ตอนที่ 1009 กิ้งก่าผี

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“ศิษย์น้องหลิ่วไม่พักสักหน่อยหรือ?” บุรุษแซ่หมิ่นเหลือบมองหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ข้ายังไม่เหนื่อยนัก ยังทนไหวอยู่” หลิ่วหมิงยิ้มนิดๆ

พลังจิตของเขาแข็งแกร่งเหนือกว่าระดับเดียวกัน แล้วยังมีหนอนพลังจิตคอยช่วยเหลืออีก ดังนั้นย่อมไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

ตอนนี้หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งออกมาแล้วส่งจิตสัมผัสแทรกเข้าไป

นี่คือแผนที่ซึ่งเขาซื้อมาจากร้านแห่งหนึ่งในเมืองจินกวังด้วยราคาสูง ในนี้มีข้อมูลที่กลุ่มอำนาจนิกายอื่นรวบรวมอยู่ไม่น้อย ละเอียดกว่าแผนที่ซึ่งนิกายแจกจ่ายให้มากนัก

ตามที่สามหน่วยย่อยแบ่งงานกันก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องค้นหาพื้นที่หนึ่งในสาม หน่วยย่อยที่เหลืออีกสองหน่วยก็น่าจะเป็นเช่นนี้ด้วย แต่จนถึงตอนนี้หน่วยย่อยทั้งสามก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังใคร่ครวญนั่นเอง เสียงร้อนรนของเซียเอ๋อร์ก็ดังออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว

“นายท่าน ใต้พื้นตรงนั้นมีผีตัวหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา”

“ระวังใต้ดิน!”

หลิ่วหมิงผวา จากนั้นสายตาก็จับบนพื้นตรงเนินเขาห่างไปไม่กี่จั้งในพริบตาแล้วตะโกนเสียงดัง

เพิ่งเอ่ยจบ เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้น

พื้นดินบริเวณสิบกว่าจั้งด้านหน้าฉับพลันยุบถล่มกลายเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งพุ่งออกมาดุจสายฟ้าแลบ มันคือกิ้งก่าสีเทาขนาดมหึมาตัวหนึ่ง

อสูรแห่งความมืดตัวนี้มีหัวขนาดเท่าโม่ มันอ้าปากใหญ่โตสีแดงสดจะขย้ำบุรุษผู้สะพายคันธนูสีแดงที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่

ทั้งสี่คนที่นั่งทำสมาธิอยู่ตื่นจากสมาธิอย่างรวดเร็วตั้งแต่ที่หลิ่วหมิงร้องเตือน

บุรุษผู้สะพายคันศรสีแดงมองปากใหญ่โตสีแดงสดที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้าไปในทันใด

แต่เขาก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนคนหนึ่ง มือหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา แสงสีแดงสว่างจ้าบนร่างก่อตัวกลายเป็นเกราะแสงบางชั้นหนึ่งอย่างฉุกละหุก

เพล้ง!

ปากกว้างของกิ้งก่าสีเทาหุบลง เกราะแสงปริร้าวจนแทบจะพังทลายในทันที

ทว่าครู่เดียวที่ชักช้านี้ตัดสินชะตาของกิ้งก่ายักษ์สีเทา

“ฉึบ” แสงกระบี่สีเทาเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากที่สูงแล้วกลายเป็นลำแสงสีเทาหนาเส้นหนึ่งทะลวงผ่านกระหม่อมของกิ้งก่ายักษ์ลงมา กิ้งก่ายักษ์สีเทาตกตะลึง มันเบี่ยงลำคอหลบอย่างหวุดหวิด

เวลานี้เองเสียงพยัคฆ์คำรามก็ดังขึ้น เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำสนิทข้างหนึ่งจู่โจมมาจากด้านข้างพร้อมเสียงดังสนั่น

เสียงกระดูกแตกหักที่ชวนให้คนรู้สึกปวดฟันดังขึ้นมา!

ร่างกายมหึมาของกิ้งก่ายักษ์ถูกโจมตีปลิวออกไปทั้งอย่างนั้น ในเวลาเดียวกันแสงกระบี่สีเทาก็ตวัดครั้งหนึ่งปาดผ่านลำคอของมันไป ศีรษะกับร่างกายแยกจากหนึ่งเป็นสองทันทีแล้วร่วงตกลงมาอย่างแรงห่างกันหลายจั้ง

ส่วนหัวของกิ้งก่าสีเทาบิดเบี้ยวและแตกร้าว ขาทั้งสี่ข้างบนลำตัวกระตุกอยู่ครั้งสองครั้งก็แน่นิ่งไป

บุรุษแซ่หมิ่นโบกมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีเทาเส้นหนึ่งก็บินกลับมาแล้วผสานเข้าไปในร่างเขาดัง  “ฟึบ”

อีกด้านหนึ่งปราณดำที่วนล้อมบนร่างหลิ่วหมิงสลายหายไปอย่างช้าๆ เก็บกำปั้นที่โจมตีกลับมาบ้าง

ตอนนี้พวกบุรุษผู้สะพายคันศรแดงทั้งสี่คนเพิ่งเหาะกลับมาบนท้องฟ้าได้อย่างหวุดหวิด พวกเขามองกิ้งก่ายักษ์ที่ตายอยู่เบื้องล่างอย่างหวาดผวา

“กิ้งก่าผี!” ผู้เฒ่าหลังค่อมเอ่ยเสียงอู้อี้จากการพูดด้วยท้อง เสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวาที่ยังไม่จางหาย

ก็ไม่แปลก ในหมู่ภูตผีและอสูรแห่งความมืดมากมายในทางปีศาจร้าย กิ้งก่าผีได้ชื่อว่าเป็นมือสังหารผู้เชี่ยวชาญการดักซุ่ม

เพราะอสูรแห่งความมืดชนิดนี้ระดับพลังไม่ต่ำต้อย อีกทั้งยังถนัดการซุ่มซ่อนตัวลอบจู่โจม ขอเพียงมันซ่อนอยู่ใต้ดิน ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ไม่อาจใช้จิตสัมผัสหาพบ ดังนั้นสี่กลุ่มอำนาจใหญ่จึงมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกและระดับแก่นแท้ไม่น้อยที่ตายในปากของกิ้งก่าผีชนิดนี้

“ขอบคุณพี่หมิ่นกับสหายหลิ่วยิ่งนักที่ช่วยชีวิตไว้” บุรุษผู้สะพายคันศรแดงคำนับหลิ่วหมิงกับบุรุษแซ่หมิ่นครั้งหนึ่ง

พวกหญิงสาวชุดแดงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็มองมาทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าซาบซึ้งอยู่บ้างเช่นกัน

“ศิษย์น้องไยต้องเกรงใจเช่นนี้ นี่เป็นหน้าที่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วมาก” บุรุษแซ่หมิ่นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่สายตากวาดมองบนร่างกิ้งก่าผีอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วจึงมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง

หลิ่วหมิงกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาโบกมือส่งปราณสีดำสายหนึ่งออกมาร่วงลงบนส่วนหัวที่แตกร้าวของกิ้งก่าผี หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงม้วนลูกกลมสีดำขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งลอยกลับไป

“ผลึกความมืดของภูตผี” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สิ่งนี้มาจากภูตผีด้วยมือตนเอง คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ล้วนผิดคาดยิ่งนัก

หลิ่วหมิงขยับนิ้วเล่นอยู่สองสามครั้งก็ส่งผลึกความมืดของกิ้งก่าชิ้นนี้ให้แก่บุรุษแซ่หมิ่น

ตามข้อตกลงของหน่วยย่อย สิ่งที่ได้มาระหว่างทำภารกิจด้านนอกล้วนต้องให้หัวหน้าเก็บรวบรวมไว้ หลังกลับไปจึงจะแบ่งอย่างเท่าเทียม

“ศิษย์น้องหลิ่ว กิ้งก่าผีตัวนี้ซ่อนอยู่ใต้ดิน เจ้าสัมผัสถึงมันได้อย่างไร?” บุรุษแซ่หมิ่นรับผลึกความมืดไปแล้วเอ่ยถาม

ดวงตาของพวกบุรุษคันศรแดงก็ฉายแววประหลาดใจจางๆ เช่นกัน เมื่อครู่หากไม่ใช่หลิ่วหมิงเอ่ยเตือนขึ้นมาก่อน บุรุษผู้สะพายคันศรแดงก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะโชคร้ายตกอยู่ในปากกิ้งก่าผีไปแล้ว

“ไม่ใช่ข้าค้นพบหรอก อสูรเลี้ยงสายวิญญาณตัวหนึ่งที่ข้าเลี้ยงไว้ต่างหาก มันสัมผัสปราณหยินได้ค่อนข้างไว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วไม่ได้กล่าวคำลวงปิดบัง

สายตาของพวกบุรุษแซ่หมิ่นจับจ้องบนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง นับว่ายามนี้เข้าใจขึ้นมาบ้าง

หลังจากผ่านเรื่องราวเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่มีอารมณ์จะพักผ่อนต่อ พวกเขาลุกขึ้นแล้วเริ่มค้นหาด้านหน้าต่ออย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ครึ่งวันหลังจากนั้น คณะหกคนของหลิ่วหมิงก็หยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือบึงสีเทาแห่งหนึ่ง

พวกเขาค้นหาบริเวณรอบด้านจนหมดแล้ว แต่ไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น

เวลานี้เบื้องหน้าบุรุษแซ่หมิ่นมีแผ่นค่ายกลสีขาวที่ทอแสงสีขาวเรืองๆ แผ่นหนึ่งลอยอยู่

ทันใดนั้นแสงของแผ่นค่ายกลก็สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ด้านบนมีตัวอักษรขนาดเล็กหลายแถวลอยออกมา

“หน่วยย่อยอีกสองหน่วยที่เหลือค้นหาเขตที่รับผิดชอบจนหมดแล้ว ไม่พบบาตรแห่งการสร้างเลย” บุรุษแซ่หมิ่นเก็บแผ่นค่ายกลแล้วส่ายหน้าเอ่ยบอก

“ดูท่าบาตรแห่งการสร้างใบนี้คงไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว” ผู้เฒ่าหลังค่อมเอ่ยด้วยท้อง

จะสรุปเช่นนี้ หลิ่วหมิงกลับไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง

เดิมทีการค้นหาบาตรแห่งการสร้างใบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจึงต้องส่งหน่วยย่อยสามหน่วยออกมาร่วมกันค้นหา อีกทั้งขอบเขตการค้นหาที่กำหนดกรอบไว้แต่เดิมก็เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น ตอนนี้จะหาไม่พบก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ

“ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าบาตรแห่งการสร้างใบนี้ไม่ได้อยู่รอบป้อมปราการ เช่นนั้นพวกเราก็ขยายขอบเขตการค้นหาสักหน่อยดีหรือไม่?” คุณชายเยาว์วัยสะบัดพัดในมือเบาๆ ให้กางออกดังฟึบแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกพัดสองสามครั้ง

“หรือเราจะไปแลกเปลี่ยนกับภูตเจ็ดทวารสักครั้ง ดูซิว่าจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาหรือไม่” ตอนนี้เองหญิงสาวชุดแดงก็พลันเอ่ยปากเสนอขึ้นมา

“ความคิดนี้ไม่เลว!” บุรุษร่างใหญ่ตอบเป็นคนแรก

“แต่ภูตเจ็ดทวารเหล่านี้เจ้าเล่ห์นัก พวกเราปรึกษากันก่อนสักหน่อยดีกว่าว่าครั้งนี้จะแลกเปลี่ยนกับพวกมันอย่างไร ไม่ให้ถึงเวลาเสียฮูหยินแล้วยังต้องเสียแม่ทัพ” แม้ผู้เฒ่าหลังค่อมจะไม่ได้คัดค้านแต่ก็ยังแค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นมา

“แน่นอน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการขายข้อมูลให้ทั้งสองฝั่ง แต่หากทำเช่นนี้ พวกเราอาจตามหาบาตรแห่งการสร้างพบก่อนหน้าหน่วยย่อยสองหน่วยที่เหลือก็เป็นได้” บุรุษแซ่หมิ่นพยักหน้าเอ่ยตอบ

คนที่เหลือได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง หลังจากนั้นพวกเขาจึงหารือกันโดยมีบุรุษแซ่หมิ่นเป็นผู้นำ

“รองหัวหน้าหลิ่วอาจยังไม่รู้ ภารกิจค้นหาที่หน่วยย่อยหลายหน่วยทำร่วมกันเช่นนี้ นิกายมักจะมอบรางวัลจำนวนมากให้หน่วยแรกที่ค้นพบเป้าหมายเพื่อเร่งให้การค้นหาเร็วขึ้น หน่วยที่เหลือย่อมกลับไปมือเปล่า เสียเวลาและเรี่ยวแรงอย่างเปล่าประโยชน์” คุณชายเยาว์วัยเห็นหลิ่วหมิงทำหน้าสงสัยจึงขยับเข้าไปอธิบายเสียงเบาข้างหูเขา

“ภูตเจ็ดทวารน่าจะเป็นภูตผีชนิดหนึ่งในทางปีศาจร้ายแห่งนี้สินะ แลกเปลี่ยนกับพวกเขาบ่อยหรือ?” ตอนนี้หลิ่วหมิงจึงเข้าใจเพิ่มขึ้นมาบ้าง เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ส่งกระแสจิตเอ่ยถาม

“ภูตผีที่ถือกำเนิดในทางปีศาจร้ายมีมากมายนัก แต่ความสามารถและระดับพลังแย่กว่าภูตผีทั้งหลายในกองทัพผีร้ายอยู่มาก ภูตผีชั้นต่ำเหล่านี้มักกลายเป็นตัวเบี้ยในการสู้รบระหว่างผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กับผีร้าย สูญเสียสาหัสแต่ได้ผลประโยชน์น้อยนิด นานวันเข้าภูตผีพื้นถิ่นจำนวนหนึ่งจึงไม่ยินดีถูกใช้ในการรบระหว่างผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กับกองทัพผีร้ายโดยไร้สิ่งตอบแทนอีก ตรงกันข้ามพวกเขายินดีแลกเปลี่ยนเป็นครั้งคราวกับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เพื่อผลประโยชน์ ปกติแล้วเลือดของอสูรจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหรืออาวุธเวทระดับล่างของสายวิญญาณล้วนเอาไปแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้ บางครั้งยังแลกผลึกความมืดรวมถึงวัตถุดิบล้ำค่าอย่างอื่นบางชนิดได้อีกด้วย” คุณชายเยาว์วัยอธิบายให้หลิ่วหมิงฟังอย่างอดทน

“ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นภูตผีชั้นต่ำ อีกทั้งพลังไม่แข็งแกร่ง บาตรแห่งการสร้างที่ขนาดพวกเรามีอาวุธเวทค้นหาก็ยังไม่อาจหาพบชิ้นนี้ ภูตเจ็ดทวารนี่จะมีพลังอันใดค้นพบตำแหน่งของมันได้” หลิ่วหมิงลูบคางแล้วยังสงสัยอยู่เล็กน้อย

“แม้ภูตเจ็ดทวารนี้จะพลังต่ำเตี้ย แต่พวกเขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ยิ่งนัก อีกทั้งพลังหูและสายตาที่มีมาแต่กำเนิดก็ใช้การได้ดีกว่าจิตสัมผัสของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เช่นพวกเรามาก ดังนั้นพวกเขาจึงมักถูกกองทัพผีร้ายใช้เป็นหน่วยสอดแนม” คุณชายเยาว์วัยเอ่ยอย่างค่อนข้างมั่นใจ

“ดีล่ะ ในเมื่อทุกคนล้วนไม่มีปัญหา ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางเถิด ครั้งนี้จะต้องชิงหาบาตรแห่งการสร้างใบนี้พบก่อนหน่วยย่อยอีกสองหน่วยให้ได้!” ระหว่างที่หลิ่วหมิงกับคุณชายเยาว์วัยคุยกัน บุรุษแซ่หมิ่นก็หารือกับคนที่เหลือเสร็จแล้ว พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกะทันหันระหว่างแลกเปลี่ยนกับภูตเจ็ดทวารไว้จนหมด

“ข้ารู้ที่ตั้งเผ่าของภูตเจ็ดทวารที่อยู่ใกล้ที่สุดพอดี ตามข้ามาเถิด” หญิงสาวชุดแดงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีแดงเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป

“ฮ่าๆ ซานเหนียงรีบร้อนเช่นนี้ คงไม่ได้คิดจะแย่งความชอบกับข้าหรอกนะ” บุรุษร่างใหญ่ผู้สะพายคันศรสีแดงหัวเราะฮ่าๆ แล้วกลายเป็นลำแสงไล่ตามไปติดๆ

“ดูท่าทุกคนต่างกระตือรือร้น ดียิ่งนัก พวกเราก็ไปกันเถิด” บุรุษแซ่หมิ่นหัวเราะลั่นอย่างร่าเริง ขณะที่แสงสีเทาล้อมทั้งร่างลอยขึ้นฟ้าไป

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมไม่กล้าชักช้า เขากลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งติดตามไปด้วย

ชั่วขณะหนึ่งลำแสงต่างสีสันหลากหลายเส้นดูราวกับแสงอรุณหลากสีลอยขึ้นจากพื้นราบแล้วเหาะรวดเร็วไปทางตะวันออกพร้อมกับเสียงพุ่งผ่านอากาศอย่างเร็วไว

เมื่อตัดข้ามเขตเนินเขาหลายหมื่นลี้ไปก็เป็นเทือกเขาสีเทาสูงต่ำไม่เท่ากันผืนหนึ่ง

ยามทอดสายตามองไปบนภูเขาไม่มีหญ้าขึ้นสักต้น ดูแล้วโล่งเตียนไปหมด เมฆดำสีเทาเข้มก้อนแล้วก้อนเล่าปกคลุมท้องฟ้าเป็นชั้นๆ ทำให้ท้องนภาที่เดิมทีมืดครึ้มแลดูยิ่งอึมครึมขึ้นกว่าเดิม

ด้านหลังเทือกเขาคือทะเลสาบรูปวงกลมขนาดสิบกว่าหมู่แห่งหนึ่ง น้ำในทะเลสาบสีฟ้าเข้ม แผ่ปราณเย็นเยียบจางๆ ออกมาด้านนอกไม่ขาด

รอบทะเลสาบมีเนินดินกองอยู่ลูกแล้วลูกเล่า ลูกที่ใหญ่ขนาดไม่เกินหนึ่งจั้งกว่า ลูกที่เล็กที่สุดขนาดเพียงครึ่งฉื่อ มีมากถึงหลายร้อยลูก บนผิวของเนินดินเหล่านี้ล้วนมีโพรงสีดำรูใหญ่กับรูเล็กแยกกันอยู่ด้านบนกับด้านล่าง ฝั่งที่มีโพรงล้วนหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ล้อมทะเลสาบทั้งหมดไว้แน่นขนัด

หากเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่ตระเวนอยู่ในทางปีศาจร้ายบ่อยครั้ง เมื่อเห็นภาพนี้ย่อมมองออกได้ทันทีว่าที่แห่งนี้ก็คือรังของภูตเจ็ดทวารซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ภูตผีพื้นถิ่นนั่นเอง