ตอนที่ 1,008 เจ้าเป็นผู้ติดตามใช่หรือไม่
ผู้ที่กำลังตะปบไหล่มันอยู่มีนามว่าจาจ้าฮุย?
ช่างเป็นชื่อที่แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้?
เว่ยซวงหัวหยุดชะงักอยู่กับที่ มันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในจักรวรรดิเป่ยไห่มีบุคคลชื่อนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่
เว่ยซวงหัวค่อย ๆ หันหน้ากลับไปมอง
และพบกับใบหน้าที่อ้วนกลมขาวผ่องของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
ใบหน้าออกจะหล่อเหลาทีเดียว เสียแต่ว่าอ้วนไปหน่อยเท่านั้น
“เป็นข้าเอง”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนยิ้มให้แก่หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุย ก่อนจะก้มมองน่องไก่ย่างในมือ หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็ยื่นส่งน่องไก่มาให้ “พวกเจ้าหิวหรือไม่? รับประทานน่องไก่หน่อยเป็นไร?”
เว่ยซวงหัวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเห็นภาพหลอน
สายตาที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนนามจาจ้าฮุยใช้มองน่องไก่นั้น ไม่ต่างไปจากสายตาที่ผู้คนใช้มองอัญมณีมีค่าหลายสิบล้านเหรียญทองคำ
“ไม่เป็นไร ขอบคุณคุณชายมากแล้ว”
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยตอบกลับไปด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน
เซียวปิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและเก็บน่องไก่กลับคืนไป
“ว่าแต่ในเมื่อพี่จาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ทราบศิษย์พี่หลินเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่ซิวเยวียนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อ้อ พี่ชายของข้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แต่หลังจากเป่ายิ้งฉุบชนะกันแล้ว เขาก็เลือกไปช่วยเหลือเด็กสาวผู้หนึ่งแทนช่วยพวกเจ้า…”
เซียวปิงกัดกินน่องไก่ย่างด้วยความเอร็ดอร่อย ยิ้มแย้มตอบกลับมาอย่างจริงใจ
ตราบใดที่ผู้อื่นไม่มาแย่งน่องไก่เขารับประทาน ผู้อื่นก็ยังนับว่าเป็นมิตรสหายสำหรับเซียวปิงเสมอ
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ”
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยต่างก็อุทานออกมาด้วยความดีใจทั้งคู่
เมื่อผู้มีพลังขั้นเซียนอย่างคุณชายหลินยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เขาก็จะสามารถช่วยกานเซียวซวงได้อย่างแน่นอน
“จริงด้วยสิ พวกเรายังมีศิษย์พี่เยวียนหนงกับศิษย์พี่ตู้กู่…”
หลิวเหวินฮุยพูดออกมาด้วยความร้อนรนอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร เจ้าหนูนั่นไปช่วยแล้ว”
เซียวปิงรับประทานน่องไก่จนหมดและเลียกระดูกอย่างรวดเร็ว
เจ้าหนูนั่นไปช่วยแล้ว?
เว่ยซวงหัวถึงกับสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
เจ้าหนูไหนไปช่วยนะ?
แต่เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ซิวเยวียนกลับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะเขาทราบดีว่าจาจ้าฮุุยกำลังหมายถึงเจ้าหนูขนสีเงินผู้เอาชนะอินทรีอสูรปีกมรกตในวันประลองได้อย่างง่ายดาย เมื่อสุดยอดสัตว์อสูรเช่นนี้ลงมือ มันย่อมช่วยเหลือผู้คนได้โดยไม่มีปัญหา
แต่เว่ยซวงหัวไม่รู้เรื่องนี้
สีหน้าของมันยังคงเต็มไปด้วยความมึนงงและสับสน
เมื่อเซียวปิงเห็นดังนั้น ก็ต้องอธิบายว่า “ข้าหมายถึงสัตว์อสูรที่เป็นสัตว์เลี้ยงคู่กายของพี่ชายข้าน่ะ เจ้าน่าจะรู้จักนะ เพราะมันเคยไปปรากฏตัวบนเวทีประลองเดิมพันชีวิตมาแล้ว…”
พลัน สีหน้าของเว่ยซวงหัวแสดงออกถึงความหวาดผวาทันที
“เจ้า… เจ้าคือ…”
ดูเหมือนชายฉกรรจ์จะได้รับความตกตะลึงมากเกินไป มันจึงตัวสั่นเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าคือ…”
เซียวปิงยิ้มแย้มด้วยความแจ่มใส
เขาพยักหน้าให้กำลังใจเว่ยซวงหัว
คล้ายกับต้องการจะบอกว่า
ใช่แล้ว ข้าเอง
เร็วเข้าสิ ส่งเสียงร้องออกมา
พูดชื่อของข้าออกมาเดี๋ยวนี้
ในที่สุด เว่ยซวงหัวก็พูดออกมาว่า “เจ้าคือผู้ติดตามของหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่? เขากลับมาที่นี่แล้วหรือ? เป็นไปไม่ได้ ก็ไหนว่าเขาตายแล้วไงล่ะ…”
รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าเซียวปิงทันที
นี่มันอะไรกัน?
เขามีค่าเป็นเพียงผู้ติดตามของท่านพี่เท่านั้นหรือ…?
ผู้ติดตามกับผีน่ะสิ!
ทำไมถึงไม่มีใครจำชื่อเขาได้เลยนะ?
เซียวปิงได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ถ้าอย่างนั้นก็ตายซะเถอะ
เซียวปิงที่กำลังโกรธแค้นไม่เปิดโอกาสให้เว่ยซวงหัวได้เอ่ยปากพูดอีก เขาลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะตวัดมือฟาดใส่หัวหน้าหน่วยนักรบเกราะเพลิงของตระกูลเว่ยแหลกสลายกลายเป็นกองเนื้อตรงนั้นเอง
“ข้ารังเกียจคนที่จำชื่อข้าไม่ได้ที่สุด”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนชำเลืองมองกองเศษเนื้อจากซากศพของเว่ยซวงหัวด้วยความโกรธแค้นที่ยังไม่เลือนหาย จากนั้นจึงถ่มน้ำลายใส่กองเนื้อนั้น “ข้ากกก… ถุย!”
“ไป พวกเรากลับไปหาพี่ชายข้ากันดีกว่า”
เซียวปิงนำตัวหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยออกมาจากตรอกลับ
หลังจากเดินมาได้ไม่ไกล พวกเขาก็พบว่าหลินเป่ยเฉินมายืนรออยู่ที่ทางแยกแล้ว
ราวกับเขากลัวว่าจะไม่มีใครรู้ถึงการปรากฏตัวของตนเองก็ไม่ปาน
เด็กหนุ่มได้ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ หลอก ‘กระต่ายขาวตัวน้อย’ ให้มาติดกับ…
ยอดฝีมือของกลุ่มนักรบเกราะเพลิงที่กำลังบินสำรวจหาผู้หลบหนีรอบบริเวณ ต่างก็รีบพุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความรวดเร็วยิ่ง
แต่ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เด็กหนุ่มได้เลยสักคนเดียว ยอดฝีมือเหล่านั้นถูกทรยศด้วยอาวุธของตนเอง ทุกคนร่วงหล่นลงนอนตายบนพื้นดินราวกับนกปีกหัก…
ไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
นั่นคือความคิดที่ผุดขึ้นมาในจิตใจของเซียวปิงขณะนี้
สมแล้วที่เป็นพี่ชายร่วมสาบานของเขา
ช่างแข็งแกร่งและเด็ดขาดนัก
หลังจากนั้น หลี่ซิวเยวียนก็เห็นว่าข้างกายของหลินเป่ยเฉินยังยืนไว้ด้วยกานเซียวซวง เยวียนหนงและตู้กู่อู๋อิง
นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหนูยักษ์หน้าตาน่ารักน่าชังยืนอยู่ด้านหลังอีกด้วย
บัดนี้ ซากศพในบริเวณนั้นนอนเกลื่อนกลาดโดยที่มีหลินเป่ยเฉินยืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง
แอ่งโลหิตเนืองนองบนพื้นถนน โลหิตขยายอาณาเขตมากขึ้นเรื่อย ๆ จนย้อมถนนทั้งสายกลายเป็นสีแดงสด!
ไม่ต่างจากอสรพิษโลหิตผู้ร้ายกาจ
ในนครหลวงเกิดเหตุนองเลือดมากเกินไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นพวกของหลี่ซิวเยวียนหรือชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป ทุกคนต่างก็สะอิดสะเอียนที่จะได้เห็นเลือดไหลนองบนพื้นดิน
แต่ภาพที่ทุกคนกำลังเห็นในขณะนี้ กลับทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
นักรบเกราะเพลิงผู้ชั่วร้ายเหล่านั้น สมควรตายเป็นที่สุด
น่าเสียดายก็ตรงที่พวกมันตายง่ายมากเกินไป
“ศิษย์พี่หลิน พวกเรารีบไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”
เยวียนหนงเสนอความเห็น
หลี่ซิวเยวียนและคนอื่น ๆ สนับสนุนอย่างเห็นด้วย
พวกเขาคิดว่าหลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งก็จริง แต่ตระกูลเว่ยมีกองกำลังมากเกินไป ตะปูแข็งเพียงตัวเดียว จะสามารถต้านทานการทุบจากค้อนเหล็กหลายสิบด้ามได้อย่างไร?
“ดีเหมือนกัน งั้นพวกเราหาที่พำนักในตัวเมืองกันก่อน”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจไปที่วิหารประจำเมืองเพื่อพบกับเยว่เว่ยหยาง
หลังจากนั้น
บรรดาผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยนักรบเกราะเพลิงต่างก็ได้รับทราบข่าวเหตุการณ์สังหารที่เกิดขึ้น
พวกมันแทบกระอักเลือดด้วยความตื่นตกใจ
การออกไล่ล่าในครั้งนี้ เว่ยซวงหัวมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ถึง 5,000 นาย แต่ทั้งหมดกลับถูกสังหาร ณ ทางแยกของถนนเหวินจิงตัดกับถนนกวงหมิงหมดสิ้น
ซากศพนอนกองทับถมเป็นภูเขาเลากา มองใกล้ ๆ จะคล้ายกับคนนอนหลับ แต่เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และเห็นโลหิตที่ไหลนองออกมา นั่นก็เป็นภาพที่น่าสะเทือนขวัญยิ่งนัก
แม่ทัพใหญ่ของหน่วยรบเกราะเพลิงสองนายตัดสินใจลงไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยตนเองและตรวจสอบทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
“ทุกคนถูกฆ่าในกระบวนท่าเดียว”
“แม้แต่ระดับแม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้น”
“น่าแปลก ทุกคนตายด้วยอาวุธของตนเอง”
“เหตุไฉนพวกเราจำนวนมากถึงฆ่าตัวตายพร้อมกันเช่นนี้?”
“ไม่น่าใช่การฆ่าตัวตายกระมัง แม่ทัพเว่ยซวงหัวแห่งหน่วยหมาป่าเพลิงไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เขาถูกใครบางคนระเบิดพลังใส่จนร่างกายแหลกเหลว…”
“บุคคลที่ถ่มน้ำลายใส่กองเนื้อของเขาช่างมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”
“หืม? ท่านพูดผิดแล้วกระมัง? ต้องบอกว่าคนที่ระเบิดพลังนั้นน่ากลัวมากไม่ใช่หรือ?”
“คนที่ระเบิดพลังและคนที่ถ่มน้ำลายเป็นคนเดียวกัน”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“ข้าก็เพียงเดาเอาเท่านั้น”
“เฮอะ”
“แต่นี่ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากเว่ยซวงหัวลุ่มหลงในตัณหาราคะมากเกินไป พลังชีวิตถูกสูบสิ้นไปโดยสตรีจำนวนมาก…”
“ท่านกล่าวหาเขาว่าเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในตัณหาราคะเช่นนี้ ที่ผ่านมา ท่านอิจฉาเขาใช่หรือไม่?”
“เหลวไหล หยุดพูดจาไร้สาระเสียที ลูกน้องของข้าอยู่ที่นี่ตั้งเยอะตั้งแยะ”
“ตกลงว่าใช่หรือไม่? ตอบมาเถอะ ไม่มีผู้ใดรู้หรอก”
แม่ทัพเกราะเพลิงทั้งสองคนนั้นหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย ตลอดเส้นทางโต้เถียงกันไม่หยุด สุดท้าย ก็แทบจะชักกระบี่ออกมาห้ำหั่นกันแล้ว
นายทหารคนอื่น ๆ ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้ามอง
ทุกคนทราบดีว่าผู้บังคับบัญชาของพวกมันมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด หากได้รับลูกหลงจากการยื่นมือเข้าไปห้ามปราม มีหวังคงได้นอนรักษาตัวไม่ต่ำกว่าครึ่งปี
แต่วันนี้ต่างออกไป
“พวกเจ้าหุบปากได้แล้ว”
ร่างในชุดสีฟ้าครามพลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าพวกมัน
แม่ทัพสูงเตี้ยหันขวับกลับไปแล้วตวาดเสียงใส่โดยไม่รู้ตัว “เจ้าว่าอย่างไร…”
แต่คำรามออกมาได้เพียงไม่กี่คำ แม่ทัพทั้งสองก็เห็นโฉมหน้าของผู้ที่สวมใส่ชุดสีฟ้าคราม
“ท่านผู้สูงส่งกล่าวได้ถูกต้องแล้ว…”
“คารวะท่านทูตสวรรค์”
แม่ทัพทั้งสองกล้ำกลืนคำสบถกลับลงท้อง ก่อนจะประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อมยิ่ง
ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดสีฟ้าครามนั้นมีลักษณะแปลกประหลาด
มองเพียงผิวเผิน เขาไม่ต่างจากชายหนุ่มอายุ 20 กว่าปี แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียด แววตาที่โชกโชนด้วยประสบการณ์ชีวิตกลับบอกว่าเขามีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี แต่เมื่อสำรวจดูความเต่งตึงของผิวหนัง บุรุษผู้นี้กลับไม่ต่างไปจากเด็กหนุ่มอายุ 15 – 16 ปีเท่านั้น…
ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าบุรุษผู้นี้มีอายุเท่าไหร่
และหากพิจารณาโดยละเอียด ก็จะพบว่าอาภรณ์สีฟ้าครามของเขานั้นเรืองแสงสว่างให้ความรู้สึกสูงส่งควรค่าต่อการกราบไหว้บูชา
ไม่ต่างไปจากเทพเจ้า
บุรุษผู้นี้มีตำแหน่งเป็นทูตสวรรค์
เป็นบุคคลที่ตระกูลเว่ยศรัทธา
มีสถานะสูงส่ง
สองแม่ทัพสูงเตี้ยคู่นี้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยนักรบเกราะเพลิง แทบไม่เคยต้องก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน แต่ก็ยังต้องรักษากิริยาท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ท่านนี้
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนไม่กล่าวคำใดอีก แต่กลับเดินเข้าไปสำรวจซากศพผู้เสียชีวิตด้วยความระมัดระวัง
สีหน้าของเขายิ่งมายิ่งแปลกประหลาดและเคร่งเครียด
“พวกเขาเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเกินไป”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนลุกขึ้นยืน ในใจขบคิดอะไรบางอย่าง ก่อนกล่าวว่า “กระจายข่าวออกไป มียอดฝีมือขั้นเซียนอยู่ในนครหลวง สั่งให้ทุกคนอย่าปะทะ เพราะไม่มีใครสู้เขาได้”
“ไม่มีทาง…”
แม่ทัพร่างสูงอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
เพี๊ยะ!
แม่ทัพร่างเตี้ยจึงต้องตบหน้าเรียกสติ
แม่ทัพร่างสูงชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล แต่เมื่อเห็นสายตาของทูตสวรรค์เหยาเหลียน มันจึงต้องรีบเสแสร้งแกล้งอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น ถ้อยคำอุทานจึงเปลี่ยนจาก ‘ไม่มีทาง’ กลายเป็น ‘น่าเหลือเชื่อที่สุด’
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนกล่าวว่า “บุคคลผู้นี้ต้องให้ทางวิหารส่งทูตสวรรค์ออกมาไล่ล่าเท่านั้น ภายในหนึ่งก้านธูป ข้าต้องการข้อมูลผู้หลบหนีที่กองทัพของเว่ยซวงหัวรับผิดชอบตามล่าตัวในวันนี้มาทั้งหมด”
คราวนี้เป็นแม่ทัพร่างเตี้ยบ้างที่เผลออุทานออกมาว่า “เวลาเพียงเท่านั้น เราจะไปหาข้อมูลได้อย่างไร…”
เพี๊ยะ!
แม่ทัพร่างสูงจึงต้องตบหน้าเรียกสติ
แม่ทัพร่างเตี้ยยกมือปิดปาก และรีบเปลี่ยนแปลงคำพูดของตนเองเสียใหม่ว่า “เวลามากมายเหลือเฟือ ข้าน้อยจะจัดเตรียมข้อมูลส่งมอบให้นายท่านแน่นอนขอรับ… แหะแหะ”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนมีสีหน้าใช้ความคิด ก่อนออกคำสั่งเสียงเข้ม “ปล่อยข่าวออกไปให้พวกเราระวังตัวสูงสุด มิเช่นนั้น ทุกคนอาจมีจุดจบเฉกเช่นเว่ยซวงหัว”
“รับทราบขอรับ”
“พวกเราจะรีบไปกระจายข่าวโดยเร็วที่สุด”
สองแม่ทัพใหญ่ร่างสูงเตี้ยรีบรับคำแข็งขัน
แล้วลมหายใจต่อมา ร่างของทูตสวรรค์ก็หายวับไปในอากาศ
เมื่อแน่ใจว่าท่านทูตสวรรค์ไม่อยู่แล้ว สองแม่ทัพใหญ่จึงได้หันหน้ากลับมาโต้เถียงกันอีกครั้ง
“เมื่อสักครู่เจ้าตบหน้าข้าหรือ?”
“เจ้าก็ตบหน้าข้าเช่นกัน”
“แต่เจ้าตบข้าก่อน”
“ข้าทำเพื่อช่วยชีวิตเจ้าต่างหาก…”
เมื่อเห็นเช่นนี้ บรรดาแม่ทัพนายกองของทั้งสองฝ่ายต่างก็รีบเข้ามาแยกผู้บังคับบัญชาของตนเองไปคนละทาง ทำให้มีนายทหารหลายคนได้รับลูกหลงจากการฟาดแขนฟาดขาของสองแม่ทัพสูงเตี้ยจนเลือดกำเดาไหลไปตาม ๆ กัน…
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะพวกมันเคยชินแล้ว
เหล่าแม่ทัพนายกองยกมือปาดเลือดกำเดาในความเงียบ…
ทักษะการหลบหลีกของพวกมันนับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง