเวลา
ขุนพลเทพคนนี้ไม่พูดแม้แต่คำเดียว และมีสีหน้าไม่แยแส แต่เขาก็ดึงความสนใจจากคนมากมาย
เพราะเขามีลักษณะที่พิเศษมาก คิ้วทั้งสองย้อมด้วยสีขาวราวกับหิมะ ดูเหมือนจะแผ่ความเย็นเยียบออกมา
ด้วยลักษณะพิเศษนี้ คนมากมายจึงจำได้ว่าเขาเป็นใคร
ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว ยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวระดับสูงสุด ขุนพลเทพอันดับสองของโลกนี้!