ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขารู้สึกภาคภูมิใจที่มีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่กับตัว แต่มันกลับกลายเป็นเครื่องพันธนาการแทนที่จะเป็นพร
“ผมคิดหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเกิดความคิดหนึ่งขึ้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้การได้จริงหรือไม่ คุณน่ะโชคดีที่เลือกเดินในเส้นทางที่ต่างจากผม บางทีคุณอาจประสบความสำเร็จในแบบที่ผมไม่เคยทำได้” ปรมาจารย์ขงพูดขณะยิ้มออกมา
ดูเหมือนเขาพบเห็นความเป็นความตายมามากจนไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว
“เส้นทางที่ต่างจากคุณ?” จางเซวียนทวนคำ
“ใช่ ความลับของสวรรค์น่ะไม่อาจถูกเปิดเผย เพราะไม่อย่างนั้น อาจนำไปสู่ผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ที่จะตามมา ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคุณ…ถึงอย่างไรจอมราชันย์หลินชีกับผมก็ทำในสิ่งที่เราต้องทำแล้ว ส่วนคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับคุณ” ปรมาจารย์ขงพูด
เห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจพูดเรื่องนี้ จางเซวียนรู้ดีว่าซักไซ้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “ปรมาจารย์ขง, ผมทำความเข้าใจมลทินสวรรค์ได้สำเร็จ ขณะที่คุณครอบครองลิขิตสวรรค์ แล้วคุณรู้ไหมว่าเศษเสี้ยวสวรรค์ของจอมราชันย์หลินชีคืออะไร?”
นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด
หากสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แล้วส่วนของหลัวลั่วชิงคืออะไร?
ทำไมหลัวลั่วชิงถึงสัมผัสสิ่งที่เขามีอยู่ได้ ขณะที่เขาไม่รู้อะไรเลย?
“ผมก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน!” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“คุณก็ไม่รู้หรือ?” จางเซวียนชะงัก
เพื่อเสาะหาข้อมูลของปรมาจารย์ขง หลัวลั่วชิงลงทุนเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อตรวจสอบความสามารถของเขา แต่ปรมาจารย์ขงกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสามารถที่หลัวลั่วชิงครอบครองคืออะไร
แล้วเขาจะมีอะไรไปเอาชนะการดวลได้?
“ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจธรรมชาติของสวรรค์และสรวงสวรรค์ และพบว่าแม้มันจะมีสภาพแร้นแค้น แต่ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยที่ยังไม่พังทลายอย่างสิ้นเชิง ราวกับมีพละกำลังบางอย่างคอยทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อปกป้องบรรดาสิ่งมีชีวิตในสรวงสวรรค์ไว้” ปรมาจารย์ขงโพล่งออกมา
มีหลายเรื่องที่เขาไม่อาจบอกเล่าให้เหล่าศิษย์สายตรงของเขารับรู้ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับ 9 จอมราชันย์ก็ไม่ค่อยดีนัก ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าคนเดียวที่เขาพอจะพูดคุยได้ทุกเรื่องก็คือจางเซวียน
“คุณกำลังจะบอกว่าพละกำลังบางอย่างที่ทำงานอยู่เบื้องหลังคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิงใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น…เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเธอครอบครองความสามารถบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสวรรค์?” จางเซวียนถาม
แม้ธรรมชาติของสรวงสวรรค์จะไม่ใช่สิ่งที่ยอมอ่อนข้อหรือประนีประนอมให้ใคร แต่มันก็ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนเติบโตอยู่ในนั้นได้
ยกตัวอย่างสภาพแวดล้อมของโลกใบเก่าของเขา มันถูกออกแบบมาให้ช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตจากภัยอันตรายส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชั้นโอโซนหรือแร่ธาตุที่ก่อเกิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ
นี่อาจเป็นวิธีที่สวรรค์ใช้ปกป้องโลกมนุษย์
เป็นไปได้ไหมว่ามันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของสรวงสวรรค์?
“ก็เป็นไปได้ แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจกลับแตกต่างออกไป” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับส่ายหน้า “ผมเชื่อว่าความสามารถของจอมราชันย์หลินชีจะต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับธรรมชาติของสวรรค์ เพราะเหตุนั้น บรรดาผู้คนในน่านฟ้าเสรีจึงให้ความสำคัญกับอิสระและการมีอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นของตัวเอง ส่วนการปกป้องสวรรค์ ผมคิดว่ามันคือแนวคิดหนึ่งที่อยู่ภายในธรรมชาติของสวรรค์มากกว่า”
“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนพยักหน้า
“แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของผมในตอนนี้ คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อค้นหาความจริง” ปรมาจารย์ขงพูดยิ้มๆ
จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “คุณมั่นใจแค่ไหนเรื่องการดวล?”
“ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่นั่นแหละ จะเอาชนะผมก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ” ปรมาจารย์ขงตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความมั่นใจล้ำลึก
เขาฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆและดั้นด้นมาจนถึงที่นี่ ได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์และหอนิรันดร์ ทั้งยังท้าทายแปดจอมราชันย์ด้วยมือเปล่า ทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วโลก
เขามั่นใจว่าต่อให้มีอุปสรรคใดขวางทาง แต่ในที่สุดก็จะต้องก้าวข้ามมันไปจนได้
ได้ฟังแบบนี้ จางเซวียนทำได้แค่ถอนหายใจอีกรอบ
ไม่มีทางหลุดพ้นปัญหานี้ไปได้เลย
หากปรมาจารย์ขงชนะ นั่นย่อมหมายถึงความตายของหลัวลั่วชิง หรืออาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงมัน
ซึ่งหลังจากฟังคำอธิบายของปรมาจารย์ขง จางเซวียนก็รู้แล้วว่าต่อให้เขาดิ้นรนยับยั้งการดวลครั้งนี้ต่อไปก็มีแต่เปล่าประโยชน์
สงครามสวรรค์คือการต่อสู้ที่พวกเขาไม่อาจหนีพ้น มันคือความรับผิดชอบและหน้าที่ที่จะต้องเฝ้าดูจนการต่อสู้สิ้นสุด!
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผม…”
รู้สึกได้ถึงความกังวลของจางเซวียน ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆ แต่ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในอากาศก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มรุนแรงเกรี้ยวกราดอย่างฉับพลันจนน่าสะพรึง
ในเวลาเดียวกัน ทั้งโลกก็สั่นไม่หยุด
ทั้งจางเซวียนกับปรมาจารย์ขงรีบเดินออกจากห้องและเงยหน้ามองท้องฟ้า พวกเขาเห็นพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้ามืดมิด แสงสีเงินเจิดจ้าของมันอาบทั่วพื้นดิน
“ท่านอาจารย์…”
บรรดาศิษย์สายตรงที่ปรมาจารย์ขงสั่งให้ออกไปก่อนหน้านี้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขามองท่านอาจารย์อย่างร้อนรนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
คืนวันพระจันทร์เต็มดวงมาถึงแล้ว**การต่อสู้กำลังจะเริ่มต้น
“พวกเราเดินทางไกลแสนไกลมาด้วยกัน และพวกคุณก็รู้นิสัยของผมดี ชีวิตและความตายคือส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของเรา เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง แม้เราจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ใบไม้ย่อมร่วงหล่น ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง แต่นั่นแหละ ทุกอย่างล้วนเป็นการจัดเตรียมเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่” ปรมาจารย์ขงพูด “ถ้าการดวลสิ้นสุดลงโดยผมไม่ได้กลับมา พวกคุณยอมรับจางเซวียนเป็นผู้นำคนใหม่นะ เมื่อมีเขาอยู่ด้วย พวกคุณจะปลอดภัยจากอันตราย”
“รับทราบ” ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงตอบรับ
“ผมนี่นะ? ทุกคนล้วนแต่เป็นศิษย์พี่ของผม ผมจะรับหน้าที่นี้ได้อย่างไร?” จางเซวียนผงะ
ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง หรือนักปราชญ์โบราณชิวอู๋…
ทุกคนล้วนมีอาวุโสกว่าเขา และในอดีตเขาก็เคยได้รับประโยชน์มากมายจากคำชี้แนะของคนเหล่านี้
หากจะขึ้นเป็นผู้นำ ย่อมไม่เหมาะสมแน่
“ในฐานะผู้ครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์ คุณควรมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้นะ” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับโบกมือ
“แต่พละกำลังของผมยังอ่อนด้อย…”
ตอนนี้จางเซวียนเป็นแค่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นต้นเท่านั้น และคงอีกนานกว่าจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด ส่วนราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ส่วนนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับคนอื่นๆก็ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเขา…เขาอดรู้สึกกดดันไม่ได้หากจะต้องเป็นผู้นำของคนเหล่านี้
“พละกำลังของคุณจะคงอยู่อย่างนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น คุณทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธที่เหนือกว่าสวรรค์ได้แล้ว ดังนั้น ไม่ช้าไม่นานคุณจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก” ปรมาจารย์ขงพูดยิ้มๆ “อย่ากังวลให้มากไปน่ะ ผมก็แค่พูดเผื่อไว้ในกรณีเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากผมเอาชีวิตรอดกลับมาได้ การดวลครั้งสุดท้ายก็จะเป็นการดวลระหว่างคุณกับผม…”
จางเซวียนถึงกับใบ้กินก่อนจะพยักหน้าด้วยอาการถอดใจ “เอาเถอะ ผมจะดูแลสภาปรมาจารย์ให้ดี”
คงไม่เข้าท่าหากเขาจะปฏิเสธคำขอของใครคนหนึ่งที่อาจเอาชีวิตไปทิ้งในการดวลก็ได้
ปรมาจารย์ขงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ เขาพูดต่อ “การดวลกำลังจะเริ่มแล้ว ผมจะไปล่ะนะ ลาก่อน…”
ฟึ่บ!
ทันทีที่พูดจบ ปรมาจารย์ขงก็กระโจนขึ้นสู่กลางอากาศและมุ่งหน้าสู่พระจันทร์ที่เห็นอยู่เต็มดวง
“ปรมาจารย์ขง พาผมไปด้วย!” จางเซวียนรีบตะโกน
นี่คือการดวลระหว่างปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง ต่อให้เขายับยั้งมันไม่ได้ แต่ก็อยากเห็นทุกอย่างกับตา
แต่ปรมาจารย์ขงก็หายวับไปแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา
“ปรมาจารย์จาง การเฝ้าดูการดวลของ 2 จอมราชันย์น่ะอันตรายมากนะ คลื่นความสั่นสะเทือนของการปะทะอาจคร่าชีวิตคุณได้เลยทีเดียว และหากบุ่มบ่ามเข้าไปโดยไม่ระวังตัวก็อาจได้รับบาดเจ็บ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด
จางเซวียนได้แต่ส่ายหัวกับคำเตือนนั้น
มีหรือที่เขาจะไม่รู้?
แต่นี่คือการต่อสู้ของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้!
จางเซวียนโผขึ้นสู่กลางอากาศและใช้ทักษะการบินของนักรบระดับราชันย์เทพเจ้า แต่ก็รู้ทันทีว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขายังช้าเกินไป ซึ่งกว่าจะถึงสนามประลอง การดวลก็คงเสร็จสิ้นแล้ว
“นายน้อย ผมมาช้าไปหรือเปล่า?”
ขณะที่จางเซวียนกำลังกระวนกระวาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง เมื่อหันกลับไป เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมองมาพร้อมกับยิ้มให้
จางเซวียนตาโตเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้น เขาอุทานอย่างร้อนใจ “แกมาได้เวลาพอดี! พาฉันไปที่สนามประลองเดี๋ยวนี้!”
อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไก่น้อยที่เพิ่งเสร็จสิ้นการขัดเกลาวรยุทธในมิติเบื้องบน
จางเซวียนเพิ่งกลับถึงสรวงสวรรค์ได้ราวครึ่งวัน แต่สำหรับมิติเบื้องบน เวลาที่นั่นผ่านไปกว่า 2 เดือนแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอให้ไก่น้อยขัดเกลาวรยุทธและเรียกความแข็งแกร่งสูงสุดกลับคืนมา
“ไปกันเถอะ!”
ไก่น้อยพยักหน้าและเคลื่อนตัวผ่านมิติไปอย่างลื่นไหลพร้อมกับดึงจางเซวียนไปด้วย ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็หายวับไป
“อันตรายเกินไปนะที่พวกเขาจะไปเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่าง 2 จอมราชันย์!”
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกำลังจะยับยั้งทั้งสองไว้ แต่ก็มาไม่ทัน จึงได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ส่วนหลัวฉีฉีก็หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกถ้าชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ไปกับเขาด้วย”
“เขาคือ…” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนหันกลับมามองหลัวฉีฉี แต่พูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็พลันนึกบางอย่างได้ เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ “คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่าย…คือจอมราชันย์อมตะหรอกนะ?”
ท่านอาจารย์ของเขาสู้กับจอมราชันย์เกือบหมดทั้ง 9 น่านฟ้าแล้ว นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจึงจดจำคนเหล่านั้นได้ ผู้ที่เขายังไม่เคยพบก็มีแค่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์อมตะเท่านั้น
หลัวฉีฉีพยักหน้า
“แต่ชายหนุ่มคนเมื่อครู่นี้เรียกจางเซวียนว่า…นายน้อย”
บรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงถึงกับอึ้งตะลึง