ตอนที่ 1,010 ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเทพีกระบี่หิมะไร้นามแต่เพียงผู้เดียว
“อาการบาดเจ็บของท่านรุนแรงมากหรือ?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายลุกวาว “ผู้ใดทำร้ายท่าน?”
เทพีกระบี่หัวเราะในลำคอ “อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดแก้แค้นให้ข้า?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ถึงท่านไม่ได้รักกันลึกซึ้งอันใด แต่อย่างไรท่านก็เป็นผู้หญิงของข้า…”
ดวงตาของเทพีกระบี่เป็นประกายดุดันขึ้นมาทันที
“ก็ได้ ๆ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ “ท่านคือเทพเจ้า ท่านไม่ได้เป็นผู้หญิงของใครทั้งนั้น ข้ารู้แล้ว”
เทพีกระบี่หรี่ตาลงและกล่าวต่อ “ด้วยระดับพลัง ณ ปัจจุบัน เจ้าเอาชนะเขาไม่ได้หรอก”
หลินเป่ยเฉินยกแขนขึ้นทำท่าเบ่งกล้ามและพูดด้วยความมั่นใจ “นี่ ท่านดูเสียก่อน บัดนี้ข้าแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนตั้งหลายเท่าแล้วนะ”
“จริงหรือ?”
เทพีกระบี่ทรุดกายนั่งลงอย่างแช่มช้าและลูบมือลงไปบนที่วางแขนของบัลลังก์หิน “เจ้าพิสูจน์ได้หรือไม่?”
สีหน้าของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนไปทันที “ที่นี่เลยหรือ? คงไม่ดีกระมัง”
แต่พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อของตนเองแล้ว
เทพีกระบี่ชะงักกึก ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายดุร้ายอีกครั้ง “เจ้าสมองหมู ในหัวของเจ้ามีแต่เรื่องพรรค์นั้นหรืออย่างไร?”
“อ้าว?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความตกใจ “ท่านไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอกหรือ…”
“หุบปากของเจ้าไปซะ”
เทพีกระบี่ขัดขึ้นด้วยความขุ่นเคืองใจ “พวกตระกูลเว่ยมีเทพเจ้าคอยหนุนหลัง เทพเจ้าที่แท้จริง หากเจ้ายังไม่อยากตาย ได้โปรดจงรีบหนีออกไปจากเมืองนี้ซะ”
เทพเจ้า?
เทพเจ้าที่แท้จริง?
ความสงสัยปรากฏขึ้นบนสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน “ท่านหมายความว่าเว่ยหมิงเฉินเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพเจ้าใช่หรือไม่?”
เทพีกระบี่ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ แต่เป็นเทพเจ้าตัวจริงจากดินแดนทวยเทพที่ได้ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์แล้ว”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาในทันใด “ไม่มีทาง นี่ท่านกำลังจะบอกว่า… เทพเจ้าสามารถลงมาที่โลกมนุษย์ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
นั่นคือเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้
ยกตัวอย่างเทพีกระบี่ผู้นี้เป็นต้น
ที่นางลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ได้ ก็เพราะได้ถอดวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเองลงมาจากดินแดนทวยเทพ และกลายร่างเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง
หากใช้ทฤษฎีนี้ เทพเจ้าองค์อื่น ๆ ที่ต้องการลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ ก็ต้องผ่านความตายมาก่อนไม่ใช่หรือ?
แต่สีหน้าแววตาและน้ำเสียงของเทพีกระบี่ก็บอกอย่างชัดเจนว่าเทพเจ้าที่คอยหนุนหลังตระกูลเว่ยในครั้งนี้ หาใช่เทพเจ้าที่ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ แต่เป็นเทพเจ้าที่ยังคงอิทธิฤทธิ์ทุกอย่างอยู่โดยสมบูรณ์
“หรือหากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ตระกูลเว่ยได้รับการหนุนหลังจากเทพเจ้านอกสารบบ แต่เทพเจ้าผู้นี้ได้รับการยอมรับจากดินแดนทวยเทพ ดังนั้น มันจึงถูกยอมรับในฐานะของเทพเจ้าที่แท้จริง”
แววตาของเทพีกระบี่พลันเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองสินะ
หลินเป่ยเฉินนึกถึงไป๋ชินหยุนขึ้นมาในทันใด
ตอนแรก ไป๋ชินหยุนอาศัยชื่อเสียงของเทพเจ้านอกสารบบคอยช่วยงานพวกตระกูลเว่ย แต่ทันทีที่ตระกูลเว่ยได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้าองค์อื่น ๆ พวกมันก็รีบเขี่ยนางทิ้งไปทันที
เพราะเด็กสาวผู้หนึ่งที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้านอกสารบบ ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงกับเทพเจ้าที่แท้จริงได้อยู่แล้ว
แต่เทพเจ้าที่คอยหนุนหลังตระกูลเว่ยอยู่ในขณะนี้เป็นผู้ใดกันแน่?
“หากเป็นเช่นนั้น ระบบเทพเจ้าในดินแดนทวยเทพไม่เริ่มเสื่อมถอยลงแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามด้วยความสนใจ
“เฮอะ…”
เทพีกระบี่แค่นหัวเราะด้วยความขมขื่น “ที่นั่นเคยมีระบบอันสมบูรณ์แบบตั้งแต่เมื่อไหร่ เทพเจ้าส่วนมากล้วนเมามายอยู่ในสุรานารี สุดท้าย อำนาจที่แท้จริงก็ตกอยู่ในมือของเทพเจ้าไม่กี่องค์เท่านั้น”
ระบบเทพเจ้าเป็นเช่นนี้เองหรือ?
หลากหลายความรู้สึกปรากฏขึ้นในจิตใจของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “ถ้าอย่างนั้นผู้ที่ทรงพลังสูงสุดในดินแดนทวยเทพก็คือ…”
เทพีกระบี่มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง “ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว บอกเจ้าก็คงไม่เป็นไรกระมัง”
หลังจากนั้น ถ้อยคำห้าพยางค์ก็ถูกพูดผ่านไรฟันที่กัดกรอด…
“เผ่าพันธุ์เทพพงไพร”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนแปลงไปทันที
เรื่องใหญ่แล้วสิ
“เทพพงไพรมีความน่ากลัวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เขาเริ่มรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เนื่องจากหลินเป่ยเฉินจำได้ว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามเคยบอกว่า นางไปขโมยคัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณมาจากเผ่าพันธุ์เทพพงไพรเหล่านี้นี่เอง
ไม่ทราบเลยว่านางพูดจริงหรือพูดเล่น
แต่ดูจากความประพฤติที่ผ่านมาของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม ก็มีความเป็นไปได้สูง… ที่นางจะพูดจริง
“พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพจากกลุ่มเทพเจ้าด้วยกันมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณซึ่งถือเป็นสุดยอดคัมภีร์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนทวยเทพ ก็อยู่ภายใต้การครอบครองของเทพพงไพร หลายคนเมื่อได้ฝึกวิชาในคัมภีร์นี้ ร่างกายก็จะมีพลังปราณธาตุถึงห้าชนิด สถานะย่อมสูงส่ง… แต่ช่างเถอะ เรื่องราวเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า พูดไปก็ไร้ประโยชน์…”
เทพีกระบี่หยุดพูดกะทันหัน
แต่หลินเป่ยเฉินกำลังตกตะลึงสุดขีด
“คัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณคือคัมภีร์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนทวยเทพอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มอุทานออกมา
เทพีกระบี่หันกลับมามองหน้าเขาและหัวเราะเยาะว่า “อะไรกัน? ได้ยินเกี่ยวกับของดีเข้าหน่อย เจ้าก็อยากได้กับเขาด้วยหรือ? ข้าขอแนะนำให้เจ้าเลิกคิดเสียเดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่เจ้าไม่ได้มีพลังปราณธาตุห้าชนิดอยู่ในตัว ถึงต่อให้เจ้ามี เจ้าก็ฝึกมันไม่สำเร็จ…”
หลินเป่ยเฉินสอบถามอย่างตะกุกตะกักว่า
“แล้วถ้าข้าสามารถฝึกได้สำเร็จล่ะ?”
“หากเจ้ามีพลังปราณธาตุห้าชนิดและสามารถฝึกคัมภีร์นี้ได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขอแนะนำเจ้าในฐานะที่เป็นเทพเจ้าผู้ซึ่งร่วมรักกับเจ้ามาแล้ว 135 ครั้ง ข้าก็อยากให้เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจรอรับชะตากรรมที่แสนเลวร้ายเอาไว้เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ…”
เทพีกระบี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่แสดงสีหน้าตื่นตกใจ
เทพีกระบี่กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “หากมีผู้ใดรู้ว่าเจ้าสามารถฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้สำเร็จ… เจ้าก็จะสูญสิ้นอิสรภาพโดยทันที”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำท่าประหลาดใจด้วยความบริสุทธิ์
เทพีกระบี่ตอบว่า “เทพพงไพรไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้าฝึกวิชาของตนเองมาก่อน หากเจ้าไปขโมยคัมภีร์ของพวกเขามาฝึกวิชานี้ได้สำเร็จ วิญญาณของเจ้าก็จะถูกจองจำตลอดกาล เจ้าจะถูกแผดเผาด้วยดวงตะวันและเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งครบกำหนด 5,000 ปี แล้ววิญญาณของเจ้าก็จะแตกสลายโดยสมบูรณ์”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินกระตุกระริกราวกับผิวน้ำที่สั่นไหว
บัดนี้ เขาเพียงอยากจะบอกกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามว่า
คืนเงินของข้ามาและเอาคัมภีร์ของท่านกลับคืนไป
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเทพีกระบี่หิมะไร้นามเพียงผู้เดียว
เป็นเพราะคัมภีร์เล่มนั้นเพียงเล่มเดียว
ขณะนี้ เด็กหนุ่มสามารถฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้สำเร็จแล้ว ต่อให้ถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันออกไป เขาก็ยังไม่สามารถปกปิดร่องรอยได้อยู่ดี
หลินเป่ยเฉินพบว่าตนเองอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา…
เขาเหมือนคนที่ขี่หลังเสือโดยไม่รู้ตัว
และกว่าจะรู้ตัว ก็หาจังหวะกระโดดลงไม่ได้เสียแล้ว
นี่มันน่ากลัวมากเกินไป!
นี่มันอันตรายมากเกินไป!!
ไม่ได้การแล้ว!!!
เขาต้องหาทางทำลายเผ่าพันธุ์เทพพงไพรพวกนั้นให้จงได้
มิเช่นนั้นแล้ว พวกมันจะต้องบุกมาไล่ล่าตามฆ่าเขาแน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินลอบสบถสาบานอยู่ในใจ
เขาปกปิดความหวาดกลัวในหัวใจและเสแสร้งแกล้งถามโดยปราศจากความรู้สึกว่า “สรุปก็คือ เทพพงไพรคือกลุ่มที่หนุนหลังตระกูลเว่ยอยู่อย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง
เทพีกระบี่ส่ายหน้าตอบว่า “ตระกูลเว่ยนับเป็นตัวอะไร เหตุไฉนเทพพงไพรผู้สูงส่งถึงต้องลดตัวลงมาร่วมมือกับพวกมันด้วย? มันก็แค่เพียงเทพเจ้าข้างถนนที่โชคช่วยได้เข้าไปอยู่ในเผ่าเทพพงไพรผู้หนึ่งเท่านั้น เหอเหอเหอ…”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างโดยทันที
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด เมื่อเทพีกระบี่ต่อสู้กับคนของตระกูลเว่ย นางถึงกับต้องพบกับความพ่ายแพ้และต้องเก็บตัวอยู่ในวิหารของตนเองเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินถึงพบเห็นนักบวชจำนวนมากได้รับบาดเจ็บตลอดทางขึ้นเขา
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดวิหารหลวงจึงดูรกร้างและวังเวงถึงเพียงนี้
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่า เทพีกระบี่คือหนึ่งในเป้าหมายที่พวกมันตั้งใจเล่นงานนั่นเอง!!