ท้องฟ้าคำราม!
ท้องฟ้าที่กลายเป็นอักขระกำลังส่งเสียงคำราม อักขระนั้นเหมือนจะบดขยี้ทุกสิ่ง ทุกที่มี่มันผ่านไปจะทำให้ท้องฟ้าร่วงหล่น ความว่างเปล่าพังทลายและส่งเสียงปริแตก
เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าโลกทั้งใบดูเหมือนจะหดเล็กลงจนจินตนาการได้ว่าหากอักขระบนท้องฟ้ายังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องและฟ้าดินสัมผัสกันเมื่อไหร่ก็จะบดขยี้ทุกสิ่งข้างในจนหมดสิ้น และรวมถึง…ตะขาบสีเลือดด้วย
ภาพนี้เผยความครอบงำไม่รู้จบราวกับไม่ว่าเจตจำนงใดก็ไม่อาจขวางกั้น ไม่อาจหลบเลี่ยง ไม่อาจต่อกร!
โลกแห่งเต๋าธาตุไฟก็เป็นเช่นนี้แล
อักขระท้องฟ้าลดต่ำลง ทะเลเพลิงลุกโชน โลกทั้งใบดูเหมือนแทรกซึมไปด้วยปณิธานแห่งไฟ แต่ในความร้อนอันแผดเผานี้ก็มีกระแสเซียนอยู่ด้วย
ทะเลเพลิงบ้าคลั่ง กระแสเซียนไร้พันธนาการสุขสงบ
พลังปราณที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองนี้ปะปนกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้โลกแห่งเต๋าธาตุไฟเกิดความบิดเบี้ยว และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก่อเกิดเป็นพลังสยบสองเท่าสำหรับตะขาบสีเลือด
ส่วนหนึ่งมาจากการสยบท้องฟ้า อีกส่วนหนึ่งมาจากการขัดแย้งกันของทะเลเพลิงและกระแสเซียน
อย่างแรกมีผลกับกายเนื้อ อย่างหลังมีผลกับจิตวิญญาณ
อีกทั้งยังต่างจากโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำ ที่นี่แม้ตะขาบสีเลือดจะแปลงเป็นทุกสรรพสิ่งก็ไม่สามารถอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและบิดเบี้ยวได้
“บัดซบ บัดซบ บัดซบเอ๊ย!!” ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ตะขาบสีเลือดแผดเสียงกรีดร้อง ร่างกายกะพริบวาบแปลงจากตะขาบเป็นยักษ์ทันที ยักษ์ตัวนี้มีสีแดงทั้งตัว สีหน้าบิดเบี้ยว มันยกสองมือขึ้นพร้อมเสียงคำรามกระแทกอักขระท้องฟ้าที่กำลังตกลงมาอย่างแรง สองเท้าก็เหยียบลงไปในทะเลเพลิงราวกับยืนอยู่ตรงจุดต่ำสุดของโลกใบนี้ เมื่อมันลงมาทะเลเพลิงก็ส่งเสียงคำราม แผ่นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้าที่กำลังตกลงมาก็หยุดชะงัก
อย่างไรก็ตามร่างของยักษ์สีเลือดตนนี้ก็ส่งเสียงคำรามออกมาเช่นกันราวกับค้ำยันการบดขยี้ของท้องฟ้าไว้ มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา แต่สุดท้ายเขาก็ยันท้องฟ้าไว้ได้ เลือดพุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เรี่ยวแรงดูเหมือนจะยิ่งมากขึ้นด้วยเจตนาจะสะท้อนแรงบดขยี้จากท้องฟ้ากลับไป
ขณะที่ท้องฟ้าคำรามอักขระก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ใบหน้าของหวังเป่าเล่อบนนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น หลังจากมองยักษ์ตนนี้อย่างเย็นชาแล้วก็เอ่ยเสียงเบา
“จมูก เปิด!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น ใบหน้าหวังเป่าเล่อบนอักขระก็ขยับจมูกเล็กน้อยและสูดหายใจเข้าแรงๆ ทันใดนั้นฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ลมแรงพลันปรากฏขึ้นกวาดไปทั่วทุกสารทิศ เพียงอึดใจเดียวก็กลายเป็นพายุ เมื่อลมพัดแรงและไฟโหมกระหน่ำ ทะเลเพลิงก็มาถึงจุดสูงสุด มันลอยขึ้นจากพื้นดินและปกคลุมโลกทั้งใบอย่างสมบูรณ์
ขณะเดียวกันผนึกก็คลายออก พลังแห่งอักขระบนท้องฟ้าพลันปะทุขึ้น มันส่องแสงเจิดจ้าและพลังจมดิ่งก็เพิ่มขึ้น
แม้ยักษ์สีเลือดจะกรีดร้องและต่อต้านด้วยกำลังทั้งหมด แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจท้องฟ้าที่ร้องคำรามก็กดลงมาจนร่างของยักษ์ไม่อาจต้านทานพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้และค่อยๆ ก้มตัวลง
ทะเลเพลิงรอบๆ ก็โหมกระหน่ำมากขึ้น คลื่นความร้อนแผ่ขยายเข้มข้นขึ้นไปอีกราวกับจะเปลี่ยนที่นี่เป็นหม้อล้อมโอสถและหลอมละลายทุกสิ่ง
กระทั่งเสียงปริแตกดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างของยักษ์ตนนี้ก็เกิดรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ และกระจายไปทั่วทั้งตัวในที่สุด สุดท้ายท่ามกลางเสียงกรีดร้องร่างของเขาก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
และเมื่อมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอักขระท้องฟ้าก็ตกลงมือด้วยพลังอันน่าทึ่ง บดขยี้ความว่างเปล่า บดขยี้ทุกสรรพสิ่งและสัมผัสกับทะเลเพลิงบนพื้นดินในที่สุด
แต่ทุกอย่างยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น
ในพริบตาที่ฟ้าดินบรรจบกัน จู่ๆ ก็มีก้อนนูนโป่งพองขึ้นระหว่างฟ้าดิน มองจะระยะไกลฟ้าดินดูเหมือนแป้งสองแผ่นที่ถึงแม้จะผสานเข้าด้วยกัน แต่ข้างในกลับมีถุงขนาดใหญ่ที่ไม่อาจบดขยี้หนือหลอมละลายได้ และที่น่าตกใจคือมันกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!
หากมองทะลุฟ้าดินเข้าไปก็จะเห็นว่าส่วนที่นูนขึ้นมานั้นก็คือกระแสน้ำวนสีเลือด และภายในกระแสน้ำวนนั่นก็คือเคล็ดวิชาลับที่เด็กหนุ่มชุดแดงใช้มาหลายครั้งแล้ว ดวงตามหาเทพ
เพียงแต่เมื่อเทียบกับสองครั้งก่อน ดวงตาในกระแสน้ำวนครั้งนี้ดูเลือนรางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงจะเลือนราง พลังอันน่าสะพรึงกลัวของมันก็ยังคงทำให้โลกแห่งเต๋าธาตุไฟทนรับไม่ไหวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ท้องฟ้าและพื้นดินเกิดรอยร้าวราวกับปดคลุมต่อไปไม่ไหวแล้ว
“แค่ร่างแยกร่างเดียว แต่สายตาจากจักรวาลอันไกลโพ้น…มีพลังเช่นนี้เลยหรือ” ในตอนนี้ฟ้าดินกำลังจะพังทลายนั้นเอง เสียงหวังเป่าเล่อก็ดังก้องพร้อมถอนหายใจเบาๆ ร่างมายาของเขาปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า และก้มหน้าลงมองส่วนนูนพองในฟ้าดินที่ผสานตัวกันที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะแตกออก
แทบจะในเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ฟ้าดินของโลกแห่งเต๋าธาตุไฟก็พังทลายจากส่วนนูนพองนั่นแตกออกกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน กระแสน้ำวนสีเลือดปรากฏกาย มันขยายตัวอีกครั้งด้วยความเร็วที่น่าตกใจเหมือนกับจะปกคลุมหวังเป่าเล่อ
รัศมีสีเลือดเจิดจ้าแผ่ขยายไปในความว่างเปล่าจนสะท้อนไปถึงจักรวาลโลกศิลา ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งตื่นตะลึง
พวกปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ที่กำลังติดตามการต่อสู้ครั้งนี้ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย แม้แต่สายตาจากนอกโลกศิลาก็ยังเพ่งสมาธิขึ้นไม่น้อย
อันที่จริงกระแสน้ำวนสีเลือดนี้ขยายตัวเร็วเกินไป เมื่อเทียบกับมันแล้ว หวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างๆ ดูเป็นเพียงเศษธุลี แต่ในตอนที่ทุกสายตากำลังจับจ้องมาทางนี้มากขึ้นนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า สายตาที่สงบนิ่งแต่เดิมก็ฉายแววโหดเหี้ยมฉับพลัน
“เช่นนั้นแล้วสายตาจากร่างจริงมหาเทพจะอยู่ได้นานแค่ไหนกันนะ” พูดจบหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางกระแสน้ำวนสีเลือดที่ยังคงปะทุไม่หยุด!
“ดิน…แห่งธาตุทั้งห้า!”
เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นและมือขวาคว้าไป ทันใดนั้นเศษชิ้นส่วนฟ้าดินจากโลกแห่งเต๋าธาตุไฟก็พลิกม้วนกลับราวกับเวลาไหลย้อนกลับ มันแตกออกมาอย่างไรก็กลับไปรวมตัวกันใหม่อย่างนั้น
เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่ได้กลับไปรวมตัวเป็นห้าดินของโลกแห่งเต๋าธาตุไฟ แต่…มันกลับไปปะติดปะต่อกันพร้อมเสียงหวีดหวิวราวกับจะก่อตัวเป็นศิลาที่ห่อหุ้มกระแสน้ำวนนี้ไว้!
แม้กระแสน้ำวนจะขยายตัวเร็วมาก แต่ศิลาที่ถูกประกอบเข้าด้วยกันเร็วกว่า!
มองจากที่ไกลๆ เศษชิ้นส่วนเหล่านี้ก็ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างที่กำลังปะติดปะต่อกันอย่างรวดเร็ว…จากหนึ่งส่วนเป็นสามส่วน เป็นห้าส่วน เจ็ดส่วน เก้าส่วน…
และ…สิบส่วน!
ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็หายไป ศิลาก้อนยักษ์เข้ามาแทนที่ในความว่างเปล่า!
โลกแห่งเต๋าธาตุดินก่อตัว!
“สยบอีกครั้ง!” ด้านนอกโลกแห่งเต๋าธาตุดิน หูที่ปิดผนึกของหวังเป่าเล่อก็เปิดออก ร่างกายกลายเป็นรุ้งทอดยาวเข้าไปในศิลายักษ์
………………………………