ตอนที่ 1,015 มีแอปพลิเคชันใหม่ให้ดาวน์โหลด
“จริง ๆ เลยนะ”
หลินเป่ยเฉินสะบัดคราบเลือดที่ติดอยู่บนค้อนจันทรามัจจุราชและพยักหน้าด้วยความพอใจ “คงไม่มีใครคิดเลยสินะว่าข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”
การสะบัดค้อนของเด็กหนุ่ม
ทำให้หยดเลือดสาดกระจายไปรอบบริเวณ
กิริยาท่าทางของเขาปกติสามัญ ไม่เหมือนกับผู้ที่เพิ่งสังหารองค์จักรพรรดิสักนิด
“นับเป็นการฆ่าที่หมดจดยิ่ง”
ปู้เซียงฉือตั้งสติได้ก็รีบคุกเข่าบนพื้นดินและปรบมือประจบประแจง “สมแล้วที่คุณชายหลินเป็นผู้ไถ่บาปของประชาชนทั้งมวล คุณชายจะต้องเป็นผู้ที่กวาดล้างตระกูลเว่ยจอมทรยศได้อย่างแน่นอน ข้าน้อยขอถวายตัวรับใช้คุณชายไปจนวันตายขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปชำเลืองมอง
ไอ้หมอนี่คิดว่าเขาโง่นักหรือไง?
ต้องรอจนถึงตอนนี้ค่อยมาขอถวายตัวรับใช้งั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจปู้เซียงฉืออีกและเดินเข้าไปค้นหาทรัพย์สินของมีค่าจากศพคนตาย
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงเลยก็คือศพของเว่ยอู๋จีมีของมีค่าน้อยมาก นอกจากศิลาบูชาไม่กี่พันก้อน ก็เป็นโอสถที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายได้ไม่เท่ากับผลกวนเจี๋ยหนึ่งลูก หมดจากนี้ไปก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
อาวุธสักชิ้นก็ไม่มี
“เป็นจักรพรรดิได้ยังไง ไม่พกของมีค่าติดตัวบ้างซะเลย”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความผิดหวัง
เขาหันไปค้นศพขององครักษ์ทั้งสาม และพบวัตถุเก็บของวิเศษจำนวนหนึ่ง หลินเป่ยเฉินจึงเก็บวัตถุเหล่านั้นเข้าไปในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์โดยตรง และตั้งใจว่าค่อยเปิดดูข้าวของที่อยู่ด้านในเมื่อมีเวลา
“ท้องพระคลังของวังหลวงอยู่ที่ใด นำทางไป”
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้าปู้เซียงฉือด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อะไรนะขอรับ?”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ
“คุณชายคิดว่าผู้ต่ำต้อยอย่างข้าจะรู้ที่ตั้งของท้องพระคลังหรือขอรับ?”
“อ้าว นี่เจ้ากล้าตั้งคำถามกับข้าหรือ…”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“เข้ามานี่สิ ข้าจะให้เจ้าได้ดูอะไรสักหน่อย”
เด็กหนุ่มยกคทาขึ้นและแสยะยิ้มด้วยความอำมหิต “เจ้าคิดว่าไม้คทาของข้ามีไว้เพื่อทำอะไร?”
ปู้เซียงฉือแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาโดยทันที เขาร่ำไห้ร้องขอความเมตตาว่า “ข้าน้อยจะนำทางไปเองขอรับ ข้าน้อยจะนำทางคุณชายไปเอง…”
มันไม่มีทางเลือกนอกจากพาหลินเป่ยเฉินเดินอ้อมมุมทางเดินไปยังที่ตั้งซึ่งน่าจะเป็นท้องพระคลัง
แต่แน่นอนว่าปู้เซียงฉือย่อมไม่รู้จักที่ตั้งของท้องพระคลังที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่ปู้เซียงฉือจะหาศิลาบูชาเจอ
แม้แต่เหรียญทองคำหรือเหรียญเงินธรรมดามันก็หาไม่เจอด้วยซ้ำ
“คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าเจ้าจะพูดจริง ในเมื่อเจ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “และเมื่อเจ้าไม่รู้ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์สำหรับข้าอีกแล้ว”
สวบ!
กระบี่เล่มหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นดินพลันลอยเข้าไปปักหัวใจของปู้เซียงฉือ
“ข้า… ท่าน…”
ปู้เซียงฉือยกมือกุมหน้าอก คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองกลับต้องพบเจอชะตากรรมเช่นนี้
มันแสดงสีหน้าเกลียดชังออกมาขณะพูดว่า “เมื่อเทพเจ้าของพวกข้ามาถึงที่นี่ รับรองว่าเจ้าตายแน่ เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าพลังของเทพเจ้าที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร…”
วูบ!
คมกระบี่สาดประกาย
ศีรษะของปู้เซียงฉือขาดกระเด็น
ถึงไม่อยากตาย มันก็ตายแล้ว
เมื่อคิดถึงความตายของประชาชนจำนวนมาก ผู้รับใช้ตระกูลเว่ยทุกคนก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่รอดอีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินไม่คิดยอมแพ้ เขาเดินค้นหาทั่ววังหลวงอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบข้าวของมีค่าใด ๆ เลย สุดท้ายก็ได้แต่สบถด้วยความโกรธแค้นอยู่ในใจ
‘เพราะพวกเจ้าดวงตามืดบอด จึงก่อการยึดครองราชย์บัลลังก์’
หลินเป่ยเฉินใช้กระบี่สลักเป็นข้อความและสลักสัญลักษณ์ของเทพีกระบี่ทิ้งเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ทั่ววังหลวง
‘ผู้ใดก็ตามที่หันหลังให้เทพีกระบี่จะต้องถูกลงทัณฑ์’
‘นี่คือการชำระแค้นจากเทพีกระบี่’
‘ไม่มีผู้ใดจะสามารถโค่นล้มเทพีกระบี่ได้สำเร็จ’
ข้อความที่ถูกถอดมาจากคัมภีร์เทพเจ้าสลักอยู่ตามจุดที่เกิดเหตุนองเลือดทั่ววังหลวง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็นำลำโพงขนาดใหญ่ออกมา
“ตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาทรยศประเทศชาติ สมควรตกตายเป็นพันครั้งหมื่นครั้ง ผู้ใดก็ตามที่สนับสนุนตระกูลเว่ย รับรองได้เลยว่าพวกมันจะไม่มีทางได้ตายดี…”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์และกางปีกกระบี่ออกมาบนแผ่นหลัง จากนั้นเขาก็บินไปบนท้องฟ้า แผ่รัศมีออกไปในอากาศและส่งเสียงตะโกนกึกก้องกังวาน
ลำโพงขนาดใหญ่ที่เขากำลังแบกอยู่ในขณะนี้มีราคาเป็นศิลาบูชา 299 ก้อน และคุณภาพของมันก็น่าพอใจมากทีเดียว
เสียงตะโกนของหลินเป่ยเฉินดังสะท้อนไปทั่วนครหลวง
ชาวเมืองที่กำลังหวาดกลัวตระกูลเว่ย เมื่อได้ยินคำประกาศเช่นนี้ พวกเขาต่างก็รีบเปิดประตูเปิดหน้าต่างจ้องมองไปบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่
ในที่สุด เทพีกระบี่ก็ปรากฏตัวออกมาจัดการพวกตระกูลเว่ยแล้วหรือ?
ชาวเมืองบางส่วนวิ่งออกมาที่ลานบ้านและเห็นหลินเป่ยเฉินกำลังโบยบินอยู่บนฟากฟ้า
ปีกกระบี่ของเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์แวววาว
“เป็นเทพีกระบี่สำแดงอิทธิฤทธิ์จริง ๆ ด้วย”
“ทูตสวรรค์ปรากฏตัวแล้ว…”
ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจและมีจำนวนไม่น้อยที่น้ำตาไหลออกมาด้วยความปลาบปลื้ม
พวกเขารีบคุกเข่ากับพื้นดินและสวดภาวนา
แน่นอนว่าบรรดานักรบเกราะเพลิงที่ตั้งสถานีอยู่ทั่วนครหลวงล้วนตกใจกับการปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินและพวกมันก็รีบโจมตีใส่เด็กหนุ่มอย่างไม่รอช้า
แต่ยิ่งโจมตี ก็ยิ่งพ่ายแพ้
หลินเป่ยเฉินไม่ยั้งมือไว้ไมตรีแม้แต่น้อย เขาจัดการสังหารพวกมันด้วยความอำมหิตยิ่ง
กองทัพของนักรบเกราะเพลิงถูกกวาดล้างไปหมดสิ้นในเวลาเพียงพริบตาเดียว
“ช่างยโสโอหังนัก เจ้ากำลังดูหมิ่นพวกเราวิหารเฉียนเกา…”
บุรุษผู้สวมใส่เครื่องแบบนักบวชของวิหารเฉียนเกาจำนวนหลายสิบคนลอยตัวขึ้นไปจากพื้นดิน
แต่แล้วรังสีกระบี่ก็สาดประกายเจิดจ้า
“ด้วยนามของเทพีกระบี่ ข้าจะลงทัณฑ์พวกเจ้าเอง”
เสียงคำรามของหลินเป่ยเฉินดังกังวานจากลำโพงขยายเสียง
เมื่อรังสีกระบี่ครอบคลุมผืนฟ้า นักบวชของวิหารเฉียนเกาหลายสิบชีวิตยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของพวกมันก็ระเบิดกลางอากาศ โลหิตสาดกระจายราวกับดอกไม้เบ่งบานทั่วท้องนภา
ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินนั้นมากมายเกินกว่าที่ทุกคนเคยจินตนาการ
นั่นเป็นเพราะว่าเขาลงมือในยามที่ศรัทธาของชาวเมืองตกต่ำมากที่สุด
รังสีกระบี่ที่ครอบคลุมผืนฟ้ามาจากการรวบรวมพลังปราณธาตุทองคำ ช่วยให้สีสันที่ปรากฏออกมาในขณะนี้ดูมีมนต์ขลังเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อเทพีกระบี่ปรากฏตัว เหล่ามารชั่วก็ไม่มีที่ใดให้หลบซ่อนอีกต่อไป จงจดจำเอาไว้… ผู้ที่ทรยศต่อเทพีกระบี่ต้องตกตายสถานเดียว!”
หลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากยมทูตที่ปรากฏตัวเพื่อเก็บเกี่ยวชีวิตผู้คน การโจมตีของเขาในวันนี้ ไม่มีนักบวชแห่งวิหารเฉียนเกาผู้ใดจะสามารถต้านทานได้อีกแล้ว
“พวกเราจะตามไล่ล่าผู้ที่ซ่อนตัวในความมืด”
หลินเป่ยเฉินเผยแพร่ข้อความจากในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
สำหรับทหารผู้รับใช้ตระกูลเว่ย การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มคือหายนะที่แท้จริง
บรรดานักรบเกราะเพลิงล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีพลังขั้นเซียน นายทหารที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ย่อมไม่สามารถรับมือได้ หายนะในครั้งนี้จึงดำเนินไปจนกระทั่งดวงตะวันลับขอบฟ้า การสังหารจึงได้ยุติลง
หลินเป่ยเฉินตกอยู่ในสภาวะเครื่องจักรสังหารที่แท้จริง
บรรยากาศที่ปกคลุมนครหลวงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
…
เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับมาที่วิหารหลวง
เขาก็ได้เห็นว่ารูปปั้นของเทพีกระบี่เริ่มกลับมามีแสงสว่างเรืองรองอีกครั้ง
และเด็กหนุ่มก็เห็นอีกเช่นกันว่าบรรดานักบวชที่ก่อนหน้านี้เยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเองได้อย่างยากลำบาก บัดนี้ ต่างก็ช่วยกันรักษาอาการบาดเจ็บของกันและกันอย่างรวดเร็วมากขึ้น…
หลินเป่ยเฉินพบว่าคบไฟแห่งศรัทธาในวิหารบนยอดเขาถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อชาวเมืองได้ประสบพบเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงเมื่อยามบ่าย พลังศรัทธาต่อเทพีกระบี่จึงฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าไงนะ? เว่ยอู๋จีตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“อะไรนะ? ยอดฝีมือขั้นเซียนที่รับใช้ตระกูลเว่ยตายหมดแล้ว?”
“เป็นไปได้อย่างไร? ทูตสวรรค์ไม่เหลือรอดเลยสักคน?”
ฮวาชิงเหยียนผู้เป็นหัวหน้านักบวชคนใหม่ตกตะลึงจนลืมรักษากิริยาท่าทีที่เคยสงบสุขุม นางยังคงถามต่อไปด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าสามารถทำได้อย่างไร?”
“ก็แค่ทำสิ่งที่ต้องทำ… เท่านั้นเองขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ทราบว่าท่านอยากฝึกวิชาเหล่านั้นหรือไม่? ข้าสามารถสอนท่านได้”
ฮวาชิงเหยียนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ทัน นางขยับถอยหลัง ก้มหน้าต่ำ และพยายามตั้งสติให้สงบนิ่ง
“น้องรัก เจ้ากำลังจะมีโอกาสได้บันทึกชื่อของตนเองลงในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว…”
หลินเป่ยเฉินตบไหล่เซียวปิงและกล่าวต่อ “หลังจากนี้ ยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้าและอากวง นำกำลังพลของหลี่ซิวเยวียนออกไปกวาดล้างขุมกำลังของตระกูลเว่ยที่ยังหลงเหลืออยู่ในนครหลวงให้สิ้นซาก…”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
“ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวัง”
เมื่อได้ยินว่าตนเองมีโอกาสที่จะได้บันทึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์ เซียวปิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ชิงเหยียน เจ้าก็พาคนของเราออกไปด้วย”
เทพีกระบี่ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสดีงามเช่นนี้หลุดลอยไป
การฆ่าล้างแค้นของหลินเป่ยเฉินเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ทำให้นางตกตะลึงมากทีเดียว
เทพีกระบี่ย่อมรู้ดีว่าตระกูลเว่ยวางขุมกำลังในนครหลวงไว้อย่างแข็งแกร่ง
ถึงเทพเจ้าแห่งวิหารเฉียนเกาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ แต่มันก็ได้ส่งทูตสวรรค์และผู้มีพลังขั้นเซียนจำนวนนับสิบคนมาคอยดูแลความสงบเรียบร้อยในนครหลวง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางลงไปจากภูเขาไม่ได้
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถกวาดล้างกลุ่มคนเหล่านั้นได้สำเร็จ
ดังนั้น เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ
แข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า… เหตุไฉนรุ่งเช้าของวันนี้ นางจึงถึงกับหมดสติไปคาเตียงอย่างนั้น
บัดนี้ โอกาสดีได้มาถึงแล้ว
ตราบใดที่คนจากวิหารเทพีกระบี่แสดงตัวช่วยเหลือชาวเมือง พลังศรัทธาต่อวิหารก็จะฟื้นคืนกลับมาอย่างแน่นอน
พลังศรัทธาจากผู้คนทั่วนครหลวง จะทำให้นางกลับมาแข็งแกร่งได้รวดเร็วมากที่สุด
ผลที่ตามมาก็คือ ระดับพลังของเทพีกระบี่ก็จะสูงส่งมากขึ้น
บางทีเมื่อเวลานั้นมาถึง หากนางต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าแห่งวิหารเฉียนเกา นางอาจเป็นฝ่ายชนะและสามารถทวงคืนสิ่งที่สูญเสียไปกลับมาสำเร็จก็เป็นได้
หัวใจของเทพีกระบี่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เมื่อนางหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน แววตาก็อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย
ในไม่ช้า เซียวปิงและฮวาชิงเหยียนก็นำกลุ่มคนลงไปจากวิหาร ออกไปปฏิบัติภารกิจกวาดล้างศัตรูตามคำสั่ง
ในวิหารจึงเหลือหลินเป่ยเฉินกับเทพีกระบี่เพียงสองคน
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่อีกแล้ว คุณชายหลินจึงกลับมาเป็นตัวเองได้เต็มที่
เขากระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์หิน นำผลกวนเจี๋ยออกมารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
การต่อสู้เมื่อตอนบ่าย ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องสูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย
เขาจำเป็นต้องรีบฟื้นฟูพลังกลับมาให้เร็วที่สุด
“นี่ ท่านมีอะไรอยู่ในใจคิดจะพูดหรือไม่? เหตุไฉนถึงได้จ้องมองข้าตาเยิ้มเช่นนี้…”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับเคี้ยวผลกวนเจี๋ยในปากกร้วม ๆ
เทพีกระบี่แค่นหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“งั้นก็ไม่เป็นไร”
หลินเป่ยเฉินคุ้นเคยกับความเย็นชาของเทพีกระบี่ดีแล้ว เขาจึงไม่ได้สนใจนางอีกและกำลังจะปรับระดับพลังของตนเอง
ทันใดนั้น…
‘ติ๊ง’
เสียงแจ้งเตือนที่คุ้นหูจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“นายท่านเจ้าคะ มีแอปพลิเคชันใหม่ให้ดาวน์โหลดในแอปสโตร์ นายท่านต้องการดาวน์โหลดเลยหรือไม่?”
เสียงของเสี่ยวจี้ ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะดังขึ้นในหัว
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก
มาแล้วสินะ มาแล้วสินะ
ทุกครั้งที่เขาทำสิ่งใดเพื่อส่วนรวมสำเร็จ ก็จะมีของขวัญตอบแทนเสมอ
“เปิดแอปสโตร์”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งในใจโดยไม่รอช้า
แล้วโทรศัพท์มือถือก็จัดการฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นมาตรงหน้า
ในแอปสโตร์ มีโลโก้ของแอปพลิเคชันที่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่งปรากฏขึ้น
“ไม่จริงน่า!”
หลินเป่ยเฉินลอบอุทานอยู่ในใจด้วยความเหลือเชื่อ
ทำไมถึงเป็นแอปนี้ไปได้นะ?
มันจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ หรือ?