นักพรตซุนเขย่าขวดกระเบื้องเขียวที่ใช้บรรจุหยดน้ำปลายใบไผ่มา เขาดื่มอย่างประหยัด จึงยังเหลืออยู่
ก่อนหน้านี้แข็งใจมาเดินเล่นที่ต้นไผ่เขียว ผลกลับพบว่าไม่เหลือหยดน้ำสักหยด
นักพรตซุนจึงรู้สึกเลื่อมใสสหายนักพรตเฉินผู้นั้นขึ้นมานิดๆ แล้ว ผ่านไปที่ใด ไม่เหลือต้นหญ้าสักต้น
ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นเช่นนี้ หากไปเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอะไรนั่น นั่นต่างหากถึงจะน่าเสียดาย
ข้างกายเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าคือไหวเฉียนบัณฑิตหนุ่มที่มีโชคดีเทียมฟ้า คนทั้งสองยืนอยู่ข้างรั้วหินริมอาณาเขตของยอดเขา ไหวเฉียนจับตามองผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นมาสองครั้งแล้ว เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนผู้นี้ นับว่ามีความสามารถ”
หลิ่วกุยเป่าหูดี จึงถามอย่างกังขาว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
ไหวเฉียนคิดแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความหมายตามตัวอักษร”
หลิ่วกุยเป่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “ไหวเฉียน เจ้ายังมีเรื่องที่ปิดบังไว้ใช่หรือไม่?”
ไหวเฉียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “มี ที่บ้านเกิดของข้า ข้ามีสัญญาหมั้นหมายที่ผู้อาวุโสในตระกูลตกลงกันไว้ตอนเป็นเด็ก อันที่จริงข้าออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็เพื่อหนีงานแต่งงาน”
หลี่กุยเป่ายิ้มกล่าว “สตรีผู้นั้นเป็นอย่างไร?”
ไหวเฉียนตอบอย่างจนใจ “เคยพบหน้ากันแค่ครั้งเดียว ความทรงจำพร่าเลือน รู้สึกแค่ว่านิสัยนางไม่เลว แต่ว่าเป็นสตรีที่เรียนวรยุทธคนหนึ่ง ใจเด็ดกว่าข้าเสียอีก เพื่อหนีการแต่งงาน นางก็ได้หนีไปที่ทวีปเกราะทองอยู่นานแล้ว”
หลี่กุยเป่าร้องอ้อหนึ่งที
ไหวเฉียนรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง สายตาของเขาล่อกแล่กไปมา “แม่นางหลิ่ว จะบอกกับเจ้าอีกเรื่องหนึ่งดีไหม?”
หลี่กุยเป่าหัวเราะร่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ชอบข้าล่ะสิ จะกลัวอะไร ข้าเองก็ชอบเจ้าเหมือนกัน”
ไหวเฉียนบื้อใบ้พูดไม่ออก
หลังจากที่พูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำให้หลิ่วกุยเป่าคิดมากพวกนี้ไปแล้ว หลิ่วกุยเป่าก็เริ่มใคร่ครวญถึงทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ต่อจากนี้
บางครั้งสมองก็ใช้ได้ผลดีกว่าหมัด
ท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นไม่ค่อยมีสมองสักเท่าไร หมัดก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง
ตอนที่เด็กสาวข้างกายใช้สมาธิแน่วแน่ใคร่ครวญเรื่องราว ไหวเฉียนมองใบหน้าด้านข้างของนางแล้วก็คลี่ยิ้ม ฟุบตัวลงบนราวรั้ว ทอดสายตามองทิศไกล
อันที่จริงเรื่องที่เขาอยากพูดนั้น คือต้องการบอกให้นางรู้ว่า อะไรที่เรียกว่ามีโชคแต่ไร้วาสนา
เพราะคนทั้งสองต่างกันเกินไป ฐานะไม่เหมาะสม คุยกันไม่รู้เรื่อง การที่สามารถคุยกันได้ในวันนี้เป็นเพราะเขายอมคล้อยตามนางก็เท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไปจริงๆ
ตบะเป็นเช่นนี้ แผนการก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ส่วนชาติตระกูลนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ดังนั้นอันที่จริงเขารู้สึกสงสารแม่นางโง่คนนี้มาโดยตลอด
เกี่ยวกับโชควาสนาเล็กใหญ่ของที่แห่งนี้ เขาน่าจะเป็นคนที่รู้ชัดเจนดีที่สุด
นั่นคือปราณกระบี่เสี้ยวนั้น
และเขามาที่นี่ก็เพราะมัน
ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสเที่ยวเล่น หยอกเย้าคนข้างกายไปด้วย
แต่ปราณกระบี่เสี้ยวนี้เป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอย่างแท้จริง
เดิมทีเขาคิดว่าจะเดินทางไปเยือนทิศเหนืออีกครั้ง เพื่อไปพบเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉางแล้วค่อยกลับคืนสู่บ้านเกิด
หากไม่ผิดไปจากที่คาด เซียนกระบี่อันดับหนึ่งของทิศเหนือท่านนี้ก็น่าจะออกจากบ้านมาต้อนรับตน
พอไหวเฉียนคิดถึงบ้านเกิดก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย
มองดูมดกลุ่มนี้เหมือนหุ่นเชิดที่ถูกชักใย เดินอาดๆ อวดเก่ง อีกห้าวันต่อจากนี้ เห็นมากเกินไปก็รู้สึกรำคาญ
ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น ในเมื่อถูกปราณกระบี่เสี้ยวนั้นกำราบเอาไว้ ขอบเขตจะสูงได้สักเท่าไรกันเชียว?
ต่อให้ไม่เอาเบื้องหลังของตนออกมาก็สามารถนั่งลงปรึกษาดีๆ กับคนเบื้องหลังผู้นั้นได้ เขาได้ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นไปครอง อีกฝ่ายก็ไม่ต้องถูกสยบกำราบไปนานเป็นร้อยเป็นพันปี มีแต่ได้กับได้กันทั้งสองฝ่าย
หันหน้าไปมองเด็กสาวโง่เขลาที่ยังขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องราว
ไหวเฉียนที่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วก็หันหน้ามายิ้มถาม “แม่นางหลิ่ว อยากเป็นเจ้าจวนไช่เฉวี่ยตั้งแต่วันนี้เลยไหม?”
หลิ่วกุยเป่าถอยหลังกรูดออกไปในเสี้ยววินาที “เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
ไหวเฉียนยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางไว้บนริมฝีปากแล้วทำเสียงชู่ว์
เขาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีป บรรพจารย์เคยเตือนข้าแล้วว่าเซียนกระบี่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเขาไม่ค่อยมีเหตุผลกันสักเท่าไร ชอบสังหารผู้มีพรสวรรค์ของทวีปอื่นมากเป็นพิเศษ ดังนั้นข้าจะต้องเก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัว”
สายตาของหลิ่วกุยเป่าเย็นชา ความคิดแล่นเร็วจี๋ แต่กลับค้นพบว่าไม่ว่าทำอย่างไรตนก็ไม่สามารถใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจสื่อสารกับซุนชิงผู้เป็นอาจารย์ได้
ไหวเฉียนถอนหายใจหนึ่งที “แม่นางหลิ่ว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ พวกเราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วนะ”
คนต่างถิ่นที่มีลักษณะเป็นบัณฑิตผู้นี้สะบัดชายแขนเสื้อ แหงนหน้ามองไปยังกลางอากาศ “ไม่มัวเสียเวลาอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของพวกองค์เทพยันต์กระดาษขาวนี่ ข้าเห็นมาจนเอียนแล้ว ข้าจะต้องสอนท่านเทพเทวาของที่แห่งนี้สักหน่อย รวมไปถึงเจินเหรินผู้เฒ่าหวนคนนั้นด้วยว่า อะไรที่เรียกว่ายันต์ของจริง”
เห็นเพียงว่าในมือทั้งสองของเขาต่างก็มีวัตถุอยู่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเม็ดเสื้อเกราะสีทองของสำนักการทหาร ซึ่งก็คือเสื้อเกราะเทพเจ้าควันธูปที่ระดับขั้นสูงที่สุด
และเสื้อเกราะนี้ก็คือวัตถุโบราณเก่าแก่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในบรรดาเสื้อเกราะควันธูป
หลังจากที่ไหวเฉียนสวมไว้บนร่างแล้ว
ในมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็คีบยันต์สีเขียวไว้สองแผ่น แล้วโยนออกไปเบาๆ หนึ่งแผ่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มัดแผ่นเหล็กส่งไปนครเฟิงตู ขับไล่เทพแห่งสายฟ้า บังคับสายฟ้าให้ฟ้าผ่าลงมาสู่ฟ้าดิน”
เห็นเพียงว่าองค์เทพเกราะทองสูงสองจั้งองค์หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ทั่วร่างมีสายฟ้าสีขาวหิมะสว่างเจิดจ้าตัดสลับถักทอไปทั่ว เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสพื้น ภูเขาก็สั่นสะเทือน แล้วก็ไปชักนำโชคชะตาภูเขาแม่น้ำของภูเขาทั้งลูก
หลังจากโยนยันต์แผ่นที่สองออกไป
บุรุษพกกระบี่สวมอาภรณ์สีขาวปลิวไสวคนหนึ่งก็มาลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เห็นเพียงว่าสีหน้าของเขาเฉยเมย แต่ปราณกระบี่ทั่วร่างกลับกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ล้อมวนอยู่ในบริเวณรอบด้านล้วนพากันระเบิดเป็นผุยผง
สุดท้ายในฝ่ามือของไหวเฉียนถือประคองลูกกลมฉลุลายสีทองลูกหนึ่ง
ด้านในมีแสงกระบี่หลายเส้นบินฉวัดเฉวียนดุจสายฟ้าแลบแปลบปลาบ พอพุ่งชนกับลูกกลมฉลุฉลายแล้วก็ก่อให้เกิดสะเก็ดไฟแลบเป็นระลอก
มาเยือนอุตรกุรทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆคราวนี้ เขาก็อยากจะอาศัยความสามารถของตัวเขาเอง ทำให้ผู้ติดตามหุ่นเชิดที่สามารถเลื่อนระดับขั้นไปได้อีกผู้นี้ได้กินกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสักหลายๆ เล่ม แล้วค่อยอาศัยโชคชะตาวิถีกระบี่สองสามส่วนของอุตรกุรุทวีปมาฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด
ไหวเฉียนแกว่งลูกกลมสีทองในมือเบาๆ จากนั้นก็โยนไปให้กับบุรุษวัยกลางคน “ค่อยๆ กิน”
ลูกกลมผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงของหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่
ปราณกระบี่ที่ตรวจตราฟ้าดินแห่งนี้มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนเสี้ยวนั้นกลับหยุดลอยนิ่ง ราวกับกำลังหลุบตาลงต่ำมองไหวเฉียน
ไหวเฉียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นฝ่ายเลือกข้าด้วยตัวเอง”
จากนั้นไหวเฉียนก็มองไปยังมุมหนึ่งของม่านฟ้า “ปราณปีศาจที่พิเศษเช่นนี้ แล้วยังชอบหลอมภูเขากินเป็นอาหาร ใต้หล้าไพศาลของพวกเขาไม่มีสัตว์เดรัจฉานประเภทนี้หรอกนะ”
ฟ้าดินเงียบสงัด
ทุกคนอึ้งงันกันไปหมด
ไหวเฉียนหรี่ตาลง “จะปรึกษากับเจ้าหน่อย หลังจากเปิดฉากสังหารไปแล้ว หากข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่มีปัญญาทำอะไรข้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปพร้อมกับข้า รับรองว่าเจ้าจะมีอนาคตที่ยาวไกลอย่างแน่นอน”
ทะเลเมฆลดตัวลงต่ำ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่บนริมขอบของทะเลเมฆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไอ้หนู เจ้านี่ปากดีจริงๆ”
โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง
ภาพวาดภูเขาสายน้ำก็คลี่ออกปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน แค่เงยหน้าขึ้น ไม่ว่าใครก็ล้วนมองเห็น
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความจริงใจเช่นนี้ ผู้เฒ่าก็คิดจะนำความจริงใจส่วนหนึ่งออกมาเช่นกัน
ไหวเฉียนพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่วยไม่ได้ บรรพบุรุษของข้าคือหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
ในความเป็นจริงแล้ว เทียนซือน้อยผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีหลิวโยวโจวของธวัลทวีป ต่างก็เป็นเพื่อนรักของเขา
ผู้เฒ่าที่อยู่บนทะเลเมฆเงียบงันไป
ไหวเฉียนเอ่ยต่อว่า “พูดความจริงที่ไม่น่าฟังสักประโยค ต่อให้ข้ายืดคอออกไปให้สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าลงมือ แต่เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?”
ไหวเฉียนเพิ่มระดับน้ำเสียง พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ากล้าหรือ?!”
ผู้เฒ่ายังคงไม่เอ่ยคำใด
ไหวเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน “เศษสวะพวกนี้ เจ้าจะเป็นคนฆ่า หรือจะให้ข้าสังหาร? หากเจ้าเป็นคนลงมือ สามสี่คนในนั้น ข้าจะพาไปด้วย”
เฉินผิงอันที่อยู่ในภูเขาลึกก็ตกตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์นี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ม่านน้ำหายไป เฉินผิงอันก็รีบเปลี่ยนมาสวมหน้ากากใบหน้าของเด็กหนุ่ม รวมไปถึงชุดสีเขียว
เวลานี้เขารู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง
ยังทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
มองคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมผู้นั้น
หรือว่านี่ก็ถือว่าเป็นความสาแก่ใจได้ด้วย?
เฉินผิงอันหัวเราะ
คนแบบนี้หากต้องมาประสบพบเจอสภาพการณ์อย่างตน ต่อให้อีกฝ่ายมีขอบเขตสูงกว่านี้หนึ่งระดับ แต่ก็ควรจะตายไปกี่รอบแล้ว?
ก็แค่ว่าหลักการเหตุผลไม่ได้พูดกันเช่นนี้
มีการกระทำและคำพูดนี้ อีกทั้งยังสามารถยืนพูดแบบนี้อยู่ตรงนี้ได้ ย่อมมีข้อดีให้นำมาใช้ประโยชน์ได้ รวมไปถึงจุดที่เหนือกว่าคนอื่นซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ เขาเฉินผิงอันได้เห็นแค่ด้านเดียวของอีกฝ่าย
หากเปลี่ยนเฉินผิงอันไปเป็นคนผู้นั้น จะต้องไม่มีทางเดินมาถึงก้าวนี้อย่างอีกฝ่ายแน่นอน
แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าด้วยนิสัยเช่นนี้ของอีกฝ่าย และความอดทน รวมไปถึงกลอุบายที่ไม่ถือว่ามีไม่มากนี้ หากโชคไม่ดีก็คงไม่อาจมีชีวิตรอดเดินออกไปจากอุตรกุรุทวีปได้จริงๆ
จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะยังไม่เจอคนอย่างจีเยว่เซียนกระบี่ของภูเขาวานรคำรามกระมัง
แต่ในเมื่อคนผู้นั้นเลือกจะเปิดเผยตัวตน ไม่เก็บซ่อนอำพรางอีกต่อไป ก็ต้องเป็นผลลัพธ์ที่ผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมาแล้วอย่างแน่นอน
ดูจากในตอนนี้ ถือว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจพอสมควรแล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็นคนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเดินทางมาสังหารผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปโดยเฉพาะ
เฉินผิงอันยังไม่ถึงขั้นเบื่อหน่ายจนต้องสาปแช่งให้เขาสะดุดหัวทิ่มอยู่ในอุตรกุรุทวีป
เส้นทางสายใหญ่มีมากมาย ต่างคนต่างเดินขึ้นเขากันไป
มองซ้ายมองขวา ย่อมมีสูงมีต่ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
ก็เหมือนเฉาสือผู้นั้น เขาเองก็อยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธเส้นเดียวกับเฉินผิงอันเช่นกัน เฉินผิงอันก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาไล่ตามให้ทันไปเท่านั้น
หรือว่าจะให้เขาทำหุ่นฟางคอยแช่งให้อีกฝ่ายไม่ต้องตายดี?
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง รู้สึกว่าการคิดเหลวไหลเพ้อเจ้อในเวลานี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่สนุกมากเหมือนกัน
สำหรับเฉาสือผู้นั้น สามครั้งที่ประลองกันบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเสียดายเพียงอย่างเดียวของเฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตอะไรไว้ หรือเป็นการที่ต้องเสียหน้าต่อหน้าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินและเทพีแห่งการต่อสู้ผู้นั้น
แต่เป็นเพราะเจ้าเฉาสือคนนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กวนโอ้ยน่าเตะ ไม่เพียงแต่หน้าตาหล่อเหลา ยังดูเหมือนว่าจะวางเฉยผ่อนคลายได้ตลอดเวลา ในสายตาไม่เคยเห็นใคร สิ่งที่สายตามองไปเห็นมีเพียงยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธในตำนานเท่านั้น
อันที่จริงนี่น่าโมโหอย่างมาก แล้วตอนนี้เขาดันยังเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นี่ก็ยิ่งน่าโมโหเข้าไปใหญ่
ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน
แต่ภาพเหตุการณ์ต่อมานั่นต่างหากที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะอย่างแท้จริง
เห็นเพียงว่านักพรตซุนที่เดิมทีตกใจจนสะดุดล้มไปนั่งกองอยู่กับพื้นพลันลุกพรวดขึ้นยืน
จากนั้น ‘นักพรตซุน’ คนนี้ก็ล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง
แต่กลับมีนักพรตซุนอีกคนหนึ่งที่เรือนกายล่องลอยดั่งภาพมายา ราวกับเป็นจิตหยินที่ออกจากร่างมาเดินทางไกล
นักพรตซุนยื่นมือไปคว้า บังคับปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ซึ่งพยายามจะเผ่นหนีไปเสี้ยวนั้นมากุมไว้ในมือเบาๆ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนทะเลเมฆเห็นท่าไม่ดี ต่อให้จะไม่รู้ว่าเหตุใดนักพรตซุนถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ แต่เขาก็ทำแค่ม้วนหอบเอาทะเลเมฆมาปิดบังเรือนกาย คิดจะเผ่นหนีไป
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เป็นแค่ปีศาจตัวน้อยๆ ก็กล้าหลอมภูเขาลูกนี้ พยายามจะแตะต้องอารามเต๋าอย่างนั้นรึ”
นักพรตซุนชำเลืองตามองซากปรักคล้ายรู้สึกเสียใจ ก่อนจะมองไปยังมุมหนึ่งของทะเลเมฆที่อยู่ห่างไปไกล “คิดว่ามาถึงใต้หล้าไพศาลก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจแล้วรึ? เห็นว่าสายของข้าผู้เป็นนักพรตควันธูปเบาบาง ยกกระบี่ไม่ขึ้น เลยคิดจะรังแกกันใช่ไหม?”
นักพรตซุนกำฝ่ามือแน่น บีบให้ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นแหลกสลายไปโดยตรง
จากนั้นก็ประกบสองนิ้ว ปาดไปด้านหน้าเบาๆ
ทะเลเมฆผ่าออกเป็นสองท่อน
เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาเรือนกายหนึ่งก็ถูกแบ่งเป็นสอง
ไหวเฉียนกำลังคิดจะเปิดปาก
นักพรตซุนกลับหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “อายุน้อยๆ ก็กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นจะขาดบ้างหรือ? หากมีตะเกียงแห่งชะตาชีวิตอยู่ในศาลบรรพจารย์ หลังจบเรื่องก็บอกกับบรรพบุรุษตระกูลเจ้าว่าให้มาแก้แค้นข้าผู้เป็นนักพรตที่ใต้หล้ามืดสลัวก็แล้วกัน”
ไหวเฉียนยังอยากจะบอกชื่อแซ่ของบรรพบุรุษตัวเอง
นักพรตซุนกลับใช้นิ้วทั้งสองปาดลงอีกครั้ง สังหารบัณฑิตหนุ่มคนนั้นให้ตายคาที่ รวมถึงหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดนั้นด้วย ตอนที่ร่างหุ่นเชิดหล่นลงพื้นก็กลายเป็นยันต์ที่ถูกตัดออกเป็นสองแผ่น
สุดท้ายนักพรตซุนก้มหน้าลงมองซากปรักอารามเต๋า
รูปปั้นที่ถูกตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าของยอดเขาก็คือศิษย์น้องของเขา
ล้วนเป็นเสาคานหลักของสายเซียนกระบี่ในใต้หล้ามืดสลัวเหมือนกับเขา
น่าเสียดายที่ศิษย์น้องผู้มีพรสวรรค์เดินขึ้นเขาเร็วเกินไป จึงตายเร็ว
จะกล่าวโทษป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นไม่ได้ ได้แต่โทษเขาที่มัวอืดอาด ทำให้นักพรตอย่างเขาที่เป็นศิษย์พี่ไม่สามารถแก้แค้นแทนศิษย์น้องได้
วิธีตายในโลกใบนี้มีนับพันนับหมื่น มีเพียงการรนหาที่ตายเองเท่านั้นที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
บนยอดเขาที่ห่างไปไกล เฉินผิงอันหยิบเอาเศษซากของเทวรูปไม้ทั้งหมดออกมาแล้ว
นักพรตซุนหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้ายังมีสัมผัสเฉียบไวอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ข้าผู้เป็นนักพรตเหม่อลอยต้องเสียเปล่า ถือว่าเป็นการช่วยตัวเองแล้ว”
นักพรตซุนยื่นมือคว้า จับเอาร่างตี๋หยวนเฟิงที่อยู่ในห้องหนังสือของถ้ำกลางป่า และจานชิงท่านโหวน้อย รวมไปถึงเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าของจวนไช่เฉวี่ยมาวางไว้ด้านหน้าตัวเอง
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “พวกเจ้าสามคนยินดีติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่”
การออกเดินทางของเขาในครั้งนี้ บุญกุศลที่สั่งสมไว้มากพอให้เขาพาคนไปด้วยสามคน
ตอนที่รอคอยคำตอบจากคนทั้งสาม ก็เหมือนว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะหยุดไหล
มีเพียงนักพรตซุนที่ลูบหนวดหัวเราะ พูดกับคนหนุ่มที่ปลอดภัยแล้วผู้นั้นว่า “สหายเฉิน เห็นแก่ธูปสามดอก เศษซากเทวรูปไม้ เจ้าก็เก็บไว้เถอะ”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “นักพรตซุน อันที่จริงต้องหกดอก”
นักพรตซุนหัวเราะฮ่าๆ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เหมือนว่าโบกให้อะไรบางอย่างมารวมตัวกันแล้วก็สลายหายไป “สหายเฉิน เก็บตกของผุๆ พังๆ ของเจ้าต่อไปเถอะ มากพอให้กระบี่เล่มนั้นของเจ้ากินอิ่มหนำแล้ว”
และบนยอดเขาที่ห่างไปไกลหลายร้อยลี้ลูกนั้น เบื้องหน้าของเฉินผิงอันก็มีเศษซากปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา