คนเราเมื่อเจ็บปวดใจหรือโกรธเคืองก็จะไปโยงคนอื่นเข้ามา
แม้แต่ผู้ฝึกปราณก็ไม่เว้น
และการมีอยู่ของหลินสวิน ย่อมทำให้ผู้ที่มองเขาเป็นศัตรูอยู่เดิมเหล่านั้นหาทางระบายออกได้อย่างไม่ต้องสงสัย พากันเอ่ยปากด่าว่าขึ้นมา
มีคุณสมบัติพาตัวขึ้นมาถึงสี่อันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่ไม่ได้รับเกียรติยศที่อันดับเช่นนี้นำมาให้ กลับดึงดูดการด่าว่าติเตียนเช่นนี้มาเสียได้
เมื่อกลับไปคิดถึงต้นตอ ต้องเป็นเพราะเห็นว่าหลินสวินรังแกได้เท่านั้นเอง เขาไร้สำนักไร้พรรค หัวเดียวกระเทียมลีบ ย่อมไม่มีพลังซึ่งสามารถทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นหวั่นกลัว
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าในดินแดนรกร้างโบราณที่ควบคุมโดยสำนักโบราณใหญ่นี้ คนหัวเดียวกระเทียมลีบคิดจะผงาดขึ้นมาเป็นเรื่องยากลำบากปานไหน!
เมื่อหลินสวินเห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะขึ้นมาในทันใด
เขายืนอยู่เหนือแท่นมรรคบนยอดเขา มองลงมายังทุกคนในที่นั้น ท่าทีผิดจากปกติ แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวถึงขีดสุด แล้วพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ถูกผู้อื่นริษยาเป็นคนความสามารถพื้นๆ ที่โบราณว่าไว้ไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ข้าหลินสวินรอนแรมมาตลอดทางกระทั่งตอนนี้ เหยียบย่างภูเขาศพทะเลเลือด ฝ่าผ่านถ้ำเสือบึงมังกร ทุกอย่างที่ข้าได้ครอบครองในวันนี้ ฟ้าดินเป็นพยาน สุริยันจันทราแจ้งประจักษ์!”
“พวกเจ้า ยังไม่มีคุณสมบัติมาตัดสินข้า!”
น้ำเสียงเรียบเฉยดังก้องฟ้าดิน
ทุกคนในสนามประลองต่างนิ่งอึ้ง เสียงตำหนิติเตียนก็ถูกกดทับลงไป รู้สึกคล้ายถูกสั่นสะเทือนท่ามกลางความคลุมเครือ
“ฟ้าดินเป็นพยานได้ดีจริงๆ!” เยี่ยเฉินดวงตาฉายประกาย
“เพียงอาศัยจิตวิญญาณเช่นนี้ ก็สามารถมองว่าเป็นพวกเราได้!” แววประหลาดไหวเคลื่อนในดวงตาเซี่ยวชางเทียน
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มละไม ฟันงามเปล่งประกาย ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเพราพริ้งส่องประกาย
ในดวงตาคู่งามที่มองไปยังหลินสวินมีแต่แววประหลาดราววงคลื่น
นี่ก็คือหลินสวินที่นางรู้จัก ไม่เหมือนคนทั่วไปเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร!
‘จองหอง!’ จี้ซิงเหยาลอบพึมพำในใจ
ทว่าในตอนนี้นางก็สะท้านใจขึ้นมาเช่นกัน ทุกคนบนโลกต่างรู้ดีว่าเทพมารหลินกล้าหาญไม่มีใครเทียม กิตติศัพท์ระบือไกล
แต่ใครๆ ก็รู้อีกว่าเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอย่างเขา เพื่อสิ่งนี้ ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อไปเท่าไร
“กำเริบเช่นนี้เหมือนเคย!” อวี่หลิงคงส่งเสียงหึหยัน เขายิ่งเห็นว่าหลินสวินขัดหูขัดตาขึ้นอีก
จินมู่อวิ๋นพลันเอ่ยปากเสียงดังว่า “หลินสวิน การคุยโตเช่นนี้เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ประเดี๋ยวเมื่อประลองกัน ระวังจะถูกตบหน้าเอา!”
“ตบหน้าหรือ อย่างเจ้าก็คู่ควรด้วยหรือ”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย “ต่อให้อวิ๋นชิ่งไป๋มา ก็ไม่กล้าพูดกับข้าแบบนี้!”
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
จินมู่อวิ๋นสีหน้าเคร่งขรึม
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อยู่เชิงเขาก็สีหน้าคร่ำเคร่ง เด็กนี่ถึงกับกล้าดูหมิ่นอวิ๋นชิ่งไป๋ ช่างสมควรตายเสียจริง!
“รนหาที่ตายหรือ” มุมมากของหลินสวินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม “อีกเดี๋ยว หากเจ้าสามารถตั้งรับข้าได้สามกระบวนท่า ก็ถือว่าข้าแพ้!”
ทั้งที่นั้นสั่นสะเทือน
สามกระบวนท่าหรือ
คุยโวยิ่งนัก!
แม้แต่เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินยังเลิกคิ้วอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดี! ดี! ดี!”
จินมู่อวิ๋นโกรธถึงขีดสุดจนหัวเราะ ทั้งร่างมีเจตกระบี่ดุดันเทียมฟ้าแผ่พุ่งออกมา รังสีเหี้ยมเกรียมยิงออกมาจากกลางดวงตา “ข้ารออยู่!”
‘ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง อวิ๋นชิ่งไป๋ตอนนั้นก็มองคนรุ่นเยาว์อย่างโอหัง ยามเรียกได้ว่าไร้ศัตรู เกรงว่าคงไม่กล้าคุยโวปานนี้’
ที่ตีนเขา เยี่ยนจั่นชิวนั่งขัดสมาธิเหนือก้อนหิน แผ่นหลังเหยียดตรง สีหน้าสงบนิ่งและเรียบเฉยเหมือนแต่ก่อน
ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมากับตาหมดแล้ว แม้ในใจไม่ยินยอม แต่ต้องยอมรับว่าตอนแรกเขาประเมินหลินสวินต่ำไป
การแพ้อย่างย่อยยับของชิงเหวินเจวี้ยนและหลี่ชิงผิงทำให้เขาถึงกับเกิดความรู้สึกระแวดระวัง
ไม่ใช่เพราะตกใจกับพลังต่อสู้ที่โอหังราวเทพมารเช่นนั้นของหลินสวิน แต่เขาค้นพบได้ทันทีว่า เขากลับไม่เคยมองทะลุตื้นลึกหนาบางของหลินสวินได้อย่างทะลุปรุโปร่งมาโดยตลอด!
‘การต่อสู้มีท่วงท่าอย่างเทพมาร ไหวพริบล้ำลึกราวโกรกธาร แต่กลับกระทำการอย่างใจกล้าคับฟ้าปานนี้ ไม่หวั่นเกรงสายตาใคร หากเด็กนี่ผงาดขึ้นมา คลื่นลมไร้ที่สิ้นสุดต้องเกิดขึ้นตามมาด้วยแน่ ไม่รู้ว่าจะไปชักนำเรื่องโกลาหลมากน้อยแค่ไหน’
คิดถึงตรงนี้ดวงตาของเยี่ยนจั่นชิวฉายแววแน่วแน่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ‘ศิษย์น้องจิ่งเซวียน… อย่าไปเกลือกกลั้วกับเขาเด็ดขาดเชียว!’
……
รอบสุดท้าย ที่เปิดฉากขึ้นก่อนคือการประลองของยอดมกุฎรุ่นเยาว์อันดับที่ห้าถึงสิบ
กฎเกณฑ์เรียบง่ายนัก หลังจากแต่ละคนประลอง ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่พ่ายแพ้จะถูกจัดอันดับที่แปด เก้า และสิบ ตามความมากน้อยของโชควาสนามหามรรคของแต่ละคน
ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์สามคนที่ได้รับชัยชนะจะประลองกับอีกสองคนที่เหลือ อิงตามคะแนนสุดท้ายจัดอันดับที่ห้า หกและเจ็ด
……
ไม่นานนักการประลองก็เริ่มขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น
เพียงแต่สำหรับหลินสวิน เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน และจินมู่อวิ๋น สามารถนั่งรออย่างสบายใจ ยามดูการประลอง สภาวะจิตปลอดโปร่งเหนือธรรมดานัก
กระทั่งว่าพวกเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินต่างถือโอกาสนี้หลับตานั่งสมาธิ ไม่สนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้
สามารถทำสมาธิในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีจิตมรรคที่หนักแน่นและผ่องแผ้วถึงที่สุด!
เหตุใดผู้ฝึกปราณต้องปิดด่าน
สาเหตุก็คือไม่ต้องการถูกโลกภายนอกรบกวน จดจ่อจิตวิญญาณทั้งหมดไปกับการบรรลุ
ทว่าหากสภาวะจิตแกร่งกล้ามากพอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ภูเขาดาบทะเลอัคคี หรืออยู่ที่นรกอเวจีคลุ้งเลือดล้วนสามารถรักษาความสงบเยือกเย็น วายุแปดทิศพัดมาก็ไม่โอนเอน
จะปิดด่านหรือไม่ ก็ไม่อาจส่งผลต่อพวกเขาได้
หลินสวินย่อมสามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน ที่ทำให้เขาสะเทือนอารมณ์ก็คือ ผู้โดดเด่นในขอบเขตมกุฎอย่างเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน ล้วนยืนตระหง่านอยู่จุดสูงสุดของรุ่นเดียวกัน ยังสามารถรักษาจิตมรรคได้ดังเดิม รีบหาเวลาฝึกปราณอย่างไม่อ้อยอิ่งสักนิด เจตจำนงแสวงมรรคที่ตั้งมั่นและแข็งกล้าเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้ผู้อื่นประทับใจ
ไม่กลัวว่าคู่ต่อสู้ชาติกำเนิดดีกว่าเจ้า พรสวรรค์สูงกว่าเจ้า หรือแก่นกระดูกดีกว่าเจ้า แต่กลัวคู่ต่อสู้ที่ยึดครองข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติ ขยันหมั่นเพียรกว่าเจ้า!
‘ไม่แน่ว่าอาจเพราะเป็นเช่นนี้ พวกเขาถึงมีความสามารถระดับนี้ในวิถีมรรคกระมัง’ หลินสวินครุ่นคิด
การเก็บเล็กผสมน้อยอาจไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่เมื่อสะสมถึงระดับหนึ่ง ย่อมมีเวลาที่กองศิลากลายเป็นภูผา ร้อยธารากลายเป็นมหาสมุทร!
‘การแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้มีคนเช่นนี้มาประลอง ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว’ ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินถึงให้ความสำคัญกับตนเช่นนี้
ง่ายนัก พวกเขามองว่าตนเป็น ‘พวกเดียวกัน’!
และตอนนี้ หลินสวินก็มองพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ต่างเฝ้าคอยการประลองกับพวกเขาอย่างเต็มที่!
คิดถึงตรงนี้ จิตต่อสู้ไร้รูปร่างก็ผุดขึ้นจากกายหลินสวิน
แทบจะในขณะเดียวกัน บนยอดเขาอีกสองยอด เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินที่นั่งสมาธิอยู่ล้วนเหมือนรับรู้ได้ พากันลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางหลินสวิน
เมื่อสังเกตได้ถึงจิตต่อสู้บนกายหลินสวิน ในดวงตาเรียวยาวราวคมดาบของเซี่ยวชางเทียนก็ฉายประกายขึ้นอย่างเงียบงัน
เยี่ยเฉินกลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างไร้เสียงว่า ‘คิดจะต่อกรกับข้า เมื่อต่อสู้ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ออมมือ!”
หลินสวินยิ้มหยัน “จะทำตามที่เจ้าต้องการ!”
“หึ!”
จินมู่อวิ๋นก็สังเกตเห็นภาพนี้ได้อย่างฉับไว ด้วยฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎที่มีคุณสมบัติเข้าชิงสี่อันดับแรกเช่นเดียวกัน เขาย่อมดูออกว่ากลิ่นอายของหลินสวินเปลี่ยนแปลงไป มีจิตต่อสู้ดุดันที่ไร้รูปเพิ่มขึ้นมา
แต่จินมู่อวิ๋นดูแคลนนัก ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยพูดว่าจะเอาชนะเขาให้ได้ในสามกระบวนท่า ท่าทีที่ดูถูกและโอหังเช่นนี้ถูกจินมู่อวิ๋นมองว่าเป็นการเหยียดหยาม ไม่อาจทนได้!
ไม่นานนักการประลองบนสนามประลองโชควาสนาก็สิ้นสุดลง และแบ่งอันดับออกมา
ที่ห้า จี้ซิงเหยา
ที่หก จ้าวจิ่งเซวียน
ที่เจ็ด อาหลู่
ที่แปด อวี่หลิงคง
กู่เหลียงผิงและฉีชงโต้วได้อันดับที่เก้าและสิบ
ฉีชงโต้วเป็นผู้สืบทอดที่มาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นศิษย์พี่ของเซียวชิงเหอ ก่อนหน้านี้ไม่แสดงตัวโดดเด่น แต่ตอนนี้กลับสามารถพาตัวเองมาอยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ก่อให้เกิดเสียงตื่นตะลึงในหมู่ผู้ชมไม่รู้เท่าไร
ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะอย่างอวี่หลิงคง กลับได้เพียงอันดับแปด ก็ทำให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนประหลาดใจถึงที่สุด
เพราะตามที่ทุกคนคาดเดาไว้ บุคคลอย่างอวี่หลิงคงอย่างน้อยก็ควรอยู่ราวอันดับห้า
แต่ตอนนี้ขนาดคนเถื่อนอย่างอาหลู่เขายังกำราบไม่ได้ อยู่ที่อันดับแปด นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งของแดนพิสุทธิ์อมตะเหล่านั้นล้วนมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่อาจยอมรับได้ รู้สึกไม่ยินยอมแทนอวี่หลิงคง
อวี่หลิงคงก็อึ้งไป สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จิตใจถูกกระทบกระเทือน
เดิมทีถูกหลินสวินกดหัวก็ทำให้ใจเขาเต็มไปด้วยความอัปยศอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับได้เพียงอันดับแปด นี่จะให้เขาซึ่งยโสโอหังรับได้อย่างไร
หลินสวินเห็นเช่นนี้ นอกจากอึ้งไปเล็กน้อยก็อดไม่ได้นึกถึงความเห็นประโยคหนึ่งจากซุ่นไป๋เซวียนตอนข้ามแม่น้ำพรมแดน ‘อวี่หลิงคงหรือ ก็แค่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่อริยะในตระกูลทุ่มทรัพยากรบำเพ็ญเพียรจำนวนมหาศาลออกมาให้ก็เท่านั้น’
ในเสียงเจือไปด้วยความดูถูก
และตอนนี้เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินสวินก็รู้สึกอยู่รางๆ ว่าความเห็นของซุ่นไป๋เซวียนเหมือนจะถูกต้อง
ในเทศกาลโคมกถามรรคตอนนั้น เขาก็เคยเคยประลองกับอวี่หลิงคง ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกรับมือได้ยากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้มีพลังต่อสู้น่ากลัวมากมาย แต่เพราะตำหนักอมตะที่เขาครอบครองเป็นสมบัติอริยะที่น่าครั่นคร้ามถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง!
ตอนนี้อวี่หลิงคงไม่มีสมบัติอริยะ ว่าด้วยรากฐานพลังแล้วด้อยกว่าพวกจี้ซิงเหยา จ้าวจิ่งเซวียนและอาหลู่ขั้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าการที่อวี่หลิงคงสามารถพาตัวเองมาอยู่ในอันดับแปดของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ท่ามกลางบุคคลขอบเขตมกุฎ ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นสะดุดตาไม่ใช่คนอ่อนแอแล้ว
อวี่หลิงคงเหมือนสังเกตได้ถึงสายตาของหลินสวิน เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้ายิ่งอึมครึม ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์นี้ได้!
‘หลินสวิน การประลองคราวนี้ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ รอเมื่อออกไปจากที่นี่ ข้าจะกำราบเจ้าด้วยมือข้าเอง!’ อวี่หลิงคงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำในใจ เผยให้เห็นความแค้นหนักแน่นเด็ดขาด
ตูม!
ทันใดนั้นเหนือเขาเทพไร้มรณะ รัศมีเทพนิรันดร์อันโชติช่วงหาใดเทียบก็แผ่ออกมา เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมสะท้านทั่วฟ้าดิน ประหนึ่งเสียงแห่งมหามรรคก้องกังวาน ดึงดูดความสนใจของทุกสายตาในที่นั้น
การประลองรอบสุดท้ายเพื่อชิงสี่อันดับแรกกำลังจะเริ่มขึ้น แต่กลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างตื่นตะลึงยกใหญ่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
พวกหลินสวินก็อึ้งไป เดิมทีพวกเขาเตรียมตัวเพื่อประลองตามกฎเกณฑ์ ใครจะคิดได้ว่าเวลานี้กลับเหมือนเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น!
ครืน!
การเคลื่อนไหวประหลาดของภูเขาเทพไร้มรณะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก เหนือเวิ้งฟ้าพลันมีแสงมงคลเทลงมา แสงอริยะผุดขึ้น สาดส่องให้ฟ้าดินแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกันคลื่นกฎระเบียบสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา ถักทอกลางห้วงอากาศไม่ว่างเว้น เปล่งประกายงดงาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ประกอบกันเป็นเงาร่างใหญ่โตหาใดเทียบเงาหนึ่ง!
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน?!”
ทุกคนต่างตื่นตระหนกยกใหญ่ นัยน์ตาขยายกว้าง มองดูภาพนี้อย่างเหลือเชื่อ จิตวิญญาณล้วนสั่นสะท้าน
กลิ่นอายกฎระเบียบอันศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างน่าตะลึงเกินไปแล้ว!
——