บทที่ 1756 คลื่นลมสงบ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หยางเจาชิงเลือกสถานที่สร้างจวนไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจุดที่มีสภาพแวดล้อมดีที่สุดของแผ่นดินผืนนี้ มีภูเขาสูง ทุ่งหญ้า หุบเขาดอกไม้ น้ำพุร้อน น้ำตก ทะเลสาบ เดิมทีเป็นสถานที่ฝึกตนของศิษย์ปราสาทดำเนินจันทร์คนหนึ่ง ตอนนี้ก็เหลือแค่รอให้เหมียวอี้มาตัดสินใจครั้งสุดท้าย

หลังจากกำลังพลดูสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว ก็ทยอยกันเที่ยวลาดตระเวนทั้งแผ่นดินแผ่นนี้ ผลปรากฏว่าไม่เจอที่ไหนสภาพแวดล้อมดีกว่านี้แล้วจริงๆ ส่วนที่อื่นจะมีจุดที่ดีกว่านี้หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจ ต่อให้มีก็ไร้ประโยชน์ เพราะปราสาทดำเนินจันทร์จำกัดขอบเขตเอาไว้แล้ว ไม่ให้เจ้าครอบครองที่อื่น

ตอนที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง เหมียวอี้ที่เหาะลงเหยียบบนยอดเขาพยักหน้าบอกว่า “มีแค่ที่นี่แล้ว เรียกรวมช่างให้เริ่มก่อสร้างเลยแล้วกัน”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

แดนฝึกตนมีช่างที่ทำงานก่อสร้างโดยเฉพาะ ตราบใดที่จ่ายไหว อยากจะสร้างอย่างไรก็ไม่มีปัญหา

หลังจากนั้นหลายเดือน ตำหนักใหญ่โตหลังหนึ่งที่งดงามอลังการก็ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา บนประตูมีตัวอักษรตัวใหญ่ : จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล

รอบด้านเป็นแนวภูเขาที่สูงต่ำสลับกัน เสียงตัดหินก่อสร้างยังดังอยู่ สวนหลายแห่งสร้างกระจายตามสภาพพื้นที่ ยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แบ่งเป็นที่พักให้ทัพใหญ่

“เป็นยังไงบ้าง? พอใจมั้ย?”

ตอนค่ำของวันหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่ขึ้นมาบนแท่นสังเกตการณ์กับเหมียวอี้ชี้ไปยังตึกศาลาในตำหนักพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสนิทสนม

เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม เรื่องนี้เขาไม่มีอะไรต้องกังวลเลย อวิ๋นจือชิวจัดการทุกอย่างแล้ว ผู้หญิงเหมือนจะสนใจการตกแต่งบ้านของตัวเองเป็นพิเศษ นางตั้งใจไปซื้อของมากมายจากตลาดสวรรค์เพื่อมาประดับตกแต่งจวน

ส่วนเหมียวอี้ก็ลองสานสัมพันธ์กับปราสาทดำเนินจันทร์หลายครั้ง แต่ใครจะคิดว่าท่าทีของอีกฝ่ายที่มีต่อเจ้าจะเป็นแบบ ‘จนกระทั่งแก่ตายก็ไม่คบค้า’

หลังจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสร้างเสร็จสมบูรณ์ เหมียวอี้ก็เริ่มเพ่งสมาธิหลักไปกับการฝึกวิชา นอกจากงานงานประจำบางอย่างที่ต้องจัดการ เขาก็แทบจะไม่โผล่หน้าออกมาเลย

ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร สถานการณ์โดยรวมเอื้อประโยชน์ต่อเขา การปรับปรุงภายในของสี่ทัพใช่ว่าจะเสร็จภายในเวลาสั้นๆ เรื่องที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ล้ำลึกยาวนานแบบนี้ได้ทำให้ภายในเกิด กระแสตีกลับบ้างแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งครอบครัว จะไม่ให้ดิ้นรนหาทางรอดก็คงแปลก นอกจากนี้ ยังมีคนลงมือก่อกวนสี่อ๋องสวรรค์เป็นระยะ ทางสี่ทัพไม่มีเวลามายุ่งกับเหมียวอี้เลย

พื้นที่ของแดนรัตติกาลไม่มีปัญหาอะไร ส่วนช่องทางรายได้จากน้ำพุวังเวงที่ทัพใหญ่หนึ่งแสนบีบไว้ ทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นับว่าได้กินกันจนอิ่ม ส่วนทางตำหนักนารีสวรรค์ก็ได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่เช่นกัน จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่อาจฮุบภาษีไว้คนเดียวได้ ย่อมเก็บไว้ที่ตัวเองเพียงส่วนเดียว ยังมีอีกส่วนที่ต้องส่งขึ้นไปข้างบน

ส่วนสถานการณ์ของเหมียวอี้ตอนนี้ แค่บรรลุเป้าหมายปัจจุบันก็ถือว่าอิ่มตัวแล้ว ถ้าโลภอยากได้ตำแหน่งสูงกว่านี้ก็ออกจะเพ้อฝันไปหน่อย เพราะพลังของเขาต่ำเกินไป  ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อน ไม่มีภัยคุกคามจากภายนอกและมีกำลังทรัพย์เพียงพอ เขาทำได้เพียงมุ่งมั่นฝึกวิชา

เหมียวอี้เลิกใช้ยาแก่นเซียนฝึกวิชาแล้ว กลับมาใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาอีกครั้ง นอกจากจะประหยัดทรัพยากรฝึกตน ประสิทธิภาพก็สูงกว่าอีกด้วย เดิมทีค่างจ้างที่เบื้องบนจ่ายให้ก็เป็นลูกแก้วพลังปรารถนาอยู่แล้ว ลูกแก้วพลังปรารถนาของทัพใหญ่หนึ่งแสนถูกเหมียวอี้เก็บเข้ากระเป๋าตัวเองหมด จากนั้นซื้อพวกยาแก่นเซียนมาแจกแทน พวกลูกน้องยินดี เหมียวอี้เองก็แอบได้สิทธิประโยชน์เหมือนกัน

อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้อาศัยผลประโยชน์ไปด้วย เพราะตอนเหมียวอี้ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกวิชา ปฏิกิริยาลูกโซ่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ลูกแก้วพลังปรารถนาที่เหมียวอี้ใช้ฝึกคนเดียวแทบจะเติมเต็มอีกสองคนได้พร้อมกัน ทั้งสี่คนไม่สามารถฝึกวิชาอยู่ในห้องสมาธิพร้อมกันได้ ต้องมีสักคนที่คอยส่งข่าวรับข่าวอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่จะเป็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ผลัดกันเฝ้าด้านนอกและใช้วิธีฝึกตนตามปกติคนละหนึ่งเดือน ส่วนอีกคนก็ฝึกพร้อมกับอวิ๋นจือชิวและเหมียวอี้ในห้องสมาธิ

ตอนที่กำลังสร้างจวนหัวหน้าภาค อวิ๋นจือชิวก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับด้านนี้แล้ว มีพื้นที่ว่างเพียงพอให้ฝึกวิชา

และประโยชน์ที่ทั้งสามฝึกวิชากับเหมียวอี้ก็ไม่ใช่แค่ประหยัดทรัพยากรฝึกตนเท่านั้น ประโยชน์ที่มากที่สุดก็คือไม่ต้องกลั่นกรองอะไร เป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาให้ดูดซับไม่หยุด แค่คิดก็รู้ถึงความก้าวหน้าในการฝึกแล้ว ถึงขั้นประหยัดแรงกว่าตัวเหมียวอี้เองอีก เพราะเหมียวอี้ยังต้องกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาเพื่อเรียกพลังจิตวิญญาณ ทั้งยังต้องควบคุมขอบเขตพลังจิตวิญญาณด้วย แต่ผู้หญิงทั้งสามเรียกได้ว่าไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่นั่งรวบรวมสมาธิทั้งหมดดูดซับพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาก็เท่านั้นเอง เรียกได้ว่าฝึกได้ก้าวหน้ารวดเร็วมาก เร็วกว่าตอนที่เหมียวอี้อยู่ในระดับนี้เสียอีก

ที่จริงเหมียวอี้สามารถฝึกวิชาพร้อมกับกับคนเยอะกว่านี้ได้ ทำให้ประหยัดทรัพยากรฝึกตนมากขึ้นด้วย เพียงแต่บางเรื่องต้องออมมือไว้บ้าง เรื่องบางเรื่องถูกลิขิตไว้ว่าไม่ให้คนรู้เยอะเกินไป

หลังจากนั้นหนึ่งร้อยปี เหยียนซิวก็กลับมาที่นี่อย่างเป็นทางการ เหมียวอี้โผล่หน้าออกมาพบเขาสักหน่อย

บนแท่นสังเกตการณ์สูง ขณะกวาดตามองไปรอบๆ เหมียวอี้ก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ธงเรียกวิญญาณหลอมสร้างเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

เหยียนซิวตอบว่า “นับว่าหลอมสร้างขั้นต้นสำเร็จแล้วขอรับ แต่ยังห่างไกลความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ อาศัยวรยุทธ์ของข้าน้อยตอนนี้ ก็ยังใช้วิธีการหลอมสร้างบางอย่างไม่ได้ ต้องรอให้วรยุทธ์สูงในระดับหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เหมียวอี้พยักหน้า “อืม งั้นก็อาศัยโอกาสตอนที่สภาพแวดล้อมภายนอกเอื้อต่อพวกเรา สงบจิตสงบใจฝึกวิชาเถอะ”

“ขอรับ!” เหยียนซิวเอ่ยรับ

“เยี่ยนเป่ยหงบอกมั้ยว่าไปที่ไหนแล้ว?” เหมียวอี้ถาม

เหยียนซิวส่ายหน้า “เขาไม่ได้บอก หลังจากแน่ใจว่าข้าน้อยต้องการจะกลับ เขาก็ไปแล้ว ข้าน้อยชวนเขาให้กลับมาพบนายท่าน แต่เขาก็ปฏิเสธ เขาบอกว่านายท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเขาจะมาหานายท่านเมื่อไร”

เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่เขาบอก ตอนที่เยี่ยนเป่ยหงบรรลุถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ เกรงว่าคงจะกลับมาให้เขาช่วยเหลือ

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ถามใจตัวเองดูแล้ว คำว่าสหายในความหมายที่แท้จริง เกรงว่าคงจะมีแค่เยี่ยนเป่ยหงคนเดียวแล้ว เพราะสหายก่อนหน้านี้กลายเป็นลูกน้องหมดแล้ว ถ้าจะบอกว่าเป็นสหายกันอีก แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกปลอมเลย เมื่อมีความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้องแล้ว ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีก เรื่องที่เขาทำตอนนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากเกินไป เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนมากเกินไป ไม่มีทางฝากฝังอะไรง่ายๆ เพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจของสหาย แต่เยี่ยนเป่ยหงก็ปฏิเสธที่จะเดินเส้นทางเดียวกับเขา การที่ทั้งสองฝ่ายรักษาระยะห่างของสหายแบบนี้ กลับทำให้รักษาความสัมพันธ์ไว้ได้เสมอมา

ตอนนี้เขานับว่าเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เหล่าไป๋พูดไว้ตอนเขากำลังจะกลายเป็นนักพรตแล้ว เส้นทางนี้ เมทื่อเดินไปจนถึงตอนสุดท้ายอาจจะเหลือเพียงความโดดเดี่ยว

เหล่าไป๋ถามยืนยันกับเขาหลายครั้ง ถามเขาว่ายินดีจะเดินบนเส้นทางนี้จริงหรือไม่ อีกฝ่ายไม่ได้บังคับเขา

นอกจากเยี่ยนเป่ยหง ยังมีไป๋เฟิ่งหวงอีกคน ไม่รู้ว่าปีศาจนั่นเร่ร่อนไปไหนแล้ว หลังจากทำงานเสร็จก็หนีไปเลย บอกเขาว่าถ้ามีเรื่องอะไรค่อยติดต่อนางไป แล้วร่างทิพย์ของไป๋เฟิ่งหวงก็อ่อนไหว เขาไม่สะดวกจะเก็บนางไว้ข้างกายเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นจะถูกนางฉวยโอกาสเอาเปรียบ

ไม่ง่ายเลยกว่าเหมียวอี้จะออกมาสักครั้ง เขาไปที่เรือนพักของเฟยหง มีสาวน้อยแสนสวยสองคนเดินออกมาคำนับพร้อมกัน พวกนางคือสาวใช้คนใหม่ของเฟยหง

หยางเจาชิงเป็นคนไปเลือกหามาเองจากโลกมนุษย์ เป็นเด็กกำพร้าที่มีคุณสมบัติฝึกตนค่อนข้างดี เริ่มสั่งสอนอมรมและให้ฝึกตนตั้งแต่ยังเด็กๆ แบบนี้จะได้รับประกันความจงรักภักดีได้ ป้องกันไม่ให้มีใครแทรกสายลับเข้ามา ไม่ใช่แค่เฟยหง หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงก็ได้มาคนละคู่ด้วย แม้แต่เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์เองก็มีสาวใช้คนละคู่

อย่างไรเสียเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เดินมาถึงระดับนี้แล้ว แทบจะไม่ต่างอะไรกับอนุภรรยาของเหมียวอี้ ถึงขั้นเหนือกว่านั้นด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องไปทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปอีก ทั้งสองเพียงรับใช้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็พอ งานอื่นไม่จำเป็นต้องให้ทั้งสองลงมือเอง ส่งให้สาวใช้ทั้งสี่ทำแทนแล้ว

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกจากการเก็บตัวฝึกวิชาสักครั้ง พอออกมาแล้วก็พลอดรักกับเฟยหงอย่างเลี่ยงไม่ได้ สตรีงามดุจหยก ท่านขุนนางเหมียวเรียกได้ว่าตักตวงเด็ดดอกไม้เต็มที่

หลังจากเหยียนซิวกลับมาแล้ว ก็นับมีประโยชน์อย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สามารถปลีกตัวได้แล้ว สามารถตั้งใจฝึกตนร่วมกับเหมียวอี้ได้เลย ส่งต่องานรับข่าวและส่งข่าวให้เหยียนซิวรับผิดชอบแทน มีเหยียนซิวคอยฝึกตนและเฝ้าข้างนอกให้ เรื่องแบบนี้ไม่สะดวกจะส่งต่อให้หยางเจาชิงทำ เพราะเหยียนซิวตัวคนเดียวไร้ครอบครัว สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ระยะยาวได้ แต่หยางเจาชิงมีครอบครัวแล้ว และจวนหัวหน้าภาคก็จำเป็นต้องไม่ผู้การใหญ่ไว้สักคน สมองของหยางเจาชิงเหมาะจะทำเรื่องนี้ ส่วนเหยียนซิวก็เหมาะจะคุ้มกัน

คลื่นลมสงบ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดร้อยปี วันนี้เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณเข้มข้นนับนิ้วคำนวณ หยุดกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาแล้ว

พลังจิตวิญญาณในห้องถูกทั้งสี่ดูดซับจนสะอาดเกลี้ยงเร็วมาก วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้เลือนหายไปช้าๆ

วรยุทธ์ของเหมียวอี้บรรลุถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสองตั้งแต่สองร้อยปีก่อนแล้ว ความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาของแต่ละวัน ถ้าใช้ยาแก่นเซียนมาคำนวณก็เท่ากับวันละสามพันห้าร้อยเม็ดแล้ว และถ้าอยากบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสาม คาดว่าต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยล้านเม็ด และต้องใช้เวลาอีกหนึ่งพันสามร้อยกว่าปี

ตอนนี้ฝึกมาได้สองร้อยกว่าปีแล้ว คาดว่าเหลืออีกหนึ่งพันหนึ่งร้อยกว่าปีก็จะบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสาม

เมื่อเห็นพลังจิตวิญญาณหายไปแล้ว อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ก็ทยอยกันลืมตา วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วอวิ๋นจือชิวค่อยๆ หายไป สิบกว่าปีก่อนนางเพิ่งบรรลุระดับบงกชรุ้ง วรยุทธ์ของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็สูงขึ้นเร็วมากเช่นกัน ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว

เหมียวอี้กวาดตามอง แอบทึ่งในความไม่ธรรมดาของหกเคล็ดวิชาพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่ามีแนวโน้มจะตามเขาทันแล้ว

ที่จริงถึงแม้เคล็ดวิชาอัคนีดาราจะมีจุดที่อัศจรรย์ แต่ความก้าวหน้าของเคล็ดวิชาอื่นก็มีความเร็วไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาไหนก็ไม่ทำให้คนฝึกย่ำอยู่กับที่อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับหกเคล็ดวิชาพิเศษ

อวิ๋นจือชิวมองพลังจิตวิญญาณในห้องที่หายไป แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”

“ความก้าวหน้าของพวกเจ้าน่าตกใจมาหก” เหมียวอี้ส่ายหน้าอุทาน

ทั้งสามสบตากัน อวิ๋นจือชิวตอบปนเสียงหัวเราะ “พวกเราได้อาศัยบารมีเจ้าไงล่ะ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แค่ดูดซับพลังให้เต็มที่ก็พอ ลงทุนน้อยผลตอบแทนมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าอย่างนี้เหรอ ถ้าไม่ได้ฝึกวิชาอยู่ข้างกายเจ้า ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าวันไหนจะบรรลุระดับบงกชรุ้ง ขนาดฝึกแบบจริงจังก็ยังช้ากว่าเจ้ายังเยอะ”

ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงกัน เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน อวิ๋นจือชิวยืนตามแล้วถามว่า “จะออกจากเก็บตัวฝึกตนแล้วเหรอ?”

“มีเรื่องนิดหน่อย อาจจะต้องออกข้างนอกหลายปี” เหมียวอี้ตอบ

ออกไปหลายปีเหรอ? อวิ๋นจือชิวแปลกใจ “ไปไหน? ไปทำอะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไปหาอวี้หลัวช่า มีเรื่องนิดหน่อย”

“เรื่องผ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าไปหานางทำไม?” อวิ๋นจือชิวตกใจ

เหมียวอี้อธิบาย “ข้ากับนางมีนัดกัน ตอนนี้ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน รอให้เจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เรื่องระหว่างเขากับอวี้หลัวช่า เขาไม่ได้บอกใครรวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย สาเหตุที่ปิดบังการเดินทางครั้งนี้ก็เพราะกลัวอวิ๋นจือชิวกังวล ครั้งนี้เขาถูกลิขิตให้ต้องเสี่ยงอันตราย แน่นอนว่าเขามีความมั่นใจเช่นกัน แค่ต้องดูว่าเขาจะรับมือไหวหรือไม่

“หลายปี? ต้องไปหลายปีด้วยเหรอ?” อวิ๋นจือชิวสงสัยนิดหน่อย ขมวดคิ้วถาม “เหลืออีกไม่กี่ปีก็จะถึงโอกาสที่เจ้ารองจะหนีแล้ว เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามรีบกลับมาคิดหาทางก่อนหน้านั้น” เหมียวอี้ยิ้มปลอบใจ ที่จริงเขาเตรียมจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ในการเดินทางครั้งนี้ จะถือโอกาสกำจัดปัญหาที่จะตามมาทีหลังอย่างอวี้หลัวช่าด้วย

………………