ครืน**!**
เมื่อเจดีย์โบราณบีบกดลงมา มิติโดยรอบก็ราวกับถูกปิดผนึก ร่างแร้งหงส์ทองคำขนาดใหญ่ถูกครอบเอาไว้
มู่เฉินโบกมือ เจดีย์ผลึกแก้วใสก็สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาในฝ่ามือ ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังใช้วิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อปราบปรามฟังจิ้งแบบเบ็ดเสร็จ
วาบ!
แต่เมื่อเขากำลังจะเคลื่อนไหว ดวงตาก็ต้องหดลง เขาสังเกตเห็นการสั่นสะเทือนรุนแรงจากเจดีย์ จากนั้นแสงสีแดงเข้มก็พุ่งพรวดออกมา
“หืม?!”
มู่เฉินอุทานด้วยความประหลาดใจขณะเงยหน้าขึ้น มิติห่างออกไปหลายหมื่นจั้งฉีกออกจากกัน ร่างแร้งหงส์ทองคำบินกระท่อนกระแท่นออกไป ซึ่งก็คือฟังจิ้งนั่นเอง
ทว่าปีกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายหักลงอย่างสิ้นเชิง เลือดไหลหยดลงเปื้อนทะเลสาบสีมรกตเป็นหย่อม
“ทักษะทำลายปีก?” มู่เฉินหรี่ตาหัวเราะ ฟังจิ้งเด็ดขาดใช้ได้ เลือกทำให้ตัวเองพิการเพื่อที่จะไม่ถูกปราบปราม
ฟังจิ้งเป็นแร้งหงส์ทองคำ เผ่ามหาเทพอสูรนี้มีความเร็วสูงยิ่ง ดังนั้นจึงสามารถฉีกมิติออกจากกันได้ หากจ่ายปีกเป็นค่าเสียหาย พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีจากผนึกส่วนใหญ่ได้
ทว่าราคานี้สูงมาก แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะสามารถสร้างอวัยวะใหม่ได้ แต่องคาพยบของมหาเทพอสูรเป็นความสามารถในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังมีแก่นโลหิตอยู่ในเลือดเนื้อของพวกเขา หากจุดชนวนก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหากฟังจิ้งต้องการฟื้นฟูปีกก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี
“อ้ากกก! มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยแกง่ายๆ แน่!” ฟังจิ้งหนีไปโดยไม่หันกลับมาขณะแผดเสียงด้วยรู้สึกปวดร้าวในใจ
ชัดว่าเขารู้ถึงราคาที่จ่ายออกไป
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเสียงคำรามนั่น เขาเพียงยิ้มและโบกมือเก็บเจดีย์ กระทั่งตอนที่ฟังจิ้งอยู่จุดสูงสุดเขายังสามารถปราบได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ยิ่งเสียปีกไปข้างหนึ่ง พลังลดลงมาก อีกฝ่ายก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้อีกต่อไป
พอเก็บเจดีย์เรียบร้อย มู่เฉินก็เงยหน้ามองเบื้องบนด้วยสายตาไม่แยแส เขารู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับตาดูและน่าจะเป็นคนที่เฝ้าดูจากภายนอกสระยกเทพ
ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจ เขากลับไปหาจิ่วโยว รอนางกลืนกินแก่นเลือดโลหิตให้เสร็จ
นอกสระยกเทพ
ขณะเดียวกันทุกคนก็ตกตะลึง ทั่วบริเวณอยู่ในความเงียบ
หลังจากนั้นนานพวกเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการตกใจ ทุกคนต่างเดาะลิ้น ความหวาดเกรงพล่านในสายตา
ใครสามารถจินตนาการว่าฟังจิ้งจะอ่อนแอขนาดนี้ต่อหน้ามู่เฉินและแพ้ง่ายดาย? สุดท้ายยังต้องหักปีกข้างหนึ่งเพื่อหนี
“มู่เฉินเหี้ยมจริงๆ”
“เขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเองนะ แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขาน่ากลัวเกินไปแล้วมั้ง?”
“เขาไม่ธรรมดา มิน่าล่ะถึงพลิกเผ่าฝูถูกลับหัวกลับหางได้ เจ้านั่นเป็นสัตว์ประหลาด!”
“ดูเหมือนว่าจะมีคนอย่างหวงเฉวียนจือเท่านั้นที่ปราบเขาได้”
“…”
เสียงสนทนาสะท้อนออกมา ทุกคนที่นี่เคยได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถู แต่ไม่มีใครเห็นด้วยตาตนเอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเพียงใด
บนภูเขาที่อยู่ใกล้กับสระยกเทพ หวงจิงมองไปที่กระจกพลางหรี่ตา “เจ้านั่นสมคำล่ำลือจริงๆ สมกับเป็นบุตรชายของชิงเหยี่ยนจิ้ง”
ผู้อาวุโสตระกูลหวงที่อยู่ข้างหลังหัวเราะเบาๆ “เจ้านั่นมีพลังก็จริง แต่ก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับประมุขน้อย”
แม้ว่าฟังจิ้งจะไม่อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะสู้กับหวงเฉวียนจือ ดังนั้นจึงไม่มีการคุกคามใดๆ ต่อหวงเฉวียนจือแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะฟังจิ้งได้
“แน่นอน”
หวงจิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พรสวรรค์ของหวงเฉวียนจือเป็นที่สุดในรอบนับหมื่นปี มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวนได้ แม้ว่ามู่เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ยังด้อยกว่าหวงเฉวียนจือ
เมื่อไรที่เขาต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ เขาจะรู้ช่องว่างนั้นเอง
ประมาณครึ่งก้านธูป
จิ่วโยวดูดซับแก่นโลหิตเรียบร้อยก่อนจะหยุดลง เมื่อนางดูดซับไอเส้นสุดท้าย ไข่สีดำที่ด้านหลังก็เข้มขึ้นพร้อมกับรัศมีโบราณซึมผ่านราวกับว่ากำลังหล่อเลี้ยงบางอย่าง
พอลืมตาขึ้นเปลวไฟสีม่วงในดวงตานางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ…
ฮา
เมื่อพรูลมหายใจขาวขุ่นออกจากปาก จิ่วโยวก็สัมผัสได้ถึงสายเลือดที่พลุ่งพล่านไหลเวียนผ่านเส้นเลือด ความสุขกระจายบนใบหน้า
เห็นได้ชัดว่าแก่นโลหิตชั้นยอดซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเป็นยาบำรุงชั้นดีสำหรับนาง
“น่าเสียดาย ไม่รู้ยังต้องการแก่นโลหิตชั้นยอดอีกมากแค่ไหนถึงจะพัฒนาสายเลือดได้” แต่จากนั้นจิ่วโยวก็ยิ้มขมขื่น เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าตนเองยังต้องการพลังงานสายเลือดจำนวนมหาศาล
“ค่อยเป็นค่อยไป ยังมีแก่นโลหิตอีกมากมาย พวกมันจะตอบสนองเจ้าได้แน่” มู่เฉินเผยรอยยิ้มปลอบใจ
จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย ทันใดนั้นก็นึกอะไรได้รีบมองไปรอบๆ แต่เมื่อนางไม่เห็นฟังจิ้งก็ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้านั่นล่ะ?”
“มันหักปีกหนีไปแล้ว” มู่เฉินยิ้ม
พอได้ยินคำพูดของเขา จิ่วโยวก็อดตาโตไม่ได้ ฟังจิ้งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่เผ่าเทพอสูร ไม่คิดว่าในขณะที่นางกำลังชำระแก่นโลหิต มู่เฉินก็ซัดอีกฝ่ายหนีไปโดยต้องจ่ายราคาเป็นปีกหักๆ
‘ตอนนี้เขาทรงพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ?’
“เจ้าสัตว์ประหลาด! ดูเหมือนข้าจะจับเงาของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำถ้ายังไม่รีบพัฒนาให้เร็วอีก” จิ่วโยวถอนหายใจ เมื่อก่อนนางเป็นกองหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ส่วนเขาก็เห็นนางเป็นที่พึ่งที่ทรงพลังที่สุด แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มอ่อนแอคนนั้นเติบโตขึ้นมากจนแม้แต่นางก็ก้าวตามไม่ทันแล้ว
เรื่องนี้กระทบต่อกำลังใจมากสำหรับคนชอบเอาชนะอย่างนาง
“ข้าเติบโตภายใต้ปีกของเจ้านะ ดังนั้นเจ้าควรจะภาคภูมิใจ” มู่เฉินเอ่ยล้อเลียน
จิ่วโยวกลอกตาพลางลุกขึ้นยืน รูปร่างเพรียวบางดูน่าดึงดูดอย่างยิ่ง ดวงตาหงส์กวาดไปรอบๆ ถามด้วยความคาดหวังว่า “เราจะไปที่ไหนต่อดี?”
“ก่อนหน้านี้ข้าแผ่คลื่นจิตออกไป แต่ไม่มีความผันผวนของแก่นโลหิตอยู่รอบๆ เลย” มู่เฉินส่ายหัวก่อนจะถามต่อ “แก่นโลหิตจะเกิดบริเวณไหนมากที่สุด?”
หลังจากลังเลชั่วครู่จิ่วโยวก็ชี้ไปที่ส่วนลึกของเวิ้งน้ำไร้ก้น “ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสระยกเทพก็ยิ่งมีแก่นโลหิตมากขึ้น แต่ว่าเหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูรก็จะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นจะมีการต่อสู้เข้มข้นรอเราอยู่อย่างแน่นอน”
โดยทั่วไปแล้วเผ่าเทพอสูรแบบพวกนางจะเลือกพื้นที่รอบๆ สระยกเทพ เนื่องจากพื้นที่ส่วนลึกมักถูกเผ่ามหาเทพอสูรเข้าครองแล้ว
“ถ้างั้นจะรออะไรอีกล่ะ?”
มู่เฉินยิ้มร่าไม่มีความกลัวในสายตาก่อนที่จะพูดต่อ “เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการต่อสู้อยู่แล้ว ถ้าเอาแต่หลบจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?”
จิ่วโยวอึ้งไปกับคำพูดเขาชั่วขณะ ก่อนที่นางจะพยักหน้า ในที่สุดนางก็รู้ว่าทำไมความแข็งแกร่งของมู่เฉินจึงพุ่งทะยานแบบฉุดไม่อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะความกล้าหาญไร้ขอบเขตที่ผลักดันเขาออกไปแม้จะเผชิญกับความยากลำบากแสนสาหัสก็ตาม
ตรงข้ามกับตัวนางที่ลังเลมาตลอดนับตั้งแต่พัฒนาเป็นเทพอสูร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พัฒนาการของนางช้าไปมาก
“งั้นเราก็ไปแย่งกันเถอะ!”
ทันใดนั้นห่วงในใจก็แตกสลาย จิ่วโยวกำหมัดแน่น รอยยิ้มกลับเต็มด้วยความห้าวหาญอีกครั้ง
ครั้นรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของจิ่วโยว มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ขณะพยักหน้า ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นลำแสงทะยานไปยังส่วนลึกของสระยกเทพ
จิ่วโยวก็ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด
ไม่ผิดจากที่จิ่วโยวพูดไว้
ความถี่ของแก่นโลหิตชั้นยอดเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปลึกขึ้น ขณะที่พุ่งลงมาพวกเขาก็พบกับแก่นโลหิตอย่างน้อยสิบชิ้น
แก่นโลหิตทุกชิ้นที่พบล้วนกลายเป็นอาหารของจิ่วโยว หลังจากที่พวกมันพ่ายแพ้ก็ถูกดูดซับโดยนางทันที
นอกจากนี้รอยแตกก็เริ่มปรากฏบนเปลือกไข่สีดำที่ด้านหลังนาง…
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจิ่วโยวก็ตื่นเต้นมากขณะมองไปที่แก่นโลหิตด้วยความกระหายในดวงตา
แต่ก็เหมือนที่จิ่วโยวพูดไปก่อนหน้า ในส่วนลึกจะเป็นพื้นที่ของเหล่าอัจฉริยะจากเผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นพวกเขาจึงได้พบกับอัจฉริยะคนหนึ่งจากเผ่ามหาเทพอสูร
คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะจากเผ่ากระเรียนเทพซึ่งมีพลังไม่ได้อ่อนแอไปกว่าฟังจิ้ง มิหนำซ้ำยังมีชื่อเสียงในหมู่เทพอสูรอีกด้วย
เมื่อจิ่วโยวพบคนผู้นี้ นางก็กังวลและระวังตัวแจ
แต่ที่น่าตกใจคืออัจฉริยะเผ่ากระเรียนเทพเพียงแค่มองมู่เฉินก็เกิดความลังเลชั่วครู่ก่อนที่เขาจะล่าถอย
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ถึงผลลัพธ์ของฟังจิ้งแล้ว” เมื่อมองไปที่อัจฉริยะเผ่ากระเรียนเทพที่ถอยไป มู่เฉินก็ยิ้ม
การมีฟังจิ้งเป็นตัวอย่าง ทำให้เหล่าอัจฉริยะเผ่ามหาเทพอสูรไม่โง่พอที่จะยั่วยุมู่เฉิน
จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจมากขึ้นกับภาพนี้ก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสระยกเทพ ภายใต้การนำของมู่เฉินในการค้นหาร่องรอยของแก่นโลหิตชั้นยอด
ในเวลาหนึ่งก้านธูป พวกเขาเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์โดยได้รับแก่นโลหิตถึงเกือบยี่สิบชิ้น โดยจิ่วโยวดูดซับไปทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็มีรอยแตกมากขึ้นที่ไข่ด้านหลังนาง…
“โน้นอีกชิ้น!”
หลังจากดูดซับเรียบร้อยจิ่วโยวก็มองไปยังทิศทางที่มีแก่นโลหิตอย่างตื่นเต้น
มู่เฉินก็เหลือบไปเห็นเช่นกัน แต่ไม่ได้เข้าใกล้ ตรงกันข้ามเขาดึงจิ่วโยวกลับมาพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา “ในเมื่อมาแล้วยังจะซ่อนตัวไปทำไม?”
“ฮิๆ ท่านประมุขมู่ประสาทสัมผัสดีเยี่ยม”
เมื่อมู่เฉินเรียกขาน มิติโดยรอบก็แปรปรวน เงาร่างสามร่างก็ก้าวออกมา
เมื่อจิ่วโยวเห็นคนทั้งสามดวงตานางก็เบิกกว้าง เสียงสะท้อนออกมาด้วยความตกใจ
“เผ่านกยูงเก้าสี—ข่งหลิงเอ๋อ?
“เผ่าแร้งทองคำเก้าหัว—หลินชาง?
“เผ่ากระเรียนมังกรฟ้า—เซียวเทียน?
ตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลแม้ว่านางจะมั่นใจในตัวมู่เฉิน เนื่องจากชื่อเสียงของทั้งสามอยู่รองจากแค่หวงเฉวียนจือ ‘ทั้งสามคิดจะร่วมมือกันจัดการมู่เฉินเรอะ?’