บทที่ 1013 ฆ่าล้างแค้น

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,013 ฆ่าล้างแค้น

ผู้พิทักษ์แห่งมณฑลเฉียนเกาประจำการอยู่ในนครหลวงราวสามพันคน ส่วนใหญ่แล้วพวกมันล้วนแต่เป็นนักรบเกราะเพลิงผู้ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มข้น นอกจากมีพลังในการต่อสู้สูงส่งแล้ว ยังมีความชำนาญในด้านการใช้อาวุธ และมีขั้นพลังโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์

ส่วนผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็จะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

ผู้พิทักษ์เหล่านี้รับหน้าที่เป็นองครักษ์คุ้มกันวังหลวง

การรักษาความปลอดภัยแน่นหนารัดกุม

ไม่ว่าจะเป็นธนู หน้าไม้ ปืนใหญ่อาคม หรือค่ายอาคม….

ต่างก็ถูกติดตั้งอยู่หน้าทางเข้าวังหลวง

แต่บัดนี้ ประตูวังหลวงถูกพังทลาย

ภาพที่ปู้เซียงฉือกำลังเห็นอยู่ก็คือซากศพจำนวนหลายพันศพของผู้พิทักษ์แห่งมณฑลเฉียนเกา พวกมันนอนแน่นิ่งอยู่ในกองเลือดที่เนืองนองไม่ต่างไปจากทะเลสาบสายหนึ่ง!

วังหลวงถูกบุกรุกอย่างนั้นหรือ?

เป็นฝีมือผู้ใด?

ปู้เซียงฉือตกตะลึงสุดขีด

มันรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้สึกตื่นกลัวมากเท่านั้น

ค่ายอาคมในวังหลวงเป็นที่ทราบกันดีว่าหากมีพลังต่ำกว่าขั้นเซียนระดับสี่ ย่อมไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้เด็ดขาด แต่บัดนี้ นอกจากค่ายอาคมจะถูกสลายลงไปแล้ว ในอากาศยังเต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟันอีกด้วย

รูปปั้นที่ตั้งอยู่เรียงรายสองข้างทางถูกรังสีกระบี่ทำลายหมดสิ้น รูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งของตระกูลเว่ย บัดนี้กลายเป็นเพียงเศษหินที่กระจายเกลื่อนพื้น…

ปู้เซียงฉือรู้สึกเหมือนตนเคยเห็นภาพนี้ที่ไหนมาก่อน

มันรีบเร่งฝีเท้า

ตลอดเส้นทางที่อยู่ด้านหลังประตูวัง ยังคงมีศพคนตายให้เห็นอีกหลายร้อยศพ

ทว่า กลับยังมีร่างกำยำในชุดเกราะกิเลนเพลิงยืนตระหง่านอยู่ในกองเลือด

“แม่ทัพเจิ้น ประเสริฐ ท่านยังไม่ตาย…”

ปู้เซียงฉือร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจ

มันจำได้ดีว่าผู้นี้คือแม่ทัพเจิ้งเหิง นับเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยรบเกราะเพลิง

คนผู้นี้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับหนึ่ง ถูกว่าจ้างมาจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน มีฉายาประจำตัวคือเซียนพันดารา

ปู้เซียงฉือเคยเห็นยามท่านแม่ทัพเจิ้งเหิงต่อสู้ด้วยตาของตนเองมาแล้วครั้งหนึ่ง

อาวุธคู่กายของมันคือหอกอีกามรณะ ตำนานเล่าขานว่าหอกเล่มนี้มีอานุภาพที่สามารถสอยได้แม้แต่ดวงดาวบนฟากฟ้า

จึงมีพลังในการโจมตีรุนแรงมหาศาล

แต่เมื่อปู้เซียงฉือวิ่งเข้าไปถึงเบื้องหน้าแม่ทัพเจิ้งเหิง ยังไม่ทันที่มันจะได้พูดอะไรต่อ พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย หลังจากนั้น สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็บังเกิดขึ้น

ฟู่!

แนวโลหิตปรากฏขึ้นบนลำคอของแม่ทัพเจิ้งเหิง

ทันใดนั้น ร่างของแม่ทัพเจิ้งเหิงก็กระตุกเฮือก ก่อนที่ศีรษะจะกลิ้งหลุดจากบ่า ตกกระแทกพื้นราวกับเป็นแตงโมลูกหนึ่ง…

ตึง!

ในที่สุด ตัวคนที่ปราศจากศีรษะก็ล้มตามลงไป

“นี่มันอะไรกัน…”

ปู้เซียงฉืออุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก

ตายแล้วหรือ?

ช่างเป็นการสังหารที่หมดจดยิ่งนัก

ผู้โจมตีในครั้งนี้มีความน่ากลัวมากเกินไป เพียงกระบี่เดียวก็สามารถตัดศีรษะของแม่ทัพเจิ้งเหิงได้โดยตรง และเนื่องจากเป็นกระบี่ที่รวดเร็วมาก ศีรษะจึงไม่ได้ถูกตัดขาดในทันที กล้ามเนื้อยังคงเชื่อมต่อกันแนบสนิทอยู่ดังเดิมเป็นเวลาครู่หนึ่ง ก่อนที่บาดแผลแห่งความตายจะปรากฏขึ้นมาอย่างช้า ๆ…

ดูเหมือนว่าแม่ทัพเจิ้งเหิงยังไม่มีเวลาได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

หอกอีกามรณะหายไปไหนแล้วนะ?

หลังจากยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ปู้เซียงฉือก็รีบปลุกปลอบจิตใจของตนเอง สลัดความสงสัยในหัวใจ และเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของวังหลวงต่อไป

ตลอดเส้นทางมันยังคงพบเจอซากศพของผู้พิทักษ์แห่งมณฑลเฉียนเกานับจำนวนไม่ถ้วน

มันได้พบกับศพของแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการหน่วยนักรบเกราะเพลิงอีกสามคนครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นดาบสะบั้นฟ้าฉู่เจวี๋ย กระบี่พสุธาคำรามโจวจื่อเหิง และกระบี่ฟ้าฝนพิโรธฉีเฟิง

พวกมันทั้งสามล้วนเป็นผู้มีพลังขั้นเซียน ระดับพลังไม่ต่ำต้อยไปกว่าท่านแม่ทัพเจิ้งเหิง

ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ที่ได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานกับตระกูลเว่ย

ดังนั้น ปู้เซียงฉือจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเผชิญหน้าผู้บุกรุก ยอดฝีมือขั้นเซียนเหล่านี้กลับไม่มีโอกาสได้ตั้งกระบวนท่าตั้งรับด้วยซ้ำ พวกมันต่างเผชิญหน้าความตายในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ!

ไม่แต่เพียงเท่านั้น

ปู้เซียงฉือยังค้นพบว่าผู้มีพลังขั้นเซียนคนอื่น ๆ ที่ว่าจ้างมา ต่างก็สิ้นใจตายทั้งหมด

ปรากฏร่องรอยแห่งการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ

ผู้มีพลังขั้นเซียนเหล่านี้ก็คือบรรดากลุ่มคนที่เหาะเหินบนฟากฟ้า คอยไล่ล่าผู้หลบหนีจากทางอากาศ เห็นได้ชัดว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทางส่วนหน้าของวังหลวง จึงพยายามรีบรุดออกไปช่วยเหลือ

แต่แล้วพวกมันกลับต้องเผชิญหน้าความตายที่แท้จริง

สูญสิ้นชีวิต วิญญาณแหลกสลาย

ผู้มีพลังขั้นเซียนเหล่านี้ไม่มีโอกาสตอบโต้แม้แต่น้อย

พวกมันถูกฆ่าตายในพริบตาเดียว

ต่อให้มีกำลังคนมากกว่าก็ไร้ประโยชน์

ปู้เซียงฉือก้าวเดินเข้าไปในส่วนลึกของวังหลวง คลื่นแห่งความปั่นป่วนถาโถมใส่จิตใจของมันไม่หยุดหย่อน

ไม่ว่ามันเดินผ่านไปตรงบริเวณใด ทุกสถานที่ล้วนเต็มไปด้วยศพคนตาย

ศพของนักรบเกราะเพลิงถูกตัดศีรษะด้วยกระบี่เดียว

ไม่มีใครรอดพ้นจากคมกระบี่ของผู้บุกรุก

ทันใดนั้น ปู้เซียงฉือกลับหยุดชะงักและตัวสั่นเทา

มันนึกถึงชื่อของใครบางคน

ต้องเป็นเขาแน่ ๆ

ต้องเป็นเขาผู้นั้น

ต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน!

ปีศาจน้อยตัวนี้ ถึงกับบุกถล่มวังหลวงแล้ว!!

แต่ว่า…

เขากล้าดีอย่างไร!?

สถานที่แห่งนี้เปรียบดั่งถ้ำเสือวังมังกรที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนารัดกุมมากที่สุด และมียอดฝีมือจำนวนมากรวมตัวกันอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์จักรพรรดิมากที่สุด

แต่คนเหล่านั้นกลับถูกหลินเป่ยเฉินสังหารได้ด้วยกระบี่เดียว

ใบหน้าของปู้เซียงฉือพลันขาวซีดและร่างกายก็สั่นเทา

มันกำลังกลัว

มันไม่กล้าเดินไปไกลมากกว่านี้

หากเดินเข้าไปแล้วเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินขึ้นมา มิใช่ว่ามันรนหาที่ตายเองหรอกหรือ?

ไม่สิ ไม่ต้องกลัว

ทันใดนั้น ปู้เซียงฉือนึกขึ้นมาได้ว่าข้างกายของฝ่าบาทยังมีองครักษ์ซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นเซียนระดับสามถึงสองคนและระดับสี่อีกหนึ่งคน

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในมือขององครักษ์เหล่านั้นยังมียอดศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเอาชนะบุคคลเหล่านั้นได้แน่นอน

ปู้เซียงฉือสูดหายใจลึกรวบรวมความมั่นใจในตระกูลเว่ย ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของวังหลวงต่อไป

หลังจากนั้นไม่นาน

ตำหนักที่ใช้บริหารจัดการเรื่องบ้านเมืองก็ปรากฏให้เห็นในสายตา

ได้ยินเสียงการต่อสู้และเสียงร้องคำรามลอยมาตามสายลม

“นั่นไงล่ะ ย่อมมีคนสามารถรับมือกระบี่ของหลินเป่ยเฉินได้จริง ๆ”

ปู้เซียงฉือยิ้มร่าด้วยความดีใจ เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น

มองจากระยะไกล มันเห็นว่าหน้าตำหนักบริหารในขณะนี้มีนักรบเกราะเพลิงจำนวนหลายร้อยคนกำลังห้อมล้อมเว่ยอู๋จีผู้ที่กำลังตื่นกลัวและเดือดดาลอยู่ตรงกลาง

ในเวลาเดียวกันนี้ เงาร่างสามสายกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ เคลื่อนไหววูบวาบ พลังลมปราณถูกปลดปล่อยออกมา ห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่แว่นตาดำในชุดขาวอยู่ห่างออกไปไม่ไกล…

“องครักษ์มู่ ประเสริฐ ท่านยังไม่ตาย”

ปู้เซียงฉือเห็นดังนั้นก็ร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจ

แต่เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย…

เปรี้ยง!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง

มู่อวิ๋นไห่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสี่ ถูกยกย่องให้เป็น ‘ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งนครหลวง’ ในที่สุด มันก็สบโอกาส ควงค้อนเหล็กด้ามยาวในมือเข้าประชิดตัวหลินเป่ยเฉินและฟาดค้อนใส่กระบี่ของเด็กหนุ่มแตกกระจาย

เศษกระบี่ปลิวว่อนไปรอบทิศทาง

“นี่สินะ ความน่ากลัวของค้อนจันทรามัจจุราช!”

“ประเสริฐ ในที่สุดก็มีผู้เอาชนะเด็กแซ่หลินได้เสียที…”

เมื่อเห็นเช่นนี้ ปู้เซียงฉือก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น