บทที่ 545.5 ทุกคนที่อยู่บนเรือล้วนอาจกลายเป็นศัตรู

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นักพรตซุนเขย่าขวดกระเบื้องเขียวที่ใช้บรรจุหยดน้ำปลายใบไผ่มา เขาดื่มอย่างประหยัด จึงยังเหลืออยู่

ก่อนหน้านี้แข็งใจมาเดินเล่นที่ต้นไผ่เขียว ผลกลับพบว่าไม่เหลือหยดน้ำสักหยด

นักพรตซุนจึงรู้สึกเลื่อมใสสหายนักพรตเฉินผู้นั้นขึ้นมานิดๆ แล้ว ผ่านไปที่ใด ไม่เหลือต้นหญ้าสักต้น

ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นเช่นนี้ หากไปเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอะไรนั่น นั่นต่างหากถึงจะน่าเสียดาย

ข้างกายเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าคือไหวเฉียนบัณฑิตหนุ่มที่มีโชคดีเทียมฟ้า คนทั้งสองยืนอยู่ข้างรั้วหินริมอาณาเขตของยอดเขา ไหวเฉียนจับตามองผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นมาสองครั้งแล้ว เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนผู้นี้ นับว่ามีความสามารถ”

หลิ่วกุยเป่าหูดี จึงถามอย่างกังขาว่า “หมายความว่าอย่างไร?”

ไหวเฉียนคิดแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความหมายตามตัวอักษร”

หลิ่วกุยเป่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “ไหวเฉียน เจ้ายังมีเรื่องที่ปิดบังไว้ใช่หรือไม่?”

ไหวเฉียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “มี ที่บ้านเกิดของข้า ข้ามีสัญญาหมั้นหมายที่ผู้อาวุโสในตระกูลตกลงกันไว้ตอนเป็นเด็ก อันที่จริงข้าออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็เพื่อหนีงานแต่งงาน”

หลี่กุยเป่ายิ้มกล่าว “สตรีผู้นั้นเป็นอย่างไร?”

ไหวเฉียนตอบอย่างจนใจ “เคยพบหน้ากันแค่ครั้งเดียว ความทรงจำพร่าเลือน รู้สึกแค่ว่านิสัยนางไม่เลว แต่ว่าเป็นสตรีที่เรียนวรยุทธคนหนึ่ง ใจเด็ดกว่าข้าเสียอีก เพื่อหนีการแต่งงาน นางก็ได้หนีไปที่ทวีปเกราะทองอยู่นานแล้ว”

หลี่กุยเป่าร้องอ้อหนึ่งที

ไหวเฉียนรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง สายตาของเขาล่อกแล่กไปมา “แม่นางหลิ่ว จะบอกกับเจ้าอีกเรื่องหนึ่งดีไหม?”

หลี่กุยเป่าหัวเราะร่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ชอบข้าล่ะสิ จะกลัวอะไร ข้าเองก็ชอบเจ้าเหมือนกัน”

ไหวเฉียนบื้อใบ้พูดไม่ออก

หลังจากที่พูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำให้หลิ่วกุยเป่าคิดมากพวกนี้ไปแล้ว หลิ่วกุยเป่าก็เริ่มใคร่ครวญถึงทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ต่อจากนี้

บางครั้งสมองก็ใช้ได้ผลดีกว่าหมัด

ท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นไม่ค่อยมีสมองสักเท่าไร หมัดก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง

ตอนที่เด็กสาวข้างกายใช้สมาธิแน่วแน่ใคร่ครวญเรื่องราว ไหวเฉียนมองใบหน้าด้านข้างของนางแล้วก็คลี่ยิ้ม ฟุบตัวลงบนราวรั้ว ทอดสายตามองทิศไกล

อันที่จริงเรื่องที่เขาอยากพูดนั้น คือต้องการบอกให้นางรู้ว่า อะไรที่เรียกว่ามีโชคแต่ไร้วาสนา

เพราะคนทั้งสองต่างกันเกินไป ฐานะไม่เหมาะสม คุยกันไม่รู้เรื่อง การที่สามารถคุยกันได้ในวันนี้เป็นเพราะเขายอมคล้อยตามนางก็เท่านั้น

ทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไปจริงๆ

ตบะเป็นเช่นนี้ แผนการก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ส่วนชาติตระกูลนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ดังนั้นอันที่จริงเขารู้สึกสงสารแม่นางโง่คนนี้มาโดยตลอด

เกี่ยวกับโชควาสนาเล็กใหญ่ของที่แห่งนี้ เขาน่าจะเป็นคนที่รู้ชัดเจนดีที่สุด

นั่นคือปราณกระบี่เสี้ยวนั้น

และเขามาที่นี่ก็เพราะมัน

ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสเที่ยวเล่น หยอกเย้าคนข้างกายไปด้วย

แต่ปราณกระบี่เสี้ยวนี้เป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอย่างแท้จริง

เดิมทีเขาคิดว่าจะเดินทางไปเยือนทิศเหนืออีกครั้ง เพื่อไปพบเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉางแล้วค่อยกลับคืนสู่บ้านเกิด

หากไม่ผิดไปจากที่คาด เซียนกระบี่อันดับหนึ่งของทิศเหนือท่านนี้ก็น่าจะออกจากบ้านมาต้อนรับตน

พอไหวเฉียนคิดถึงบ้านเกิดก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย

มองดูมดกลุ่มนี้เหมือนหุ่นเชิดที่ถูกชักใย เดินอาดๆ อวดเก่ง อีกห้าวันต่อจากนี้ เห็นมากเกินไปก็รู้สึกรำคาญ

ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น ในเมื่อถูกปราณกระบี่เสี้ยวนั้นกำราบเอาไว้ ขอบเขตจะสูงได้สักเท่าไรกันเชียว?

ต่อให้ไม่เอาเบื้องหลังของตนออกมาก็สามารถนั่งลงปรึกษาดีๆ กับคนเบื้องหลังผู้นั้นได้ เขาได้ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นไปครอง อีกฝ่ายก็ไม่ต้องถูกสยบกำราบไปนานเป็นร้อยเป็นพันปี มีแต่ได้กับได้กันทั้งสองฝ่าย

หันหน้าไปมองเด็กสาวโง่เขลาที่ยังขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องราว

ไหวเฉียนที่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วก็หันหน้ามายิ้มถาม “แม่นางหลิ่ว อยากเป็นเจ้าจวนไช่เฉวี่ยตั้งแต่วันนี้เลยไหม?”

หลิ่วกุยเป่าถอยหลังกรูดออกไปในเสี้ยววินาที “เจ้าเป็นใครกันแน่?!”

ไหวเฉียนยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางไว้บนริมฝีปากแล้วทำเสียงชู่ว์

เขาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีป บรรพจารย์เคยเตือนข้าแล้วว่าเซียนกระบี่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเขาไม่ค่อยมีเหตุผลกันสักเท่าไร ชอบสังหารผู้มีพรสวรรค์ของทวีปอื่นมากเป็นพิเศษ ดังนั้นข้าจะต้องเก็บหางเจียมเนื้อเจียมตัว”

สายตาของหลิ่วกุยเป่าเย็นชา ความคิดแล่นเร็วจี๋ แต่กลับค้นพบว่าไม่ว่าทำอย่างไรตนก็ไม่สามารถใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจสื่อสารกับซุนชิงผู้เป็นอาจารย์ได้

ไหวเฉียนถอนหายใจหนึ่งที “แม่นางหลิ่ว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ พวกเราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วนะ”

คนต่างถิ่นที่มีลักษณะเป็นบัณฑิตผู้นี้สะบัดชายแขนเสื้อ แหงนหน้ามองไปยังกลางอากาศ “ไม่มัวเสียเวลาอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของพวกองค์เทพยันต์กระดาษขาวนี่ ข้าเห็นมาจนเอียนแล้ว ข้าจะต้องสอนท่านเทพเทวาของที่แห่งนี้สักหน่อย รวมไปถึงเจินเหรินผู้เฒ่าหวนคนนั้นด้วยว่า อะไรที่เรียกว่ายันต์ของจริง”

เห็นเพียงว่าในมือทั้งสองของเขาต่างก็มีวัตถุอยู่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเม็ดเสื้อเกราะสีทองของสำนักการทหาร ซึ่งก็คือเสื้อเกราะเทพเจ้าควันธูปที่ระดับขั้นสูงที่สุด

และเสื้อเกราะนี้ก็คือวัตถุโบราณเก่าแก่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในบรรดาเสื้อเกราะควันธูป

หลังจากที่ไหวเฉียนสวมไว้บนร่างแล้ว

ในมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็คีบยันต์สีเขียวไว้สองแผ่น แล้วโยนออกไปเบาๆ หนึ่งแผ่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มัดแผ่นเหล็กส่งไปนครเฟิงตู ขับไล่เทพแห่งสายฟ้า บังคับสายฟ้าให้ฟ้าผ่าลงมาสู่ฟ้าดิน”

เห็นเพียงว่าองค์เทพเกราะทองสูงสองจั้งองค์หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ทั่วร่างมีสายฟ้าสีขาวหิมะสว่างเจิดจ้าตัดสลับถักทอไปทั่ว เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสพื้น ภูเขาก็สั่นสะเทือน แล้วก็ไปชักนำโชคชะตาภูเขาแม่น้ำของภูเขาทั้งลูก

หลังจากโยนยันต์แผ่นที่สองออกไป

บุรุษพกกระบี่สวมอาภรณ์สีขาวปลิวไสวคนหนึ่งก็มาลอยตัวอยู่กลางอากาศ

เห็นเพียงว่าสีหน้าของเขาเฉยเมย แต่ปราณกระบี่ทั่วร่างกลับกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ล้อมวนอยู่ในบริเวณรอบด้านล้วนพากันระเบิดเป็นผุยผง

สุดท้ายในฝ่ามือของไหวเฉียนถือประคองลูกกลมฉลุลายสีทองลูกหนึ่ง

ด้านในมีแสงกระบี่หลายเส้นบินฉวัดเฉวียนดุจสายฟ้าแลบแปลบปลาบ พอพุ่งชนกับลูกกลมฉลุฉลายแล้วก็ก่อให้เกิดสะเก็ดไฟแลบเป็นระลอก

มาเยือนอุตรกุรทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆคราวนี้ เขาก็อยากจะอาศัยความสามารถของตัวเขาเอง ทำให้ผู้ติดตามหุ่นเชิดที่สามารถเลื่อนระดับขั้นไปได้อีกผู้นี้ได้กินกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสักหลายๆ เล่ม แล้วค่อยอาศัยโชคชะตาวิถีกระบี่สองสามส่วนของอุตรกุรุทวีปมาฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด

ไหวเฉียนแกว่งลูกกลมสีทองในมือเบาๆ จากนั้นก็โยนไปให้กับบุรุษวัยกลางคน “ค่อยๆ กิน”

ลูกกลมผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงของหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่

ปราณกระบี่ที่ตรวจตราฟ้าดินแห่งนี้มานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนเสี้ยวนั้นกลับหยุดลอยนิ่ง ราวกับกำลังหลุบตาลงต่ำมองไหวเฉียน

ไหวเฉียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นฝ่ายเลือกข้าด้วยตัวเอง”

จากนั้นไหวเฉียนก็มองไปยังมุมหนึ่งของม่านฟ้า “ปราณปีศาจที่พิเศษเช่นนี้ แล้วยังชอบหลอมภูเขากินเป็นอาหาร ใต้หล้าไพศาลของพวกเขาไม่มีสัตว์เดรัจฉานประเภทนี้หรอกนะ”

ฟ้าดินเงียบสงัด

ทุกคนอึ้งงันกันไปหมด

ไหวเฉียนหรี่ตาลง “จะปรึกษากับเจ้าหน่อย หลังจากเปิดฉากสังหารไปแล้ว หากข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่มีปัญญาทำอะไรข้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปพร้อมกับข้า รับรองว่าเจ้าจะมีอนาคตที่ยาวไกลอย่างแน่นอน”

ทะเลเมฆลดตัวลงต่ำ

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่บนริมขอบของทะเลเมฆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไอ้หนู เจ้านี่ปากดีจริงๆ”

โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง

ภาพวาดภูเขาสายน้ำก็คลี่ออกปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน แค่เงยหน้าขึ้น ไม่ว่าใครก็ล้วนมองเห็น

ในเมื่ออีกฝ่ายมีความจริงใจเช่นนี้ ผู้เฒ่าก็คิดจะนำความจริงใจส่วนหนึ่งออกมาเช่นกัน

ไหวเฉียนพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่วยไม่ได้ บรรพบุรุษของข้าคือหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”

ในความเป็นจริงแล้ว เทียนซือน้อยผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีหลิวโยวโจวของธวัลทวีป ต่างก็เป็นเพื่อนรักของเขา

ผู้เฒ่าที่อยู่บนทะเลเมฆเงียบงันไป

ไหวเฉียนเอ่ยต่อว่า “พูดความจริงที่ไม่น่าฟังสักประโยค ต่อให้ข้ายืดคอออกไปให้สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าลงมือ แต่เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?”

ไหวเฉียนเพิ่มระดับน้ำเสียง พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ากล้าหรือ?!”

ผู้เฒ่ายังคงไม่เอ่ยคำใด

ไหวเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน “เศษสวะพวกนี้ เจ้าจะเป็นคนฆ่า หรือจะให้ข้าสังหาร? หากเจ้าเป็นคนลงมือ สามสี่คนในนั้น ข้าจะพาไปด้วย”

เฉินผิงอันที่อยู่ในภูเขาลึกก็ตกตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์นี้เช่นกัน

ก่อนหน้านี้ม่านน้ำหายไป เฉินผิงอันก็รีบเปลี่ยนมาสวมหน้ากากใบหน้าของเด็กหนุ่ม รวมไปถึงชุดสีเขียว

เวลานี้เขารู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง

ยังทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

มองคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมผู้นั้น

หรือว่านี่ก็ถือว่าเป็นความสาแก่ใจได้ด้วย?

เฉินผิงอันหัวเราะ

คนแบบนี้หากต้องมาประสบพบเจอสภาพการณ์อย่างตน ต่อให้อีกฝ่ายมีขอบเขตสูงกว่านี้หนึ่งระดับ แต่ก็ควรจะตายไปกี่รอบแล้ว?

ก็แค่ว่าหลักการเหตุผลไม่ได้พูดกันเช่นนี้

มีการกระทำและคำพูดนี้ อีกทั้งยังสามารถยืนพูดแบบนี้อยู่ตรงนี้ได้ ย่อมมีข้อดีให้นำมาใช้ประโยชน์ได้ รวมไปถึงจุดที่เหนือกว่าคนอื่นซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้

เพียงแต่ว่าในเวลานี้ เขาเฉินผิงอันได้เห็นแค่ด้านเดียวของอีกฝ่าย

หากเปลี่ยนเฉินผิงอันไปเป็นคนผู้นั้น จะต้องไม่มีทางเดินมาถึงก้าวนี้อย่างอีกฝ่ายแน่นอน

แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าด้วยนิสัยเช่นนี้ของอีกฝ่าย และความอดทน รวมไปถึงกลอุบายที่ไม่ถือว่ามีไม่มากนี้ หากโชคไม่ดีก็คงไม่อาจมีชีวิตรอดเดินออกไปจากอุตรกุรุทวีปได้จริงๆ

จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะยังไม่เจอคนอย่างจีเยว่เซียนกระบี่ของภูเขาวานรคำรามกระมัง

แต่ในเมื่อคนผู้นั้นเลือกจะเปิดเผยตัวตน ไม่เก็บซ่อนอำพรางอีกต่อไป ก็ต้องเป็นผลลัพธ์ที่ผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมาแล้วอย่างแน่นอน

ดูจากในตอนนี้ ถือว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจพอสมควรแล้ว

ไม่เสียแรงที่เป็นคนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเดินทางมาสังหารผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปโดยเฉพาะ

เฉินผิงอันยังไม่ถึงขั้นเบื่อหน่ายจนต้องสาปแช่งให้เขาสะดุดหัวทิ่มอยู่ในอุตรกุรุทวีป

เส้นทางสายใหญ่มีมากมาย ต่างคนต่างเดินขึ้นเขากันไป

มองซ้ายมองขวา ย่อมมีสูงมีต่ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

ก็เหมือนเฉาสือผู้นั้น เขาเองก็อยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธเส้นเดียวกับเฉินผิงอันเช่นกัน เฉินผิงอันก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาไล่ตามให้ทันไปเท่านั้น

หรือว่าจะให้เขาทำหุ่นฟางคอยแช่งให้อีกฝ่ายไม่ต้องตายดี?

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง รู้สึกว่าการคิดเหลวไหลเพ้อเจ้อในเวลานี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่สนุกมากเหมือนกัน

สำหรับเฉาสือผู้นั้น สามครั้งที่ประลองกันบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเสียดายเพียงอย่างเดียวของเฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตอะไรไว้ หรือเป็นการที่ต้องเสียหน้าต่อหน้าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินและเทพีแห่งการต่อสู้ผู้นั้น

แต่เป็นเพราะเจ้าเฉาสือคนนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กวนโอ้ยน่าเตะ ไม่เพียงแต่หน้าตาหล่อเหลา ยังดูเหมือนว่าจะวางเฉยผ่อนคลายได้ตลอดเวลา ในสายตาไม่เคยเห็นใคร สิ่งที่สายตามองไปเห็นมีเพียงยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธในตำนานเท่านั้น

อันที่จริงนี่น่าโมโหอย่างมาก แล้วตอนนี้เขาดันยังเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นี่ก็ยิ่งน่าโมโหเข้าไปใหญ่

ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน

แต่ภาพเหตุการณ์ต่อมานั่นต่างหากที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะอย่างแท้จริง

เห็นเพียงว่านักพรตซุนที่เดิมทีตกใจจนสะดุดล้มไปนั่งกองอยู่กับพื้นพลันลุกพรวดขึ้นยืน

จากนั้น ‘นักพรตซุน’ คนนี้ก็ล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง

แต่กลับมีนักพรตซุนอีกคนหนึ่งที่เรือนกายล่องลอยดั่งภาพมายา ราวกับเป็นจิตหยินที่ออกจากร่างมาเดินทางไกล

นักพรตซุนยื่นมือไปคว้า บังคับปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ซึ่งพยายามจะเผ่นหนีไปเสี้ยวนั้นมากุมไว้ในมือเบาๆ

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนทะเลเมฆเห็นท่าไม่ดี ต่อให้จะไม่รู้ว่าเหตุใดนักพรตซุนถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ แต่เขาก็ทำแค่ม้วนหอบเอาทะเลเมฆมาปิดบังเรือนกาย คิดจะเผ่นหนีไป

นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เป็นแค่ปีศาจตัวน้อยๆ ก็กล้าหลอมภูเขาลูกนี้ พยายามจะแตะต้องอารามเต๋าอย่างนั้นรึ”

นักพรตซุนชำเลืองตามองซากปรักคล้ายรู้สึกเสียใจ ก่อนจะมองไปยังมุมหนึ่งของทะเลเมฆที่อยู่ห่างไปไกล “คิดว่ามาถึงใต้หล้าไพศาลก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจแล้วรึ? เห็นว่าสายของข้าผู้เป็นนักพรตควันธูปเบาบาง ยกกระบี่ไม่ขึ้น เลยคิดจะรังแกกันใช่ไหม?”

นักพรตซุนกำฝ่ามือแน่น บีบให้ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นแหลกสลายไปโดยตรง

จากนั้นก็ประกบสองนิ้ว ปาดไปด้านหน้าเบาๆ

ทะเลเมฆผ่าออกเป็นสองท่อน

เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาเรือนกายหนึ่งก็ถูกแบ่งเป็นสอง

ไหวเฉียนกำลังคิดจะเปิดปาก

นักพรตซุนกลับหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “อายุน้อยๆ ก็กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ไม่กลัวลิ้นจะขาดบ้างหรือ? หากมีตะเกียงแห่งชะตาชีวิตอยู่ในศาลบรรพจารย์ หลังจบเรื่องก็บอกกับบรรพบุรุษตระกูลเจ้าว่าให้มาแก้แค้นข้าผู้เป็นนักพรตที่ใต้หล้ามืดสลัวก็แล้วกัน”

ไหวเฉียนยังอยากจะบอกชื่อแซ่ของบรรพบุรุษตัวเอง

นักพรตซุนกลับใช้นิ้วทั้งสองปาดลงอีกครั้ง สังหารบัณฑิตหนุ่มคนนั้นให้ตายคาที่ รวมถึงหุ่นเชิดผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดนั้นด้วย ตอนที่ร่างหุ่นเชิดหล่นลงพื้นก็กลายเป็นยันต์ที่ถูกตัดออกเป็นสองแผ่น

สุดท้ายนักพรตซุนก้มหน้าลงมองซากปรักอารามเต๋า

รูปปั้นที่ถูกตั้งบูชาอยู่ในอารามเต๋าของยอดเขาก็คือศิษย์น้องของเขา

ล้วนเป็นเสาคานหลักของสายเซียนกระบี่ในใต้หล้ามืดสลัวเหมือนกับเขา

น่าเสียดายที่ศิษย์น้องผู้มีพรสวรรค์เดินขึ้นเขาเร็วเกินไป จึงตายเร็ว

จะกล่าวโทษป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นไม่ได้ ได้แต่โทษเขาที่มัวอืดอาด ทำให้นักพรตอย่างเขาที่เป็นศิษย์พี่ไม่สามารถแก้แค้นแทนศิษย์น้องได้

วิธีตายในโลกใบนี้มีนับพันนับหมื่น มีเพียงการรนหาที่ตายเองเท่านั้นที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

บนยอดเขาที่ห่างไปไกล เฉินผิงอันหยิบเอาเศษซากของเทวรูปไม้ทั้งหมดออกมาแล้ว

นักพรตซุนหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้ายังมีสัมผัสเฉียบไวอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ข้าผู้เป็นนักพรตเหม่อลอยต้องเสียเปล่า ถือว่าเป็นการช่วยตัวเองแล้ว”

นักพรตซุนยื่นมือคว้า จับเอาร่างตี๋หยวนเฟิงที่อยู่ในห้องหนังสือของถ้ำกลางป่า และจานชิงท่านโหวน้อย รวมไปถึงเด็กสาวหลิ่วกุยเป่าของจวนไช่เฉวี่ยมาวางไว้ด้านหน้าตัวเอง

นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “พวกเจ้าสามคนยินดีติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่”

การออกเดินทางของเขาในครั้งนี้ บุญกุศลที่สั่งสมไว้มากพอให้เขาพาคนไปด้วยสามคน

ตอนที่รอคอยคำตอบจากคนทั้งสาม ก็เหมือนว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะหยุดไหล

มีเพียงนักพรตซุนที่ลูบหนวดหัวเราะ พูดกับคนหนุ่มที่ปลอดภัยแล้วผู้นั้นว่า “สหายเฉิน เห็นแก่ธูปสามดอก เศษซากเทวรูปไม้ เจ้าก็เก็บไว้เถอะ”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “นักพรตซุน อันที่จริงต้องหกดอก”

นักพรตซุนหัวเราะฮ่าๆ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เหมือนว่าโบกให้อะไรบางอย่างมารวมตัวกันแล้วก็สลายหายไป “สหายเฉิน เก็บตกของผุๆ พังๆ ของเจ้าต่อไปเถอะ มากพอให้กระบี่เล่มนั้นของเจ้ากินอิ่มหนำแล้ว”

และบนยอดเขาที่ห่างไปไกลหลายร้อยลี้ลูกนั้น เบื้องหน้าของเฉินผิงอันก็มีเศษซากปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา