บทที่ 545.2 ทุกคนที่อยู่บนเรือล้วนอาจกลายเป็นศัตรู

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งสาวเท้าเดินช้าๆ เลียบริมเส้นอาณาเขตของฟ้าดินขนาดเล็ก

ถูกปราณกระบี่ปั่นคว้านเรือนกายที่เป็นภาพมายาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลับมารวมตัวกันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ายหนึ่งไม่เหนื่อย อีกฝ่ายหนึ่งไม่สนใจ

ผู้เฒ่าย่อมรู้ดีว่าความมหัศจรรย์ของแผนการที่ตนจัดวางไว้อยู่ที่ตรงไหน

จิตใจของคนทุกคนนั้น บางทีแม้แต่เจ้าตัวน้อยพวกนั้นก็ยังไม่รู้ใจตัวเองอย่างแน่ชัด ในช่วงเวลาสำคัญที่นึกจะตายก็ตาย รวมไปถึงภายใต้โชควาสนาใหญ่ที่มีหวังว่าจะได้เป็นผู้สืบทอดของเซียน โชคใหญ่เคราะห์ใหญ่มักมาพร้อมกัน ถ้าเช่นนั้นการกระทำและคำพูดของคนเหล่านั้นก็จะทำให้เรื่องไม่คาดฝันและความเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบทอดยาวออกไป ตัดสลับถักทอกัน ต่างฝ่ายต่างวางแผนเล่นงานกันเอง ยากจะแบ่งแยกว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ข่มกลั้นจำศีล ฆ่าคนอย่างฮึกเหิม กุมหัววิ่งหนีเหมือนหนูข้ามถนน เจตนายากจะหยั่ง นิสัยแห่งวีรบุรุษ…

ลำพังเพียงแค่หาใครเจอก่อนก็ฆ่าคนนั้นก่อน จะฆ่าอย่างไร นั่นก็ล้วนเป็นกับแกล้มเล็กๆ จานแล้วจานเล่าที่มีรสชาติหลากหลายให้เลือกชิม

หากไม่เป็นเพราะกฎเกณฑ์ของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ยังหลงเหลืออยู่เยอะมาก ข้อหนึ่งในนั้นก็ยิ่งเหมือนบ่อสายฟ้าที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ บางทีป่านนี้เขาก็คงหล่อหลอมภูเขาสายน้ำของที่แห่งนี้สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องถูกบีบให้ขยับเข้าใกล้เขาเขียวน้ำใสครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนถูกพันธนาการมือเท้าอยู่ตลอดเวลา หากเขาสามารถบัญชาการณ์ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้จริงๆ คาดว่าเขาก็คงฝึกตนจนบรรลุมรรคผลที่ผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินได้นานแล้ว

แต่อุปสรรคขัดขวาง การระหกระเหเร่ร่อน การที่ได้แต่เลือกมดตัวน้อยขอบเขตต่ำต้อยบางส่วนมาเติมเต็มท้องตลอดหลายปีมานี้ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปทั้งหมด เขาอาศัยความคิดจิตใจของผู้อื่นมาขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของตน หลังจากผ่านมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผลประโยชน์ที่ได้รับก็มหาศาล ยิ่งนานวันก็ยิ่งมั่นใจในคำว่าแสวงหาความจริงมากเท่านั้น

หลังจากกินอิ่มมื้อนี้ก็ต้องย้ายถิ่นฐานอีกแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้สำนักที่อยู่ใกล้อุตรกุรุทวีปพวกนั้นสืบสาวเบาะแสมาเจอ

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั้นไปไม่ได้ เพราะมียอดฝีมืออยู่เยอะเกินไป ธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือสุดนั่นคือตัวเลือกที่ไม่เลว

ส่วนแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางใต้ ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกผู้ฝึกตนพูดคุยเรื่องของนอกภูเขา เว้นเสียจากว่าจะต้องเดินทางอ้อมไปไกลแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จำเป็นต้องผ่านอาณาเขตของขุนเขาเหนือ และหากองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือท่านนั้นเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งแล้ว

จะค่อนข้างยุ่งยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายยังมีชาติกำเนิดเป็นเทพภูเขา ก็ยิ่งยากที่ตนจะอำพรางร่องรอยได้อย่างมิดชิด

จะให้ไปเป็นผู้ถวายงานเล็กๆ ให้กับสกุลซ่งต้าหลีก็คงไม่ดีกระมัง หากรู้ข่าวเร็วกว่านี้ แล้วแจกันสมบัติทวีปยังไม่ได้กำหนดเทพแห่งขุนเขาทั้งห้าองค์ใหม่ ไปช่วงชิงตำแหน่งองค์เทพแห่งขุนเขามาก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลว

คงเป็นเพราะผู้เฒ่าเบื่อปราณกระบี่ที่ตามตอแยไม่หยุดนั้นจริงๆ จึงถอยกลับเข้าไปในม่านหมอกอันไพศาลอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิ ข้างกายมีนกกระเรียนเซียนที่พับจากกระดาษบินล้อมวน

โพรงถ้ำที่มีภาพวาดฝาผนังของเทพสวรรค์ทั้งสี่ท่านซึ่งเป็นทางเข้าซากปรักแห่งนี้ อันที่จริงเป็นของภูเขาลูกอื่นที่ปริแตก แต่ถูกเขานำมาหล่อหลอมแล้วจัดวางกองไว้ด้วยกันก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ภูเขามีชื่อเสียงที่ถูกเขานำมาหลอมไม่ได้มีแค่ลูกนี้ลูกเดียวเท่านั้น ดังนั้นคราวหน้าเมื่อสถานที่แห่งอื่นมีโชควาสนาเผยกายขึ้นบนโลก ก็จะเป็นทัศนียภาพอีกอย่างหนึ่ง หากมีผู้ฝึกตนมดตัวน้อยที่เหมาะสมเข้ามาในภูเขาแล้วมาเจอเข้าโดยบังเอิญ เขาก็จะแสร้งจัดวางตราผนึกระดับต่ำไว้หนึ่งชั้น ให้พวกผู้ฝึกตนเซียนดินไม่เกิดความสนใจมากนัก อย่างมากสุดก็เป็นคนอย่างซุนชิงจวนไช่เฉวี่ย ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ หรือไม่ก็หวนอวิ๋นผู้นั้นที่มาเป็นแค่ผู้ปกป้องมรรคา ไม่ใช่ว่าผู้เฒ่าไม่อาจกินก่อกำเนิดคนสองคนให้ลงไปกลิ้งในท้องตัวเองได้ แต่เป็นเพราะเขาต้องระวังด้วยหวังจะขับเรือได้นานหมื่นปี

ดังนั้นตัวอักษรบทกวีที่อยู่บนผนังก็ล้วนเป็นลายมือของผู้เฒ่า

เอามาใช้รับมือกับพวกคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด

ห้าสิบกว่าคนต่อจากนั้นก็ยิ่งโง่เขลา สู้ผู้ฝึกตนสามกลุ่มแรกไม่ได้แม้แต่น้อย เขาก็เลยถอนตราผนึกทั้งหมดออกซะ ใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ อีกนิดหน่อย ผลคือพอมีคนนำ คนอื่นก็พากันตามเข้ามาเอง

จิตใจคนไม่เคยทำให้เขาประหลาดใจได้เลยสักครั้ง

คนกลุ่มแรกที่เข้ามาในจวนตระกูลเซียน เงยหน้าก็เห็นนกกระเรียนเซียนบินล้อมภูเขา นั่นก็คือความมหัศจรรย์ที่ใช้ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน

ผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ แต่ละคนชอบขี้ระแวง หากเขาไม่มีลูกไม้อะไรบ้างเลย ก็คงจะเจอแต่พวกที่ถ้าไม่โง่จนไม่ติดกับ ก็เป็นพวกที่กลัวตายจนไม่กล้างับเหยื่อ

พูดไปแล้วก็น่าขัน

หากคนที่เข้าภูเขามาทุกคนมีปราณเที่ยงธรรมอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ฆ่าใคร ต่างคนต่างเอาสมบัติของตัวเองไป เขาก็คงจนปัญญาจริงๆ อย่างมากสุดก็ได้แค่ปิดประตูใหญ่ ปล่อยให้พวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นแก่ตายอยู่ที่นี่

โครงกระดูกสองโครงที่นั่งเล่นหมากล้อมตรงข้ามกันในศาลา ในอดีตก็เป็นเช่นนี้

ไม่ใช่ว่าฆ่าพวกเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะได้ไม่คุ้มเสีย

เพราะหากเปิดเผยเรือนกายที่แท้จริงเมื่อไหร่ ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นก็จะไม่เกรงใจกันอีก ถึงขั้นที่ว่าสามารถไล่ตามร่องรอยบุกเข้าไปฆ่าเขาถึงในหมอกขาวกว้างไพศาลนั้นได้ด้วย

ท่ามกลางกาลเวลายาวนานนับพันปีที่ผู้เฒ่าจำศีลมานี้ เขาเคยเจอกับความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงมาแล้วสองครั้ง

แล้วนับประสาอะไรกับที่อาศัยขอบเขต ใช้กำลังสังหารคน เหมือนเด็กน้อยที่ใช้ไม้ตีรังมดให้แตก ช่วงแรกเริ่มสุดที่ผู้เฒ่าอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เขาก็เคยทำมาเยอะแล้ว สุดท้ายไปเจอกับผู้ที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าผู้นั้น ถึงได้ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้

ตำหนัก หอเรือน วัตถุดิบวิเศษ วิชาลับตระกูลเซียนมากมายที่อยู่บนภูเขา สำหรับผู้เฒ่าแล้ว พวกมันไม่ได้มีความหมายมากนัก ส่วนใหญ่เป็นแค่การเตรียมการไว้สำหรับในอนาคตที่รอให้ขอบเขตของตนมากพอจะปกป้องตัวเองอยู่ในทุกๆ ทวีปของใต้หล้าไพศาล แล้วได้ก่อสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นสมบัติและโชควาสนาทั้งหมดก็จะกลายมาเป็นรากฐานของสำนักตัวเอง พวกของบางอย่างที่ระดับขั้นแย่เกินไป ผู้เฒ่าก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หลังจากที่แหลกสลายไปแล้วก็ปล่อยให้กับคืนสู่ฟ้าดิน กลายเป็นปราณวิญญาณก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร

ความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณในที่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโชคชะตาน้ำที่เข้มข้นนั่น ไม่ใช่ภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม

ตอนนี้คนที่ผู้เฒ่าจับตามองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เซียนดินโอสถทองสามคนนั้น แต่เป็นคนอื่นอีกสามคน

คนหนึ่งโชคดีเกินไป เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็จะโชคไม่ค่อยดีแล้ว

อยู่ดีๆ ก็ได้โชควาสนาสามส่วนไปจากอารามเต๋าบนยอดเขา หนึ่งคือเทวรูปไม้แกะสลักที่ผุพัง กระเบื้องแก้วมรกตที่หลอมขึ้นจากวิชาลับตระกูลเซียน และอิฐเขียวปูพื้นที่ซุกซ่อนโชคชะตาน้ำ

และยังมีอีกสองคน คนหนึ่งเป็นคนที่เขานึกอยากจะรับเป็นลูกศิษย์อย่างที่ไม่เคยคิดทำมาก่อน ใกล้เคียงกับคำว่ามีวาสนาแห่งเต๋าบนภูเขาอยู่บ้างจริงๆ หากได้กลายมาเป็นอาจารย์และศิษย์กัน ขอบเขตของลูกศิษย์จะทะยานพรวดพราด หนึ่งวันพัฒนาไปพันลี้ ในอนาคตคอยช่วยวิ่งวุ่นทำงานให้เขาอยู่ภายนอก ประสานรับกับอาจารย์อย่างเขาที่อยู่ภายใน จะยิ่งทำให้เขาประหยัดแรงกายแรงใจได้มากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าก่อกำเนิดก็ยังสามารถจับมากินได้ตามใจชอบ อาจารย์บรรลุมรรคผล ลูกศิษย์ก็เอาโอสถทอง ก่อกำเนิดและสมบัติไป ทุกคนล้วนปิติยินดีกันถ้วนหน้า เดินขึ้นที่สูงของใต้หล้าไพศาลไปพร้อมกัน ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจได้สวมชุดแพรกลับคืนสู่บ้านเกิด จนเจ้านักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครผู้นั้นตะลึงลานไปเลยก็เป็นได้

ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนที่น่าสนใจที่สุด ดังนั้นจึงกลายเป็นคนที่ต้องตายที่สุด

อีกทั้งคงไม่ต้องให้เขาลงมือเองด้วย

ถึงเวลานั้นทุกคนก็ฆ่ากันจนเหลือแค่ห้าคนอยู่แล้ว จะฆ่าเพิ่มไปอีกสักหน่อยก็ถือว่าน้ำมาคลองสำเร็จ สมเหตุสมผลดีแล้ว

อันที่จริงหากคนพวกนั้นสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ ละทิ้งอคติที่มีต่อกัน เลือกจะร่วมกันฝ่าทางตันนี้ไปให้ได้ บวกกับการดำรงอยู่ของปราณกระบี่เสี้ยวนั้น เขาคงต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากมากกว่านี้

แล้วก็คงได้แต่ ‘แบกท้อง’ ออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง รอคอยให้เจ้าคนพวกนั้นค่อยๆ แก่ตาย ตบะของทั้งร่างกลายเป็นปราณวิญญาณ กลับคืนสู่ฟ้าดินของถ้ำสวรรค์ในท้องแห่งนี้

แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?

เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ต่อให้อีกฝ่ายจะรักใคร่ปรองดองกันดี สุดท้ายมีก่อกำเนิดที่มีความหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งปรากฎตัว

ทว่าหากถึงเวลาเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็หนีไม่พ้นแค่ว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าเดิมเพื่อสังหารคนผู้นั้นทิ้งไปซะ

ยามใดฟ้าดินเชื่อมต่อกัน ยามนั้นหายนะใหญ่ย่อมมาเยือน

นี่ไม่ใช่คำล้อเล่นที่เขาบอกให้เทพกระดาษสามองค์พูดออกไปอย่างส่งเดชเท่านั้น

แต่หากมีใครที่ได้รับการยอมรับจากปราณกระบี่เสี้ยวนั้น นั่นต่างหากถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด

ปัญหาใหญ่เทียมฟ้า

ยังดีที่ดูจากตอนนี้ ยังไม่มีคนที่สวรรค์เข้าข้างเช่นนั้น

ในเมื่อตอนนี้อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ

 ผู้เฒ่าจึงเปิดตำราเล่มหนึ่งที่หน้าหนังสือบางราวปีกจักจั่น เนื้อหาด้านในเขียนด้วยตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันที่แทบจะมองไม่เห็น ระหว่างนี้ยังแทรกภาพเหมือนของผู้ฝึกตนไว้หลายหน้า

นอกจากนี้แล้วก็เป็นนิยายเรื่องยาวเล่มหนึ่ง

ทุกบทจะเป็นการบันทึกประสบการณ์และความเป็นความตายของผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ มีทั้งคำบรรยายและภาพประกอบอย่างละเอียด คำพูดการกระทำของทุกคนที่อยู่ที่นี้ล้วนมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนไม่ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว แต่ว่าเรื่องราวในแต่ละบทมียาวมีสั้น

มองดูเหมือนไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นตัวละครหลัก แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนตายได้ทั้งสิ้น

นี่ก็คือวิธีการฝึกตนที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากการแอบหลอมขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลาหลายปีจนนับไม่ถ้วนนี้ของผู้เฒ่า

ในไอหมอกขาวโพลน ภูเขาสายน้ำที่อยู่ในอาณาเขตล้วนปรากฏให้เห็นเด่นชัด

นี่ก็คือวิชาเทพมองขุนเขาแม่น้ำชั้นสูงอย่างแท้จริง

การเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะในทุกวันนี้ ไม่เหมือนกับวิชาที่สามลัทธิร้อยสำนักใคร่ครวญขึ้นมาเองในอดีต ต้องเรียนรู้มาเช่นกัน

คนที่ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่อยากไปเยี่ยมเยียนมากที่สุด ไม่ใช่อริยะสามลัทธิอะไร แต่เป็นผู้ฝึกตนสำนักประพันธ์หนึ่งในร้อยสำนัก และพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่พวกเขาเฝ้าพิทักษ์

มหามรรคาของพวกเขาต้องสามารถสร้างประโยชน์ ได้ปราศรัยได้ความรู้ ได้ขัดเกลาให้แก่กันและกันอย่างแน่นอน

บัณฑิตของใต้หล้านี้ เวลาพูดจามักจะมีจุดที่ต้องพิถีพิถันอยู่เสมอ

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองทิศทางของอารามเต๋าบนยอดเขาเขียวขจี แล้วก็ต้องทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง

หวนนึกถึงในปีนั้น เขาติดตามคนผู้นั้นมาฝึกตนด้วยกัน บนภูเขามีคนน้อย มีเพียงตำราที่เยอะ หนังสือที่เก็บสะสมไว้มีมากมาย เขาเองก็ถือว่าได้อ่านตำราทุกรูปแบบมาอย่างถ้วนทั่ว

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คนผู้นั้นเปิดปากพูดอย่างที่หาได้ยาก ถามเขาว่าอ่านหนังสือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

คำตอบของเขาก็คือ อ่านตำราลัทธิเต๋า ในชีวิตมีความตาย ค่อนข้างเย็น อ่านพระธรรมลัทธิพุทธ ในความขมขื่นมีความสุข ค่อนข้างร้อน อ่านคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ ค่อนข้างรำคาญ

คนผู้นั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า บางส่วนที่อ่านเข้าหัว หากห่างไกลเกินก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจ คนอยู่ในภูเขาลึก เห็นภูเขาไม่เห็นคน นับว่ายังดี

เพียงแต่ไม่รอให้เขาได้อ่านหนังสือไปมากกว่า ก็เกิดอุบัติการณ์สะเทือนฟ้าที่หนึ่งกระบี่ถูกปล่อยออกมา ปราณกระบี่ราวห่าฝนเกิดขึ้นเสียก่อน

กระบี่นั้น ต่อให้วันนี้มาหวนนึกถึงก็ยังทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลัง อกสั่นขวัญผวาได้อยู่เลยจริงๆ

ก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไป เพื่อแหวกผ่าม่านฟ้า ส่งตนและฟ้าดินขนาดเล็กที่เปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้งแห่งนี้ให้ออกไปจากใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิดพร้อมกัน อันที่จริงก็เป็นเพราะว่าไม่เหลือกำลังให้พันธนาการตัวเองมากกว่า จึงได้แต่ตั้งกฎให้ตัวเองสามข้อ

กาลเวลายาวนาน กฎสามข้อที่ว่านั้นจึงไม่ใช่พันธนาการอะไรอีก ตอนนี้ก็เหลือแค่ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นที่ยังฝืนยืนหยัดอย่างยากลำบาก

เมื่อผู้ฝึกตนของใต้หล้าแห่งนี้บุกเข้ามาที่นี่ ก็เหมือนกับหวงซือผู้ฝึกยุทธคนนั้นที่การกระทำแต่ละอย่างกำเริบเสิบสานอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อยทำลายเทวรูปไม้ให้พังทลายครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจบเรื่องเขายังต้องมาซ่อมแซม เอาพวกมันกลับมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่ ความเคารพยำเกรงน้อยนิดที่เหลือต่อคนผู้นั้นก็สลายหายไปสิ้น

ผู้เฒ่าชำเลืองตามองไปยังทิศไกล

หากมีคนกล้าทำลายแผนการทางจิตใจของเขาในครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่นกล้าใช้กำลังสยบฝูงชน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถตายก่อนได้

เขาจะได้เชือดไก่ให้ลิงดูพอดี ไอ้ลูกกระต่ายพวกนั้นจะได้ยิ่งเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานยุคบรรพกาลบางท่าน

ค่าตอบแทนบางอย่างที่ต้องจ่ายไปก็หนีไม่พ้นเผาผลาญตบะภายนอกที่สะสมมาไม่กี่สิบปีเท่านั้น สำหรับบุคคลอย่างเขา เวลาคือสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุด การขัดเกลาจิตแห่งเต๋าและการฝึกฝนตบะเท่านั้นถึงจะมีค่ามากที่สุด

คนที่มีโอกาสทำแบบนี้กลับไม่ทำ

คนที่ไม่มีปัญญาจะทำแบบนี้ ดันดึงดันอยากจะทำ ยกตัวอย่างเช่นท่านโหวน้อยที่ชื่อว่าจานชิงผู้นั้น ทำตัวชวนให้ขบขันนัก ผิดหนึ่งก้าวก็ผิดไปทุกก้าว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางมีชีวิตได้ยืนยาว อีกทั้งไม่แน่อาจจะต้องตายด้วยความเจ็บปวดเสียใจด้วย

ยกตัวอย่างเช่นตายด้วยน้ำมือของมดตัวใดตัวหนึ่ง?

หรือไม่เขาควรจะจัดการทำให้เจ้าเด็กน้อยนี่ตายด้วยน้ำมือของพี่หญิงป๋ายที่เขารักดี?

……

บริเวณใกล้เคียงกับสะพานโค้งหยกขาว ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสงครามวุ่นวายทางจิตใจที่อันตรายมากยิ่งกว่า

หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าสร้างยันต์ค่ายกลโอบล้อมไว้รอบเรือนกาย

ป๋ายปี้กอดฉินโบราณ ‘หิมะปลิวปราย’ ไว้ในอ้อมอก แล้วก็ไม่มีความคิดจะเก็บเงินยาเซิ่งสิบแปดเหรียญนั้นไปด้วย

ชั่วเวลานั้นลมปราณของสถานที่แห่งนี้วุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด

แต่ก็ช่วยสกัดกั้นการลอบสังเกตการณ์ของผู้ฝึกยุทธผู้ฝึกตนทุกคนจากที่อื่นๆ ได้พอดี

หลังจากที่คนทั้งหกยืนนิ่งแล้ว ต่างคนก็ต่างใช้เสียงในใจสื่อสารกัน

หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่า ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ย ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ

หากดูจากตอนนี้ พวกเขาคือคนที่มีโอกาสและศักยภาพมากพอจะมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงท้ายที่สุด

แต่เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้ต่างก็มีห่วงให้ต้องคอยเป็นพะวง

ซุนชิงคืออู่ชวินและลูกศิษย์คนนั้น

ป๋ายปี้คือจานชิง

หวนอวิ๋นจำเป็นต้องเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ

ผู้สืบทอดของสำนัก คู่รักบนมหามรรคาในอนาคต คนรู้ใจของตัวเอง

ดังนั้นสำหรับคนทั้งสามแล้ว สถานการณ์นี้คือสถานการณ์ถามใจที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ไม่แพ้คนอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อเลย

ไม่ใช่ว่าหวนอวิ๋นไม่เคยคิดที่จะร่วมมือกับทุกคนต่อต้านกฎเกณฑ์ประหลาดของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้

แต่อันตรายเกินไป ง่ายที่จะพาตัวเองเข้าสู่ทางตาย

เชื่อว่าทั้งซุนชิงและป๋ายปี้เองก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

มีใจแต่ไร้กำลัง แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีใจหรือไม่

ป๋ายปี้เปิดปากเอ่ยก่อนว่า “หาห้าคนนั้นให้เจอก่อน”

ซุนชิงคลี่ยิ้มบางๆ “หาเจอแล้ว แล้วควรจะทำอย่างไร?”

ป๋ายปี้เปลี่ยนข้อเสนอใหม่ “ถึงอย่างไรก็น่าจะหาผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นเจอก่อนใครกระมัง?”

ซุนชิงส่ายหน้า “คนประเภทนี้ เจ้าคิดว่าหาเจอแล้ว แล้วจะสังหารได้ตามใจชอบงั้นหรือ? ถึงเวลานั้นเจ้าป๋ายปี้จะเป็นทัพหน้า หรือจะให้ท่านโหวน้อยที่มีวิชาอภินิหารลึกล้ำท่านนี้ลงมือด้วยตัวเองดีล่ะ?”

เพียงไม่นานก็มีคนสองคนพูดคล้อยตามไปกับซุนชิง

จานชิงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

ท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งแรก ตนกลายเป็นเป้าหมายที่ฝูงชนหวังสังหาร ไม่ว่าใครก็ล้วนฮึกเหิมใส่กำลังเต็มที่เพื่อจะฆ่าเขา

กลายเป็นว่าตาเฒ่าที่การกระทำและคำพูดชวนขบขันคนหนึ่งกลับเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็เกิดใจกริ่งเกรง ดูจากท่าทางแล้วคงยังไม่มีใครเปิดฉากล้อมสังหารล่าเขาเป็นเหยื่อในเร็วๆ นี้

——