ตอนที่ 2321

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,321 : การกลืนกินอันน่าพรั่นพรึง!

 

ผู้นำทั้ง 7 ของ 1 วัง 6 ตำหนักนั้น เดิมทีก็กำลังหารือว่าจะรับมืออวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจรที่กำลังจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะอย่างไรกันดี…

 

แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในขณะที่พวกมันกำลังหารือกันอยู่ กลับมีลำแสงเบญจรงค์พุ่งทะยานขึ้นไปจากวังเซียนสัญจรประหนึ่งเสาเชื่อมฟ้าถึง 2 สาย!

 

เรื่องนี้หมายความว่าอะไรพวกมันย่อมรู้ดี…

 

ในวังเซียนสัญจร กลับมีครึ่งก้าวเซียนอมตะถือกำเนิดขึ้นมาถึง 2!

 

“หรือจ้าววังฉีหนานจักชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้พอดี…และประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ด้วย?”

 

จังหวะนี้พวกมันมอดไม่ได้ที่จะนึกไปในทำนองดังกล่าว

 

สุดท้ายพวกมันก็ไม่อาจทนความอยากรู้อยากเห็นในใจได้ไหว ต่างพากันเหินร่างแห่ไปยังวังเซียนสัญจรด้วยความเร็ว

 

“ท่านจ้าววัง!”

 

“ท่านจ้าวตำหนัก!”

 

 

การมาถึงของชนชั้นผู้นำ 1 วัง 6 ตำหนัก ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าระดับสูงของ 1 วัง 6 ตำหนักที่สังเกตการณ์ที่นี่ทันที พวกมันเร่งมาคารวะผู้นำของตัวเองกันจ้าละหวั่น

 

“รองจ้าวตำหนักกงซุน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มิใช่ว่าในวังเซียนสัญจรมีอวี่เหวินฮ่าวเฉินข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์คนเดียวหรือไร…แล้วไฉนถึงบังเกิด ‘นิมิตฟ้าดิน’ ขึ้นถึงสอง?”

 

จ้าวตำหนักขจีจรัสมาในชุดคล้ายอาลักษณ์ ใบหน้าแลดูสุภาพแลดูหนุ่มแน่น มันมาถึงก็มองถามรองจ้าวตำหนักขจีจรัส กงซุนจิน ทันที เสียงกล่าวยังหนักนัก!

 

“ท่านจ้าวตำหนัก…ท่านสมควรกล่าวทักทายท่านประมุขเผ่าก่อนหรือไม่?”

 

กงซุนจินเร่งส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ ยังหันหน้าขยิบตาโบ้ยไปทางหนึ่ง

 

‘ท่านประมุขเผ่า!?’

 

ได้ยินคำของกงซุนจิน จ้าวตำหนักขจีจรัสอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ก่อนที่จะหันมองไปทางทิศทางที่อีกฝ่ายใบ้ ไม่นานก็แลเห็นประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ลอยร่างอยู่อย่างไม่โดดเด่นอะไร

 

“ท่านประมุข!!”

 

จังหวะนี้จ้าวตำหนักขจีจรัสได้แต่ละความสนใจจากการถือกำเนิดสองครึ่งก้าวอมตะไปชั่วคราว เร่งพุ่งร่างไปคารวะทักทายด้วยความนอบน้อมก่อนใดอื่น

 

“ท่านประมุข?!”

 

ผู้นำของอีก 1 วังกับ 5 ตำหนักที่เหลือพอได้ยิน ‘คำทัก’ รวมทั้งได้ยินเสียงผ่านพลังของของคนที่ส่งมาสังเกตการณ์ มันก็ทราบได้ทันทีว่าตอนนี้ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์เองก็อยู่ด้วย จึงเร่งรุดไปคารวะทักทายตามจ้าวตำหนักขจีจรัสทันที

 

“อืม”

 

ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์เพียงหันมาเหลือบมองการทักทายของชนชั้นผู้นำ 1 วัง 6 ตำหนักเล็กน้อย ตอบคำเสียงห้วน ก่อนสายตาไม่แยแสจะละออกจากร่างพวกมันทันที

 

หากแต่เมื่อสายตาของมันหันกกลับไปจับจ้องยังจุดที่ประหนึ่งมีเสาแสงเชื่อมฟ้า ความไม่แยแสในแววตาก็สลายหายไป ถูกแทนที่ด้วยประกายแหลมคมเยียบเย็น!

 

“ผู้ที่กำลังอยู่ในลำแสงเบญจรงค์และกำลังจะบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะที่แท้เป็นใครกันแน่…ไฉนแลดูท่านประมุขมีความแค้นกับมันนัก?”

 

เหล่าผู้นำ 1 วัง 6 ตำหนักเร่งถามคนของตัวเป็นการใหญ่

 

ไม่นานพวกมันก็ได้รู้ว่าเป็นผ็ใดที่ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกมันกำลังตั้งแง่…

 

ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์!

 

“ต้วนหลิงเทียน? นายน้อยตำหนักเมฆาครามของพวกมนุษย์…มันกลับบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะด้วย?”

 

“ที่สำคัญยังเป็นการฉวยโอกาสจากการชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ของจ้าววังอวี่เหวิน จนสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ของตัวเอง…กระทั่งยังข้ามผ่านได้สำเร็จ?!”

 

“ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราไร้ผู้ใดสามารถกระทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ…แต่ต้วนหลิงเทียนกลับทำลาย คำสาป ของเผ่าพันธุ์ปีศาจเราได้สำเร็จ ทำลายประวัติศาสตร์ของพวกเรา!?”

 

 

หลังได้ฟังคำอธิบายจากลูกน้องจนรับทราบรายระเอียดของเรื่องราว เหล่าผู้นำ 1 วัง 6 ตำหนักที่พึ่งมาถึงอดไม่ได้ที่จะอึ้งกิมกี่!

 

“แล้วเข้ามัวทำบ้าอันใดอยู่! ไฉนเจ้าไม่รีบแจ้งเรื่องนี้ให้ข้ารู้!?”

 

หลังจากนั้นพวกมันก็จี้ถามลูกน้องของตัวด้วยน้ำเสียงแฝงตำหนิ

 

“ท่านจ้าววัง ข้าคิดว่าต้วนหลิงเทียนนั่นอย่างไรก็ไม่มีทางข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จแน่ เช่นนั้นข้าจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ท่านทราบ…แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้านั่นมันกลับซุกซ่อนความสามารถอันน่าตกตะลึงไว้มากมาย จนในที่สุดก็ใช้วิธีทั้งหลายข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ!”

 

รองจ้าววังอัคคีสีชาดหวู่เทียนจิน เร่งกล่าวกับจ้าววังอัคคีสีชอดด้วยรอยยิ้มเหยเก

 

และรองจ้าวตำหนักทั้ง 6 ก็เร่งกล่าวรายงานด้วยวาจาทำนองเดียวกันกับจ้าวตำหนักของพวกมัน

 

“ประเสริฐ! ดีที่พวกเรามาทันเวลา หาไม่แล้วคงพลาดเรื่องน่าสนุกเช่นนี้!”

 

เหล่าผู้นำของ 6 ตำหนักไม่ได้ตำหนิคนของตัวให้ลำบากใจแต่อย่างไร

 

และไม่นานสายตาของพวกมันทั้งหมดก็หันไปจับจ้องมองเสาแสงเบญจรงค์ด้านหนึ่งเป็นสายตาเดียวกัน

 

“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ต่อให้บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ มันก็มิมีทางเป็นคู่มือให้ท่านประมุขได้อยู่ดี…”

 

เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้นำของ 1 วัง 6 ตำหนักที่พึ่งมาถึง ก็รู้สึกไม่ต่างกัน

 

สิ้นแสงเบญจรงค์เมื่อไหร่ ก็ถึงคราวตายของต้วนหลิงเทียนเมื่อนั้น!

 

‘แสงเบญจรงค์นี่กำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้สินะ ว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะกำลังถือกำเนิด…’

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรกับความเปลี่ยนแปลงของแสงเบญจรงค์

 

เพราะเขาเองก็รู้เรื่องการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว จึงรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหลังข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์สำเร็จ

 

‘แสงเบญจรงค์นี่คงอยู่ได้อีกไม่นาน…พอมันหายไป ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ต้องลงมือกับข้าทันทีแน่’

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้เรื่องนี้ดี

 

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นจริงจังทันที

 

‘ตอนนี้ด้วยความที่แสงเบญจรงค์ยังอยู่ ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์คงไม่กล้าลงมือ…เช่นนั้นข้าอาศัยโอกาสนี้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน เพื่อเพิ่มพูนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าให้ได้มากที่สุดดีกว่า’

 

คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ลงมือทันที

 

“ปฐมเวทย์กลืนกิน”

 

แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียน ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน

 

ในความว่างเปล่าโดยมีร่างเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ก็ปรากฏวังวนหนึ่งขึ้นมารอบกาย ยังเปล่งพลังดูดรั้งอันน่าสะพรึงกลัวออกไปทุกทั่วสารทิศ!

 

ในกระบวนการกลืนกิน ลำแสงเบญจรงค์ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างไร

 

ทว่าพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบกลับถูกเขาดูดกลืนเข้าร่างอย่างบ้าคลั่ง!

 

ยิ่งมาวังวนพลังดูดรั้งยิ่งหมุนคว้างเร็วรี่…มันสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินด้วยสภาวะน่ากลัวปานปลาวาฬหิวโหย!

 

‘ความเร็วในการกลืนกินเพิ่มสูงขึ้นถึงขนาดนี้เชียว!’

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนค้นพบได้ทันที

 

พอเขาลองใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเล็กน้อยขับเคลื่อนเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินดู แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ความเร็วในการกลืนกินขอมันก็เพิ่มขึ้นมากกว่าใช้พลังเซียนต้นกำเนิดทั้งหมดมากมายนัก!!

 

เพียงชั่วพริบตา พลังวิญญาณฟ้าดินในอาณาบริเวณวังเซียนสัญจรแถบนี้ก็ถูกเขากลืนหายไปจนเกลี้ยง!

 

‘นี่มัน…’

 

และทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบอีกครั้งว่า

 

หลังกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินแถบนี้หมดแล้ว รัศมีกลืนกินของเขาก็แผ่ขยายออกไปกว้างขึ้น กระทั่งกว้างขึ้นด้วยความเร็วอันน่ากลัว!

 

แค่พริบตาเขาก็กลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเขตของวังเซียนสัญจรหมดสิ้น!

 

‘นี่มัน…ไม่มีการจำกัดรัศมีกลืนกินแล้วงั้นเหรอ!?’

 

ตระหนักได้ถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกในใจ

 

ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ ยามเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกินนั้น เมื่อกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินไปราวครึ่งลมหายใจ จนพลังวิญญาณฟ้าดินในรัศมกลืนกินหมดสิ้น เขาก็ต้องรอกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินนอกรัศมีที่ทยอยแพร่เข้ามาเติมเต็ม…

 

ถึงตอนนั้นด้วยความที่เขาไม่อยากรอเพราะมันเสียเวลานาน เขาจึงเลือกจะย้ายจุดแล้วกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจุดอื่นแทน

 

ทว่าตอนนี้เพียงเวลาแค่ครึ่งลมหายใจ เขากลับดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเขตวังเซียนสัญจรจนเกลี้ยงกริบ!

 

‘นอกจากนั้น…ความเร็วในการกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย รัศมีมันขยายออกไปได้อีก!!’

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อค้นพบเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อ

 

ปฐมเวทย์กลืนกิกนที่เขาใช้ออกตอนนี้ หลังกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินในเขตวังเซียนสัญจรจนหมด มันกลับแผ่รัศมีดูดกลืนออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว อัตราการเพิ่มพูนของพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขาไม่ได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย

 

‘ไม่สิ!’

 

‘ความเร็วในการเพิ่มพูน…ยังมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก!’

 

‘นี่มัน…หรือว่ายิ่งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้าแข็งแกร่งขึ้น ก็ยิ่งส่งผลให้ปฐมเวทย์กลืนกินร้ายกาจยิ่งขึ้น!!’

 

ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องราวได้ชัดเจน

 

ปฐมเวทญ์กลืนกินที่เขาใช้ออกยามนี้ ไม่เพียงแต่ความเร็วในการดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินจะช้าลง ยิ่งมายังยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

 

และทั้งหมดเป็นเพราะพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขามันเพิ่มพูนมากขึ้น

 

ยิ่งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ พลังของปฐมเวทย์กลืนกินก็ยิ่งร้ายกาจมากขึ้นเท่านั้น!

 

และยิ่งปฐมเวทย์กลืนกินร้ายกาจขึ้นเท่าไหร่ ความเร็วในการดูดกลืนก็ยิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้น และนั่นก็จะทำให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!!

 

ก่อเกิดเป็นวัฏจักรดูดกลืนอันน่าพรั่นพรึง!!

 

‘ดูเหมือนว่า…ตอนนี้จะมาถึงขีดจำกัดของปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว’

 

หลังต้วนหลิงเทียนดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินจนหมดสิ้นไปจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง เขาก็พบว่าปฐมเวทญ์กลืนกินมาถึงขีดจำกัดแล้ว…

 

แน่นอนว่ามีแต่ปฐมเวทย์กลืนกินเท่านั้นที่ถึงขีดจำกัด

 

หากแต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างต้วนหลิงเทียนยังไม่ถึงขีดจำกัด ยังมีช่องว่างให้เพิ่มพูนอีกมาก!

 

แต่เนื่องจากปฐมเวทย์กลืนกินถึงขีดจำกัดของมันแล้ว ทำให้เขาไม่อาจเพิ่มพลังได้อีกต่อไป

 

‘ยังไงก็ตาม…ด้วยระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าตอนนี้ คิดจัดการประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ก็นับว่าเป็นเรื่องง่ายดายนัก!’

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันมหาศาลในร่าง ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความมั่นใจถึงที่สุด

 

หากจะกล่าวว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าเป็นเพียงลำธารเล็กๆล่ะก็…

 

บัดนี้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียนประหนึ่งกลายเป็นแม่น้ำใหญ่!

 

แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

 

‘ยังพึ่งผ่านไปแค่ 3 ลมหายใจ…แต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้ากลับเพิ่มพูนมากเกินพอ! ถึงขั้นขยี้ประมุขเผ่าปีศาจได้ง่ายดายไม่ต่างบี้มด!!’

 

‘ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ได้ใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขับเคลื่อนปฐมเวทย์กลินกินแต่แรก…หากข้าใช้พลังทั้งหมดแต่แรก อย่างมากก็น่าจะแค่เกือบๆ 2 ลมหายใจเท่านั้น ข้าก็น่าจะกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งจนหมดจนถึงถึงขีดจำกัดของปฐมเวทย์กลืนกิน!’

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขากำลังเดือดพล่าน ราวกับจะปะทุได้ออกมาตลอดเวลา!

 

ราวกับเพียงแค่สะบัดมือเบาๆ เขาก็สามารถฉีกกระชากความว่างเปล่าให้แหลกพินาศได้อย่างง่ายดาย!

 

“นี่มันอันใดกัน!? ไฉนพลังวิญญาณฟ้าดิน…ถึงได้ร่อยหรอลงด้วยความเร็วถึงขนาดนี้!?”

 

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเล่นกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจนหมดเมือง เหล่าระดับสูงของ 3 วัง 6ตำหนักย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทันที

 

“พลังวิญญาณฟ้าดินไปที่ใดหมด!?”

 

“ไฉนกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินถึงได้เบาบางลงจนแทบมิมี นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?!”

 

 

เหล่าผู้ฝึกตนทั้งผู้ฝึกมารทั้งหลายในเมืองเหรินโม่เชิ่งที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ถึงกับลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์บ่มเพาะด้วยสีหน้าเหรอหรา…