ตอนที่ 932 ปกป้อง

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“เยี่ยเทียน เป็นอะไรไปน่ะ?”

ขณะที่คัมภีร์เป็นตายเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ทุกคนในห้องโถงก็พบว่า สีหน้าของเยี่ยเทียนดูขาวซีดกว่าปกติ มือซ้ายซึ่งถือคัมภีร์เป็นตายอยู่ก็สั่นน้อยๆ กระทั่งร่างของเขายังถูกรัศมีสีดำนั้นปกคลุมไปแล้วครึ่งร่าง แลดูออกจะพิสดารอยู่

“เปล่าครับ!”

เยี่ยเทียนโพล่งออกมาสองคำ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก แบ่งปราณแท้ในกายแล้วถ่ายเทเข้าสู่คัมภีร์เป็นตายอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจึงจะผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเล็กละเอียด

หลังจากหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋า และเทยาวิเศษที่โก่วซินเจียเป็นคนปรุงใส่ปากไปหนึ่งเม็ดแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปที่คัมภีร์เป็นตายซึ่งกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วอย่างหวาดหวั่น และเอ่ยขึ้นว่า

“ซ่งเสี่ยวหลงเสร็จเราแล้ว ถือว่าไม่ได้สูญพลังไปเปล่าๆ แล้วละนะ!”

“อย่าเพิ่งไปสนเจ้าซ่งเสี่ยวหลงอะไรนั่นเลย”

เมื่อเห็นสภาพของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน

“ศิษย์น้องเล็ก นี่เป็นอะไรไปน่ะ? รีบตรวจร่างกายเร็ว อย่าได้ทิ้งอาการบาดเจ็บใดๆ ไว้!”

พวกโก่วซินเจียเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จึงต่างรู้กันว่าในระดับนี้ ปราณแท้ในกายมีอยู่อย่างสมบูรณ์เพียงใด ต่อให้อยากจะใช้ให้หมด ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่ เยี่ยเทียนกระตุ้นใช้คัมภีร์เป็นตายครั้งเดียว ถึงกับกลายเป็นสภาพนี้ จึงทำให้ทุกคนตกตะลึงกันจริงๆ

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ แค่ร่างกายเสียพลังปราณชีวิตมากไปหน่อยเท่านั้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร…”

เมื่อเห็นทุกคนท่าทางเคร่งเครียด เยี่ยเทียนจึงฝืนยิ้มพูดว่า

“คัมภีร์เป็นตายนี่คงจะไม่ใช่ของที่พลังฝีมือระดับผมในตอนนี้จะควบคุมได้ดั่งใจนึก วันหน้าใช้ให้น้อยๆ หน่อยท่าจะดี!”

เยี่ยเทียนเคยใช้อักษร ‘ตาย’ ในคัมภีร์เป็นตายไปหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือในงานประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มีพลังพิเศษที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง ตอนนั้นคัมภีร์เป็นตายได้แสดงอานุภาพออกมา ดูดพลังของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ราชครูจากไทยกลายเป็นมนุษย์ตากแห้ง เหลือแต่เพียงผิวหนังหุ้มโครงกระดูกเท่านั้น

แต่ตอนที่กระตุ้นใช้ตัวอักษร ‘ตาย’ ครั้งนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้เสียปราณแท้ไปมากนัก เพียงใช้ไปเล็กน้อยตอนที่จะปลุกคัมภีร์เป็นตายขึ้นมา ต่อจากนั้นคัมภีร์เป็นตายก็เริ่มดูดพลังของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เอง ราวกับว่ามันสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง

แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงก็คือ คราวนี้หลังจากที่เขาเขียนชื่อของซ่งเสี่ยวหลงลงบนคัมภีร์เป็นตายแล้ว คัมภีร์เป็นตายกลับดูดปราณแท้ในกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับวาฬหรือวัวดื่มน้ำก็ไม่ปาน ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ปราณแท้อันทรงพลังในกายของเยี่ยเทียนก็ถูกสูบไปจนเกลี้ยง

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อปราณแท้ในกายของเยี่ยเทียนถูกใช้ไปจนหมดแล้ว พลังดึงดูดนั้นก็คล้ายกับจะมาสูบพลังปราณชีวิตต้นกำเนิดที่จุดตันเถียนของเขาไปอีก พลังชีวิตราวกับจะหลุดลอยไปจากร่าง เยี่ยเทียนอยากจะตัดขาดจากคัมภีร์เป็นตายเล่มนั้นแต่ก็ยังทำไม่ได้

เพราะเคยเห็นสภาพราวกับมัมมี่ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกตื่นตระหนกเหมือนจะตายมิตายแหล่ ยังดีที่เจี่ยตันของเขาก่อตัวสมบูรณ์แล้ว ปราณแท้จึงกำเนิดขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง แต่แม้กระนั้น เจี่ยตันซึ่งอยู่ในจุดตันเถียนของเขาก็ยังย่อขนาดเล็กลงไป และหมุนอย่างเชื่องช้าและอับแสงอยู่ในจุดตันเถียนของเยี่ยเทียน

เยี่ยเทียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางผ่านจุดเชื่อมโยงระหว่างเขากับคัมภีร์เป็นตายว่า เหมือนจะมีวิญญาณของคนผู้หนึ่งถูกสูบเข้าไปในหนังสือ ดังนั้นเขาถึงได้แน่ใจว่าซ่งเสี่ยวหลงเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เพราะในที่สุดก็กำจัดตัววิบัตินี้ไปได้แล้ว

หลังจากฟังคำอธิบายของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็พึมพำขึ้นว่า

“นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเลือดลมที่ทรงพลัง คัมภีร์เป็นตายจึงได้รับพลังเสริมจากร่างของเขา แต่ซ่งเสี่ยวหลงเป็นเพียงคนธรรมดา ร่างกายมีแต่สิ่งปนเปื้อนหลังกำเนิด คงเพราะสาเหตุนี้ คัมภีร์เป็นตายถึงได้สูบพลังปราณชีวิตไปจากร่างของเธอ”

ความเป็นจริงนั้นใกล้เคียงกับที่โก่วซินเจียคาดเดามาอย่างยิ่ง คัมภีร์เป็นตายนี้เดิมทีก็เป็นของล้ำค่าอันพิสดารจากยุคโบราณ แต่ภายหลังได้รับความเสียหายไปมาก ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันจึงเหลืออานุภาพอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน และยังมีพลังอีกหลายอย่างที่ไม่อาจนำออกมาใช้ได้

แต่ก็นับว่าเคราะห์ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นด้วยพลังฝีมือของเยี่ยเทียนในปัจจุบันแล้ว คงไม่มีทางควบคุมคัมภีร์เป็นตายได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อรักษาโรค เยียวยาอาการบาดเจ็บ หรือดูดวิญญาณคน ก็พอที่จะสูบพลังของเยี่ยเทียนจนกลายเป็นมนุษย์ตากแห้งไปได้แล้ว

เนื่องจากการใช้คัมภีร์เป็นตายครั้งนี้ทำให้พลังต้นกำเนิดได้รับความเสียหาย เยี่ยเทียนจึงยังไม่รีบเดินทางกลับจีน แต่อยู่พักผ่อนอย่างสงบที่บ้านพักบนเกาะฮ่องกงก่อน

สามวันให้หลัง ข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดมาถึงหูเขา ในบ่อนคาสิโนแห่งหนึ่งที่มาเก๊า พบศพแห้งที่มีลักษณะการตายพิสดารอย่างยิ่งร่างหนึ่ง จากการตรวจเทียบดีเอ็นเอพบว่า ผู้เสียชีวิตก็คือซ่งเสี่ยวหลงซึ่งเป็นเป้าหมายที่วงการมือสังหารรับจ้างและสมาคมหงเหมินกำลังตามล่าอยู่นั่นเอง

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ร่างกายของเยี่ยเทียนฟื้นฟูพลังปราณชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ภายใต้การเร่งเร้าจากซ่งเฮ่าเทียน เขาจึงพาพวกศิษย์พี่กลับไปยังกรุงปักกิ่ง โดยตั้งใจไว้ว่า หลังจากที่ได้พบกับบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้ว ก็จะพาเหล่าศิษย์สำนักเสื้อป่านกลับไปไหว้อาจารย์ที่เหมาซาน

………………

“ท่านผู้เฒ่า ขนาดลูกชายผม ผมยังไม่ได้กอดเลยนะครับ จะต้องรีบร้อนกันขนาดนี้เลยหรือ?”

เยี่ยเทียนกำลังเดินอยู่ภายในเขตกำแพงสีแดงอันสงบเงียบห่างไกลผู้คนของจงหนานไห่ พลางบ่นว่าซ่งเฮ่าเทียนอย่างไม่พอใจ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไปในเรือนสี่ประสานของตัวเองได้ไม่ทันไร พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกซ่งเฮ่าเทียนลากขึ้นรถยนต์ที่จอดรอไว้นานแล้ว ทำเอาลูกชายที่เห็นเขาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ยื่นมือออกมากอดเลยนั้นกลับกลายเป็นร้องไห้กระจองอแงขึ้นมาทันที

“เยี่ยเทียน ฉันก็โดนพวกนั้นกดดันมาเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะระยะนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียด พวกฉันก็คงไปหาแกที่ฮ่องกงตั้งนานแล้วละ”

ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินแล้วหัวเราะเฝื่อนๆ

“แกน่ะรู้ตัวรึเปล่า ฉันว่าแกนี่มีรังสีอำมหิตหนักเกินไปแล้วนะ เรื่องที่แกจัดการราชครูจากไทยกับคนญี่ปุ่นนั่นก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมจะต้องฆ่าพวกอังกฤษด้วย?”

“ท่านผู้เฒ่าวางใจเถอะครับ มีผมอยู่ พวกนั้นอย่างมากก็ได้แค่ขู่หน่อยเดียวเท่านั้นแหละ”

เมื่อได้ยินซ่งเฮ่าเทียนบอกเช่นนั้น เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้า แม้ว่าน้อยนักที่จะมีผู้บำเพ็ญพรตเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเยี่ยเทียน ถ้าประเทศต่างๆ ไม่รักษาสัญญาจริงๆ เยี่ยเทียนก็พร้อมที่จะเดินทางรอบโลก เพื่อดำเนินการประหัตประหารไปทั่วทุกสารทิศ

ขณะพูด เยี่ยเทียนและซ่งเฮ่าเทียนก็เข้าสู่อาคารเล็กๆ หลังหนึ่งในจงหนานไห่ที่ถูกบดบังด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ทันทีที่เยี่ยเทียนก้าวเข้าประตูไป คนเจ็ดแปดคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นมาพร้อมกัน

“ท่านทั้งหลาย ผู้แซ่เยี่ยมิกล้ารับหรอกครับ!”

เมื่อเห็นพวกประธานเยวี่ยเข้ามาต้อนรับ เยี่ยเทียนจึงรีบประสานมือแสดงความเคารพ ที่เขามาพบเหล่าผู้อาวุโสในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะพูดเรื่องบางอย่างให้กระจ่าง ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น ดั่งแขกที่มาเยือนโลกหล้าเพียงชั่วคราว ทำงานให้แก่ประเทศชาติบ้างเป็นบางครั้งคราวก็ไม่เลว แต่หากจะให้เยี่ยเทียนเห็นผลประโยชน์ของประเทศชาติสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดละก็ อย่างนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

“เยี่ยเทียน เธอนั้นเปรียบดั่งเสาเข็มค้ำสมุทรของประเทศเราเลยนะ!”

สีหน้าของพวกประธานเยวี่ยดูเหมือนจะแฝงความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ประธานอู๋นั้นยิ่งพยายามยกยอเยี่ยเทียนสุดตัว แต่ที่เกินคาดคือ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครคัดค้านในประเด็นนี้เลยสักคน

“อ้อ? ประธานอู๋ คราวนี้คงจะมีผลประโยชน์ไม่น้อยเลยสินะครับ?”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา เขาเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่งในห้องรับแขก พวกประธานเยวี่ยและประธานอู๋รอจนกระทั่งเยี่ยเทียนนั่งลงแล้ว จึงจะนั่งลงรอบๆ เยี่ยเทียน เป็นการล้อมเยี่ยเทียนไว้ตรงกลางอย่างอ้อมๆ

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”

ประธานอู๋พยักหน้าแรงๆ แล้วพูดขึ้นว่า

“เยี่ยเทียน งานประชุมสุดยอดเมื่อหลายวันก่อน ผมเป็นคนพาคนไปเข้าร่วมเอง คนจีนเราได้เชิดหน้าชูตากันจริงๆ แล้วละทีนี้…”

แม้ว่าในหลายปีมานี้ประเทศจีนจะแข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน แต่เมื่ออยู่ในระดับนานาชาติแล้ว ก็ยังคงเป็นได้เพียงประเทศที่กำลังพัฒนาเท่านั้น เพราะในหลายๆ ด้านเช่นเศรษฐกิจการค้าและการทหาร การปกครอง ก็ยังล้าหลังกว่าต่างประเทศอยู่มาก ในการประชุมผู้นำหลายครั้ง ผู้นำของประเทศอย่างอเมริกาและอังกฤษจึงมักจะแสดงท่าทียกตนเหนือกว่าอย่างไม่รู้ตัวอยู่เสมอ

แต่ในงานประชุมสุดยอดเมื่อหลายวันก่อนนั้น ผู้นำประเทศต่างๆ กลับปฏิบัติต่อปัญหาของประเทศจีนแตกต่างไปจากเดิมชนิดหมุนกลับหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ท่าทีเย้ยหยันและเย็นชาอย่างแต่ก่อนกลับกลายเป็นการยกยอปอปั้น บางประเทศอย่างอเมริกาและอังกฤษยิ่งไม่เอ่ยถึงปฏิบัติการซ้อมรบในช่วงก่อนหน้านี้เลย

ในงานประชุมผู้มีพลังพิเศษนั้น เยี่ยเทียนโดดเด่นเหนือผู้ใด สามารถกำราบผู้มีพลังพิเศษจากทั่วโลก ทำให้หลายๆ ประเทศอย่างอเมริกา อังกฤษและรัสเซียรู้สึกถึงความกดดันอย่างชัดเจน กล่าวได้ว่าตั้งแต่มีการคิดค้นหัวรบนิวเคลียร์เป็นต้นมา นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีวิธีการข่มขู่ที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมาบนโลก และก็มีอิทธิพลต่อสถานการณ์ของโลกอย่างลึกซึ้ง

แน่นอนว่า ประเทศต่างๆ อย่างอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซียนั้น ต่างก็ได้ยื่นข้อเสนอต่อประเทศจีนเพื่อขอเจรจาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการพัฒนาผู้มีพลังพิเศษในวงกว้างแล้ว ภายใต้ความกดดันจากประเทศต่างๆ ซึ่งแทบจะรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกันอยู่แล้วนั้น ประธานอู๋จึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย สาเหตุที่สมาชิกสภามาชุมนุมกันในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะโน้มน้าวเยี่ยเทียนนั่นเอง

“เจรจาแลกเปลี่ยน? ถึงจะสอนพวกนั้นไป แล้วพวกนั้นจะไปเรียนสำเร็จได้ยังไงล่ะครับ?”

หลังจากเข้าใจความหมายของประธานอู๋แล้ว เยี่ยเทียนก็ยิ้มอย่างเย็นชา แต่ละประเทศก็มีหลักการบำเพ็ญเพียรเฉพาะตัวของประเทศตน เช่นบุคคลอย่างพระเยซูของศาสนาคริสต์ หรือพระมุฮัมหมัดของศาสนาอิสลาม ต่างก็เป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น หลักการบำเพ็ญเพียรของพวกท่านนั้น คนจีนย่อมไม่อาจจะศึกษาทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เช่นกัน

และในทำนองเดียวกัน หลักการบำเพ็ญพรตของจีนนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชาวต่างชาติจะสามารถศึกษาบรรลุได้ ไม่อย่างนั้นในการปะทะกันทางวัฒนธรรมตลอดหลายพันปีที่ผ่านมานี้ ต่างฝ่ายต่างก็คงจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวไปนานแล้ว นอกจากนี้ โลกในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคธรรมตอนปลาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนหรือว่าโลกตะวันตก ผู้บำเพ็ญพรตและผู้มีพลังพิเศษก็มีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ

แม้แต่เยี่ยเทียนเอง อย่างมากที่สุดก็คงจะปกป้องประเทศจีนไปได้เพียงหนึ่งร้อยปี หลังจากที่เขาเข้าสู่ดินแดนผนึกแล้ว การข่มขู่ที่จีนมีต่อประเทศตะวันตกก็ย่อมจะยุติไปโดยปริยาย

………………………………