ราชันเร้นลับ 1137 : ในประวัติศาสตร์

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ทะเลคลั่ง บนเกาะแห่งหนึ่งซึ่งปราศจากผู้คน

ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากทวีปใต้ แต่ก็ไม่มีใครทราบตำแหน่งในเชิงภูมิศาสตร์ เหตุผลที่ไคลน์เลือกเกาะแห่งนี้เป็นสถานที่เลื่อนลำดับ แง่หนึ่งเพราะต้องการหลีกเลี่ยงอามุนด์กับซาราธ และเพื่ออยู่ให้ห่างขอบเขตอำนาจของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย แต่ในอีกแง่หนึ่ง เนื่องจากทะเลคลั่งถูกปกคลุมด้วยพลังตกค้างจากเทพมรณา ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้อำนาจของเทพธิดารัตติกาล หากต้องการประกอบพิธีกรรมใหญ่ พลังของพระองค์จะช่วยปกปิดได้ไม่มากก็น้อย

เหนือสิ่งอื่นใด สถานที่แห่งนี้รกร้างว่างเปล่า ปราศจากสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุและคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์…ไคลน์มองไปรอบตัว ตัดสินใจเริ่มประกอบพิธีกรรม นำวัสดุที่เตรียมไว้ออกจากมิติเหนือสายหมอก

ทันทีหลังจากนั้น มันพลิกอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ปึกหนา ดึงบางแผ่นที่ยังไม่มั่นใจและไม่สามารถทำนายยืนยันออกมา

พรึบ!

เพียงสะบัดข้อมือ เปลวไฟสีแดงลุกท่วมปึกกระดาษ

วัตถุเสริมที่จำเป็นสำหรับโอสถปราชญ์โบราณก็คือ บันทึกทางประวัติศาสตร์โบราณที่ถูกต้อง ไคลน์จึงไม่ต้องการเสี่ยงใช้ข้อมูลที่ตนมิอาจยืนยันข้อเท็จจริง ต่อให้เนื้อหาจะลดลงก็ตาม

หลังจากเลือกเสร็จ อันดับแรก มันเทเลือดของสุนัขแห่งฟัลกริมลงในหม้อ จากนั้นก็ใส่ผลึกขนน้ำแข็งที่ชั่งน้ำหนักแล้วลงไป

ทันทีที่วัตถุดิบเสริมทั้งสองชนิดสัมผัสกัน หมอกเจือจางลอยสูงขึ้นทันที ห่อหุ้มภาชนะด้วยความสูงเท่าคนและกว้างหนึ่งศอก

ไคลน์ชำเลืองเข้าไปในหม้อ อาศัยสัมผัสวิญญาณช่วยนำทาง มันตัดสินใจยังไม่ใส่วัตถุดิบเสริมชิ้นสุดท้ายลงไป แต่ให้หุ่นเชิดเอ็นยูนโยนหัวใจที่ผุกร่อนของหมาป่าอสูรแห่งสายหมอก – วัตถุที่ดูคล้ายกับเกิดจากการควบแน่นของหมอก – ลงไปในหม้อต้ม

ขณะแขนของเอ็นยูนถูกน้ำค้างแข็งเกาะ สายหมอกที่อัดแน่นอยู่ภายในเส้นเลือดหัวใจเริ่มเกิดการยุบพอง หัวใจเริ่มเต้นแผ่วเบาประหนึ่งได้รับชีวิตชีวากลับคืนมา

โดยปราศจากความลังเล ไคลน์บังคับหุ่นเชิดเอ็นยูน หยิบดวงตาหนึ่งคู่ของสุนัขแห่งฟัลกริมออกมาถือ จากนั้นก็ยัดเปลวไฟสีแดงสองดวงเข้าไปในกลุ่มหมอกหนาทึบ

สีของกลุ่มหมอกเข้มขึ้นในพริบตา ไคลน์มองไม่เห็นหม้อต้มขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางอีกต่อไป

มันไม่ตื่นตระหนก เพียงบังคับให้หุ่นเชิดอีกตัวหนึ่ง โยนเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเข้าไปในกลุ่มหมอกทีละแผ่น

กลุ่มหมอกหนาทึบบรรจงหดตัวกลับเข้าไปในหม้อ และหลังจาก ‘ย่อย’ เอกสารทางประวัติศาสตร์เสร็จ กลุ่มหมอกดังกล่าวควบแน่นเป็นก้อน ลอยลงไปอยู่ที่ก้นหม้อในลักษณะคล้ายไอน้ำ กลายเป็นสสารที่มีสถานะกึ่งกลางระหว่างของเหลวกับก๊าซ สีแดงเข้ม ขนาดเกือบเท่าศีรษะทารก

ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ถอนลูกตุ้มวิญญาณที่ข้อมือซ้ายออก ทำนายยืนยันว่าโอสถปรุงสำเร็จหรือไม่

ผลการทำนายก็คือ วัตถุดังกล่าวอันตรายมาก แต่ก็พอจะทนไหว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอสถถูกปรุงสำเร็จ

ต่อให้ปรุงตามสูตรอย่างเคร่งครัด แต่โอสถลำดับสาม นั้นไม่ต่างอะไรกับยาพิษ หากเรารอดไปได้ก็จะเลื่อนลำดับ แต่ถ้าไม่ หากไม่กลายเป็นบ้าก็คงคลุ้มคลั่ง หรือในกรณีเลวร้ายก็ตายคาที่…ไคลน์จ้องจี้บุษราคัมที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาสักพัก ดึงโซ่เงินขึ้นและพันรอบข้อมือซ้ายกลับเข้าไป

มันจ้องโอสถที่ลอยอยู่ในหม้อ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว

นอกจากแก่นสำคัญอย่าง ‘สยองขวัญ’ ‘หวาดเสียว’ ‘กำกับการแสดง’ และ ‘ยากจะอธิบาย’ แล้ว จอมเวทพิสดารยังต้องมีคุณสมบัติเกี่ยวกับความลึกลับ นิรนาม ปกปิด ซับซ้อน และมีชะตากรรมที่ยากจะหยั่งถึง ต้องมีเพียบพร้อมทั้งสองด้านเท่านั้น จึงจะรวมกันเป็นจอมเวทพิสดารที่สมบูรณ์แบบ…ฝั่งหนึ่งคือรูปแบบของพฤติกรรม อีกฝั่งคือคุณสมบัติ…

และสำหรับเรา ต้นกำเนิดของเราลึกลับมากเสียจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ทราบความจริง แถมยังมีประสบการณ์ชีวิตที่ซับซ้อน เคยขัดขวางการจุติของเทพมาร เคยทำให้ราชาเทวทูตหวาดกลัว นอกจากนั้น ชะตากรรมของเรายังยากที่จะหยั่งถึง กระทั่งอสรพิษปรอทก็ยังมองไม่เห็นอนาคตล่วงหน้า ทุกปัจจัยประกอบกันจนโอสถของเราถูกย่อยอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้สรุปกฎเกณฑ์…

ทั้งหมดคือภาพสะท้อนของคำว่า ‘พิสดาร’

อา…พิธีกรรมของปราชญ์โบราณคือ ต้องตัดขาดจากโลกแห่งความจริงโดยสมบูรณ์เป็นเวลาอย่างน้อยสามร้อยปี เมื่อตัวเรากลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์และไม่ได้อยู่ในยุคปัจจุบัน ถึงตอนนั้นคือช่วงเวลาที่ต้องดื่มโอสถ…อันที่จริง การถูกแขวนอยู่เหนือบานประตูแห่งแสงก็นับว่าเพียงพอต่อการบรรลุเงื่อนไข…แต่ปัญหาคือหลังจากนั้น เราคืนชีพกลับมายังโลกความจริงในฐานะไคลน์·โมเร็ตติ ผ่านเหตุการณ์มากมายตลอดสองปี จารึกชื่อไว้บนโลกความจริงไม่น้อย นั่นจะส่งผลต่อเงื่อนไขของพิธีกรรมหรือไม่?

ก็คงจะส่งผลกระทบบ้าง…แต่โชคดีที่ระยะเวลารวมยังไม่ถึงสองปี ตัวตนของเรายังถูกสลักลงบนยุคสมัยไม่มากนัก… และเหนือสิ่งอื่นใด จะให้เราแขวนตัวเองใหม่อีกสามร้อยปีแล้วค่อยดื่มโอสถคงทำไม่ได้ เพราะโลกกำลังจะถึงจุดจบในอีกสิบแปดปีข้างหน้า!

นอกจากนั้น ข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์โบราณของเราก็ยังมีมากกว่าจอมเวทพิสดารคนอื่น อาจใช้สิ่งนี้เป็นข้อหักล้างได้ในบางแง่มุม ส่งผลให้อันตรายที่ต้องเผชิญไม่ร้ายแรงนัก…

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์สูดลมหายใจยาวพลางทำสมองให้โล่ง

ในสภาพแต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมและเสื้อขนสัตว์กระดุมสองแถว ผิวหนังของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใส หนอนแมลงที่มีสัญลักษณ์สามมิติซ้อนทับทยอยผุดขึ้นทีละตัว

หนอนแมลงโปร่งใสเริ่มดีดดิ้น ราวกับพวกมันต้องการปืนลงไปในหมอกหนาบริเวณก้นหม้อ เหลือทิ้งไว้เพียงเสื้อผ้าและหมวกที่ไม่มีใครสวม

ไคลน์ควบคุมร่างกายตัวเองไว้ได้อย่างยากลำบาก เหยียดมือขวาออกไปอย่างใจเย็น หยิบโอสถที่ถูกห่อหุ้มในกลุ่มหมอก

คล้ายกับโอสถไม่มีน้ำหนัก มันลอยขึ้นมายังใบหน้าชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา

ไคลน์อ้าปากและสูดลมสุดปอด

ทันใดนั้น โอสถเกิดการแปรสภาพและยื่นเข้าไปในปากไคลน์ ดูคล้ายกับกำลังกลืนแสงสีเข้มลงคอ

หนอนแมลงสีใสคลานกลับเข้ามาอยู่ในร่างกาย กรูกันเข้าไปฉีกกระชากโอสถและกลืนกิน

เนื่องจากร่างสัตว์ในตำนานของมันค่อนข้างพิเศษ สามารถรวมกันเป็นหนึ่งหรือแบ่งตัวเป็นจำนวนมหาศาลก็ได้ ไคลน์จึงสามารถดื่มโอสถได้ด้วยวิธีสุดพิสดารเช่นนี้

แต่แน่นอน หากมันสามารถควบคุมร่างวิญญาณได้อย่างใจนึก อะไร ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก

ไคลน์สัมผัสถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านไปทั่ว ‘หนอนวิญญาณ’ ทุกตัว มาพร้อมกับความแสบร้อนเล็กน้อย

หมอกสีเทาอ่อนที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกมันแผ่ปกคลุมโลกทั้งใบและฉายประสบการณ์ในอดีตของชายหนุ่มด้านล่าง

ประกอบด้วยเหตุการณ์เมื่อครั้งสร้างตำนานสยองขวัญ สนทนากับวิญญาณมารเทวทูตสีชาด พามิสจัสติสมารักษาลูก้าที่ใกล้คลุ้มคลั่ง ล่าเฮอร์วิน·แรมบิส จัดการกับร่างโคลนของอามุนด์ แก้แค้นอินซ์·แซงวีลล์ สำรวจเมืองกัลเดรอน ลอบเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล อาละวาดในทะเล ป้องกันไม่ให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ ปกป้องทิงเก็น และประสบการณ์ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ อันแสนสงบสุข

เป็นประสบการณ์ที่ได้เข้าไปพัวพันกับผู้คนและวัตถุมากมาย ทั้งซับซ้อนและกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร ขณะไคลน์กำลัง ‘บิน’ ท่ามกลางมิติแห่งสายหมอก มันมิอาจหาจุดยืนที่มั่นคงและแม่นยำให้กับตัวเอง เป็นความรู้สึกคล้ายกับกำลังหลงทาง ไม่เพียงเท่านั้น ความเย็นเยียบและความแสบร้อนยังคอยผลักดันให้ต้องบินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยากแก่การกลับสู่โลกความจริง

ไคลน์ฝืนควบคุมสติอย่างยากลำบาก ท่ามกลางจิตที่กำลังหลุดลอย ร่างของมันดิ่งลง พยายามค้นหาบางสิ่งเพื่อยืนยันความเป็นตัวเอง

ในที่สุดมันเห็นจุดแสงในส่วนลึกของสายหมอก อาศัยสัญชาตญาณ มันบินตรงไปด้วยท่าทางที่คล้ายกับล่องลอยอยู่บนอวกาศ

ภายในจุดแสงดังกล่าว ร่างหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมและห้อยลงมาเหนือบานประตูแห่งแสง โยกคลอนแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน รูปลักษณ์เหมือนโจวหมิงรุ่ยทุกประการ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไคลน์ลอยไปจับร่างตัวเองที่กำลังห้อยอยู่ตามลำพัง

ก่อนหน้านี้…ในตอนที่ใช้ยันต์วันวานอีกครั้ง เราไม่เคยเห็นฉากเหล่านี้มาก่อน แต่ปัจจุบันกลับทำได้…กล่าวคือ ระหว่างดำเนินพิธีกรรมเลื่อนลำดับ เราสามารถส่งอิทธิพลทางอ้อมไปยังปราสาทต้นกำเนิดเหนือสายหมอกสีเทาได้? จริงสิ ความคิดก็เริ่มกลับมาแล้ว…เมื่อสติไคลน์กลับมากระจ่างชัด ในที่สุดมันก็เข้าใจแก่นสำคัญของพิธีกรรม

ขจัดรายละเอียดที่คอยก่อกวนใจทั้งหมดออกไป ตามหาจุดยืนและตำแหน่งที่แท้จริงของตนให้พบและกลายเป็นปราชญ์โบราณ นั่นคือวิธีเดียวที่จะช่วยให้ไม่หลงทางท่ามกลางโลกใบนี้!

ถัดมา ไคลน์ตัดสินใจไล่ตามจุดแสงที่คล้ายคลึงกัน เริ่มบินเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอกสีเทาที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มันได้พบกับจุดแสงอีกมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วมิติหมอก มีทั้งยุคสมัยสงครามอาณานิคม ยุคสมัยโรซายล์ครองบัลลังก์ ยุคสมัยศึกตระบัดสัตย์ ยุคสงครามกุหลาบขาว ยุคสงครามยี่สิบปี ทั้งหมดคือประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่ห้าที่ไคลน์ทราบ

ขณะลอยผ่าน ไคลน์แบ่งบางส่วนของจิตใต้สำนึกออกมาตามสัญชาตญาณ นำไปสร้างการเชื่อมต่อที่มองไม่เห็นกับจุดแสงเหล่านั้น ช่วยให้จุดยืนและตำแหน่งของตัวเองชัดเจนมากขึ้น

ยุคสมัยแห่งความไร้ชีวิตชีวา ยุคสงครามสี่จักรพรรดิ ยุคจักรวรรดิทรันซอสต์ ยุคจักรวรรดิทูดอร์ ยุคจักรวรรดิร่วม ยุคจักรวรรดิโซโลมอนที่หนึ่งและสอง เหตุการณ์เทวทูตสีชาดร่วงหล่น เหตุการณ์จักรพรรดิโลหิตเถลิงบัลลังก์เทพ เหตุการณ์จักรพรรดิมืดคืนชีพ รวมไปถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ อีกมาก ไคลน์ยังคงค้นหาต่อไป จุดแสงสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ประหนึ่งดวงดาวที่มอบความสว่างในยามค่ำคืน ช่วยนำทาง ‘นักเดินทาง’ ให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

ยิ่งเดินทางลึกเข้าไป ไคลน์ยิ่งรู้สึกว่าสติของตนทวีความคมชัด อาการเย็นเยียบและแสบร้อนซึ่งเกิดกับหนอนวิญญาณเริ่มบรรเทาลงหลายส่วน

อันที่จริง มันสามารถหันหลังและกลับไปยังโลกความจริงได้นานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังไม่หยุดมุ่งหน้าอย่างกระตือรือร้น

ฉากการหักหลังของกุหลาบไถ่บาป ฉากของเทวทูตทั้งสามตน สีขาว วายุ และปัญญากำลังแบ่งปันร่างกายเทพสุริยันบรรพกาล ฉากการแอบสมคบคิดในวังราชาคนยักษ์ ฉากการแอบก่อตั้งองค์กรลับของรัตติกาล ธรณี และเทพสงคราม จุดแสงมากมายปรากฏขึ้นระหว่างทางที่เต็มไปด้วยสายหมอก ยิ่งไคลน์มองไปข้างหน้า มันก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย คล้ายกับเครื่องบินที่กำลัง ‘วิ่ง’ ก่อน ‘ทะยาน’

ในบางช่วง ฝูงสัตว์คล้ายสุนัขที่มีเบ้าตาเป็นเปลวไฟ ขนสั้นสีดำ ปรากฏขึ้นมาข้างขนาบข้างไคลน์และร่วมเดินทางโดยที่พวกมันเองก็มองไม่เห็นก้นบึ้งของสายหมอก ทำหน้าที่คอยอารักขาอย่างขันแข็งราวกับผู้พิทักษ์

ในหมู่พวกมัน มีสองตัวที่มีดวงตาแค่ข้างเดียว

ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวา มิอาจหุบยิ้ม ยังคงดำดิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอก

บางส่วนของประวัติศาสตร์ในยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจ และยุคสมัยแห่งการริเริ่มใช้ไฟ คอยนำทางไคลน์ไปข้างหน้า จนกระทั่งชายหนุ่มหยุดลงจนตรงหน้าจุดแสงที่ส่องสว่างอย่างเดียวดาย เป็นฉากของป่าเสื่อมโทรมที่แห้งแล้ง เบื้องหน้ามีหลุมศพของมนุษย์ขนาดปกติ

มันมองไปข้างหน้าอีกครั้ง พบเพียงสายหมอกสีเทา มองไม่เห็นจุดแสงสว่าง

เมื่อตระหนักว่าพลังวิญญาณใกล้หมด ไคลน์เลิกค้นหา เชื่องโยงจิตใต้สำนึกเข้ากับตำแหน่งเริ่มต้น จากนั้นก็ดิ่งลงไปด้านล่าง

จนกระทั่งหมอกสีเทารอบตัวจางหายไป ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าหม้อใบใหญ่

มันไม่แยแสร่างกายในปัจจุบัน เพียงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามสัญชาตญาณ

มันมองเห็นหมอกสีเทาด้วยสองตา และเห็นวังโบราณที่งดงาม ตั้งเด่นสง่าอยู่เหนือหมอกสีเทาขึ้นไป

พื้นที่ลึกลับดังกล่าวกำลังสั่นคลอนแผ่วเบา

ในกรุงเบ็คลันด์ บุรุษไปรษณีย์ที่กำลังปั่นจักรยานชะงักฝีเท้า เอียงคอเล็กน้อย เลื่อนมือขึ้นมาจับแว่นตาขาเดียวบนตาขวา

มันพึมพำกับตัวเอง

“ปราสาทต้นกำเนิด…”

ผ่านไปไม่กี่วินาที ชายหนุ่มหน้าเรียวยกมุมปากพลางหัวเราะในลำคอ สีหน้าเผยความคาดหวัง

เขตตะวันตกของเมืองเดียวกัน ภายในบ้านเช่าหลังหนึ่ง กลุ่มเงารางที่ถูกแขวนอยู่กลางอากาศและโยกเอน เปิดปากพูดโดยพร้อมเพรียง

“ปราสาทต้นกำเนิด…”

ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล เลียวนาร์ด·มิเชลซึ่งกำลังแบ่งงานให้สมาชิกในทีม ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างชราในหัว

“ปราสาทต้นกำเนิด…”

…………………………