บทที่ 1765 ในที่สุดก็ถึงแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

แน่นอน จะมีแต่กระบี่วิเศษอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีการตอบสนองและฝีมือแบบนี้ ก็จะต้องสิ้นชีพภายใต้คมเขี้ยวของฝูงหมาป่าอยู่ดี

รอบข้างอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่ง่ายเลยกว่าจะหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย เหมียวอี้หันกลับไปมอง อวี้หลัวช่าหยุดวิ่งหนีแล้ว นางกำลังมองมาทางนี้อย่างเงียบๆ

เหมียวอี้เดินไปข้างหน้าต่อ เจอกระเป๋าสัตว์ที่อวี้หลัวช่าโยนออกมาแล้ว เขาเก็บขึ้นมาเหน็บไว้บนเอวตัวเอง โล่งอกไปที นับว่าตัดทางหนีทีไล่ของอวี้หลัวช่าได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ขอเพียงกำจัดผู้หญิงคนนี้ได้ภายในหนึ่งพันปี ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลังแล้ว

เขาหันตัวกลับมา เดินไปข้างศพฝูงหมาป่า ถอนหญ้าจำนวนหนึ่งมามัดเป็นเชือก เฉือนเนื้อบนต้นขาหมาป่าตัวแล้วตัวเล่า ใช้เชือกหญ้าสอดร้อยเป็นพวง แล้วสะพายไว้บนบ่า เสร็จแล้วถึงได้เดินไปที่หุบผาชัน

อวี้หลัวช่ารอเขาอยู่ที่เดิมตลอด มองเหมียวอี้เดินกลับมาช้าๆ เดินเข้ามาใกล้ทีละนิด หลังจากทั้งสองอยู่ห่างกันสองสามจั้ง เหมียวอี้เดินเข้ามาก้าวหนึ่ง นางก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย สุดท้ายทั้งสองก็หยุดนิ่งและเผชิญหน้ากัน ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน

ท้องฟ้าสูงสีครามมีเมฆบาง ฝั่งนี้ของหุบผาชันมีทุ่งหญ้าเขียวขจีตัดกับท้องฟ้า ลมพัดมาวูบหนึ่ง ทุ่งหญ้าเขียวขจีกระเพื่อมราวกับคลื่น สองคนที่ยืนสบตากันอยู่ในนั้นตัวเล็กกระจิ๊ดริดมากเมื่อเทียบกับฟ้าดิน

สายตาของอวี้หลัวช่าหยุดอยู่บนกระเป๋าสัตว์ของตัวเอง แววตาค่อนข้างหลากอารมณ์ นี่คือสิ่งที่ตัวเองโยนให้อีกฝ่ายไปแล้ว สายตาย้ายไปบนเนื้อพวงใหญ่บนตัวเหมียวอี้ นางถอนหายใจอีกครั้ง อีกฝ่ายมีภาระบนตัวเพิ่มแล้ว หมายความว่าไม่คิดจะไล่ตามนางอีกแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้บอกว่า “เจ้าไปได้แล้ว ข้าไม่ตามเจ้าอีกแล้ว” พูดจบก็เลี้ยวเดินไปอีกทาง ที่สำคัญคือต่อให้อยากตามก็ตามไม่ทัน

อวี้หลัวช่าในตอนนี้ ต่อให้อยากจะตามก็ตามไม่ทันแล้ว พอเหมียวอี้เดินจากไป นางก็ตามทันที ครั้งนี้นางตามอยางจริงจังสุดจิตสุดใจแล้ว ความหวังสุดท้ายที่จะทำให้รอดจากที่นี่อยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วยังจะให้นางไปที่ไหนได้อีก?

พอเดินมาถึงทางเข้าหุบผาชัน เหมียวอี้ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา “ตามข้ามาทำไม? คงไม่ได้ตกหลุมรักข้าหรอกใช่มั้ย?”

ก็ได้ อวี้หลัวช่ายอมอดทนแล้ว  “พวกเราเจรจากันดีๆ ได้ เจ้าน่าจะเข้าใจชัดเจนนะ ว่าข้ามีอำนาจไม่น้อยที่แดนพุทธ เป็นแรงสนับสนุนที่ใหญ่มากเพื่อให้เจ้าเติบโตที่ตำหนักสวรรค์ในอนาคต เจ้ามีความกังวลอะไรก็บอกมาได้เลย ข้าคิดหาทางช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาได้ จะเจรจาจนกว่าเจ้าจะพอใจ ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกเปลี่ยวเหงาจริงๆ ข้าก็ปรนนิบัติให้เจ้าผ่อนคลายได้ รับรองว่าเจ้าจะรู้สึกผ่อนคลายแบบที่หาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น แน่นอน ขอเพียงเจ้าต้องการ ต่อให้ออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าก็สามารถปรนนิบัติเจ้าได้ทุกเมื่อ” พูดจบก็แอ่นหน้าอก ทำท่าทางยั่วยวน เดินวนรอบช้าๆ ให้ผู้ชายเชยชม

สามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ แสดงว่านางยอมแพ้แล้วจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ สถานการณ์แข็งแกร่งกว่าคน นางเลือกที่จะประนีประนอมอย่างไม่ลังเล

แน่นอน ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รับประกันได้ว่านางจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่

เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ได้ ถอดสิ”

“อะไรนะ?” อวี้หลัวช่างงไปชั่วขณะ

เหมียวอี้ควงกระบี่ชี้ “ข้าให้เจ้าถอดเสื้อผ้า เจ้าบอกว่าจะปรนนิบัติข้าไม่ใช่เหรอ? ถอดสิ ถอดให้หมด”

อวี้หลัวช่าทำหน้าตึง “ตอนนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเจรจาจนเจอวิธีการที่ทำให้เจ้ากับข้าไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังก่อน ตอนนี้ข้าถอดเสื้อผ้าเข้าไปใกล้ชิดเจ้า แล้วถ้าเจ้าเอากระบี่ฟันข้าขึ้นมาจะทำยังไง? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะลอบโจมตีเจ้า?”

เหมียวอี้หัวเราะร่า ปักกระบี่ยาวไว้บนพื้น จากนั้นชี้หน้านาง “เจ้าไม่ดูสภาพตัวเองเสียบ้าง หน้าอย่างกับแมว เหมือนสุนัขจรจัด หน้าสกปรกอย่างกับอะไร เห็นแล้วหมดอารมณ์ ยังจะเข้าใกล้อีกเหรอ? ต่อให้เจ้าไม่เสนอเงื่อนไขนี้ ข้าก็ไม่สนใจเจ้านิด ไปผ่อนคลายตัวเองตรงโน้นไป”

อวี้หลัวช่ามองร่างกายตัวเองโดยจิตใต้สำนึก เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเองตอนก่อนหน้านี้ ก็สกปรกจนมองดูไม่ได้จริงๆ นางลูบใบหน้าตัวเอง จินตนาการได้เลยว่าสะบักสะบอมขนาดไหน แต่ผู้หญิงทนไม่ได้ที่สุดเวลามีคนมาว่าตัวเองขี้เหร่ อับอายจนโมโหภายในชั่วพริบตาเดียว “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง? ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เจ้าอาจจะไม่ใช่ฝ่ายได้เปรียบก็ได้!”

“ไสหัวไป! อัปลักษณ์น่าไม่อาย อย่ามาตามข้า!” เหมียวอี้เถียงกลับประโยคเดียว แล้วหันตัวเดินจากไปแล้ว

อวี้หลัวช่าทำสีหน้าไม่ถูก แต่สุดท้ายก็ยังกัดฟันเดินตามไป

ในหุบผาชัน เหมียวอี้เจอของที่ตัวเองโยนทิ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาเก็บมาสะพายไว้บนตัวอีกครั้ง

ทั้งสองเดินออกจากหุบผาชันตามกันมา เดินไปที่ป่ารกร้างแล้ว แต่ยังไม่ทันเดินออกจากป่ารกร้างฟ้าก็มืด

ทั้งสองอยู่ภายใต้ม่านราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ย่างก้าวค่อนข้างล่องลอย ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเมื่อวานผ่านความยากลำบากมา แถมยังไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ก็วิ่งไปวิ่งมาอีก เหนื่อยแทบทนไม่ไหวนานแล้ว ทั้งสองต่างก็อ่อนแรงเต็มทน ต่างก็ดันทุรังทนไว้

“ที่จริงเจ้าสามารถใช้กระบี่วิเศษของเจ้าเปิดกระเป๋าสัตว์ของข้า ปล่อยสัตว์พาหนะของข้าออกมาได้นะ”

“ไสหัวไป!”

“พวกเราทำลายความพะว้าพะวงของกันและกันก่อน จากนั้นเจ้าค่อยปล่อยสัตว์พาหนะของข้าออกมาก็ยังไม่สาย เราทั้งคู่ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้”

“คนอัปลักษณ์น่าไม่อาย ไสหัวไป!”

ในที่สุดก็มาถึงตีนเขาที่รกร้างแห่งหนึ่งแล้ว เป็นสถานที่เป้าหมายที่เหมียวอี้กำหนดไว้แล้วเช่นกัน เหมียวอี้หย่อนก้นนั่งลงทันที

เมื่อเห็นเขาพักแล้ว อวี้หลัวช่าเองก็หมดภาพลักษณ์เช่นกัน ล้มลงราวกับเป็นโคลนเหลว

ภายใต้ม่านราตรี เหมียวอี้รวบรวมกิ่งไม้แห้งกองหนึ่งมาสุมไฟย่างเนื้อ กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว เนื้อป่าอร่อยกว่าเนื้อเหยี่ยวมารตั้งเยอะ

อวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไม่ไกลหยิบผลไม้ลูกสุดท้ายออกมา นางกัดกินอย่างช้าๆ แม้แต่เม็ดก็ไม่คายทิ้ง เคี้ยวทั้งหมดกลืนลงท้อง แต่ท้องก็ยังร้องจ๊อกๆ เพราะกินไม่อิ่ม ได้แต่มองเหมียวอี้กินอยู่ทางนั้นตาปริบๆ

“หนิวโหย่วเต๋อ แบ่งให้ข้ากินหน่อยสิ” อวี้หลัวช่าตะโกนเรียก

เหมียวอี้กวักมือ บอกใบ้ให้นางเข้ามาหยิบไปเอง

อวี้หลัวช่ามองกระบี่วิเศษที่เสียบอยู่ด้านข้าง นางไม่กล้าเข้าไป จึงตะโกนบอกว่า “เจ้าโยนมาสิ”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม ทำท่าราวกับถามว่าทำไมข้าต้องทำอย่างนั้น แล้วก็กินของตัวเองไป ขี้คร้านจะสนใจนาง

เหมียวอี้กำลังอยากให้นางหิวจนวิ่งไม่ไหว จะได้เอากระบี่ไปแทงนางได้สะดวก

ตอนเที่ยงคืน เหมียวอี้ที่ได้ยินเสียงผิดปกติพลันหันกลับไปมอง เห็นเพียงอวี้หลัวช่ากระโจนกลิ้งไปด้านข้างท่ามกลางความมืด เหมือนกำลังถือหินขว้างใส่บางอย่างด้วยความบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังตุ้บตั้บ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร รอจนกระทั่งตอนที่อวี้หลัวช่ากลับมาก่อกองไฟ ถึงได้พบว่าอวี้หลัวช่าลากงูตัวใหญ่เท่าแขนกลับมาตัวหนึ่ง นางกลับมานั่งลงข้างกองไฟแล้วใช้ฟันกัดทั้งเป็นๆ กัดหัวงูออกมาแล้วโยนไปด้านข้าง จากนั้นก็ถลกหนังงู หลังจากถลกหนังแล้วก็พันไว้บนเอว เอาดีงูออกแล้วกลืนลงไปเลย นางใช้ท่อนไม้เสียบงูตัวใหญ่ย่างบนไฟ

เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ขณะที่เขากำลังถือกระบี่ยืนขึ้น อวี้หลัวช่าที่ระวังตัวมากก็รีบลุกเช่นกัน ทำท่าเหมือนจะลากงูวิ่งหนี

มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้แอบด่าในใจแล้วนั่งลงอีกครั้ง เขาเองก็ตามไม่ไหวแล้วเช่นกัน อวี้หลัวช่านั่งลงตามเขาช้าๆ แล้วย่างงูต่อไป

หลังจากกลิ่นหอมของเนื้อโชยมาพักหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าย่างสุกหรือไม่ อย่างไรเสียก็เห็นอวี้หลัวช่าเขมือบอย่างตะกละมูมมามแล้ว ส่วนเนื้อที่กินไม่หมด นางก็เลียนแบบเหมียวอี้เช่นกัน อังไฟให้กลายเป็นเนื้อแห้ง

วันต่อมาตอนฟ้าสว่าง ทั้งสองที่ไม่ได้หลับตาทั้งคืนขอบตาดำแล้ว

ระหว่างทางเจอลำธาร ทั้งสองก็รีบหมอบดื่มอย่างกระหาย เหมียวอี้ดื่มเสร็จแล้วก็เก็บน้ำไว้ในกระบอกกระดูกต่อ แต่สิ่งที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ อวี้หลัวช่านำหนังงูที่ถลกเมื่อคืนนี้มาใส่น้ำแล้ว หลังจากอุดรอยรั่วแล้วก็พันไว้บนตัว

เมื่อมีลำธารโผล่มา สีเขียวขจีก็เริ่มปรากฏเช่นกัน พวกเขาข้ามผ่านลำธารเล็กๆ พอเดินไปได้ครึ่งวัน ในที่สุดก็เห็นป่าไม้ผืนหนึ่งแล้ว

ทั้งสองเหนื่อยจนแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ เดินไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไม่พักผ่อนอีกก็จะต้องเหนื่อยตายแน่นอน เหมียวอี้ยอมใจผู้หญิงคนนี้แล้วจริงๆ ขนาดเขายังทนไม่ได้เท่านางเลย ไม่ให้โอกาสเขาลงมือเลยสักนิด

พอเดินมาถึงป่าไม้ อวี้หลัวช่าก็คิดถึงวิธีการพักผ่อนได้แล้ว เหมียวอี้ที่เหนื่อยแทบทนไม่ไหวก็เห็นด้วย

ในที่สุดเหมียวอี้ก็ตัดต้นไม้ โค่นต้นไม้ที่อยู่รอบๆ จนล้มหมด ป้องกันไม่ให้อวี้หลัวช่ากระโดดผ่านบนต้นไม้เข้ามา เสร็จแล้ถึงได้ปีนขึ้นไปตัดกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ ถักทอชั้นหนาบนกิ่งไม้เพื่อเป็นอุปสรรคหนึ่งชั้น ถ้าอวี้หลัวช่าปีนขึ้นบนไม้ก็จะต้องเจออุปสรรรคชั้นนี้ขัดขวาง จะต้องเกิดเสียงดังเพื่อเตือนเขาแน่นอน

หลังจากจัดที่เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้อีกครั้ง ตัดกิ่งไม้มาปูเป็นพื้นอย่างหยาบๆ จากนั้นถึงได้โล่งใจแล้วเอนกายลง

เช่นเดียวกัน ถ้าเหมียวอี้อยากจะลงจากต้นไม้ ก็จะต้องทำลายอุปสรรคสำหรับลงไป ก็จะส่งเสียงดังเช่นเดียวกัน ถ้ากระโดดลงไปโดยตรงก็จะไม่มีเสียงความเคลื่อนไหว

ตอนนี้อวี้หลัวช่าถึงได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ หาง่ามไม้ที่หยาบทนทาน แล้วก็ปีนขึ้นไปข้างบนราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ไม่นานก็นอนหลับลึกแล้ว นอนหนุนบนมวยผมของตัวเอง ปอยผมยุ่งปลิวกระเพื่อมตามลม ภาพลักษณ์ของพุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขามหายไปหมดแล้ว

การหลับครั้งนี้ ทั้งสองหลับจนมืดฟ้ามัวดินแล้วจริงๆ คาดว่าต่อให้อีกฝ่ายเล่นตุกติกมาดึงกิ่งไม้ที่ถักทอไว้ อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ การสร้างอุปสรรคไว้อย่างนี้ก็เพื่อความสบายใจของตัวเองล้วนๆ

ดวงอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก ฟ้ามืด ฟ้าสว่างอีกรอบ จนใกล้ถึงเวลาเที่ยง เหมียวอี้ถึงได้ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นอวี้หลัวช่าที่อยู่บนกิ่งไม้ยังหลับ เขาก็ลงจากต้นไม้อย่างเงียบๆ คิดจะเข้าไปลอบโจมตี แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนดึงอุปสรรคที่กั้นไว้ทำให้เกิดเสียงดัง ปลุกอวี้หลัวช่าที่อยู่บนต้นไม้ให้ตื่นทันที นางมองมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

ถ้าทำอย่างนี้ตอนที่อวี้หลัวช่ายังหลับลึก เขาอาจจะลงมือสำเร็จแล้วจริงๆ ก็ได้ แต่อวี้หลัวช่าในตอนนี้หลับไปนานพอสมควรแล้ว ถ้าทำอย่างนี้อีกก็สายไปแล้ว

พอเห็นเหมียวอี้ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อวี้หลัวช่าก็แสยะหัวเราะ นางพลิกตัวไหลลงจากต้นไม้ การเคลื่อนไหวว่องไวขึ้นอีกครั้ง บาดแผลบนตัวเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคสักเท่าไร

ที่จริงถึงแม้จะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียกายหยาบก็ผ่านการขัดเกลาจากพลังจิตวิญญาณมาแล้ว การเยียวยาตัวเองแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดา

“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้ง พอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแล้วก็เก้อเขินเช่นกัน ควงกระบี่ฟันอุปสรรคแล้วไถลลงมา เดินทางไปข้างหน้าต่อแล้ว

ตลอดทางที่เดินไป อวี้หลัวช่าเกาะติดเหมียวอี้ราวกับเป็นขนมหนิวผีถัง ไล่ไม่ไปด่าไม่หนีแต่ก็ฆ่าทิ้งไม่ได้ ตามติดไม่ปล่อยอยู่อย่างนั้น ชัดเจนว่าอยากจะเห็นว่าเหมียวอี้จะออกไปจากที่นี่อย่างไร เหมียวอี้อารมณ์เสียใส่นางไปก็ไม่มีประโยชน์

เหมียวอี้นับว่ามองออกถึงเคล็ดลับการเอาชีวิตรอดของอวี้หลัวช่าแล้ว สมัยก่อนพุทธะหน้าหยกท่านนี้คงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาเหมือนตอนกลายเป็นพุทธะแล้ว ต้องเคยได้รับความลำบากมาก่อนแน่นอน มีความสามารถในการปรับตัวใช้ชีวิตเป็นพิเศษ ถ้าคิดจะเล่นงานนางให้ตายก็เท่ากับเจอคู่ต่อสู้แล้วจริงๆ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลายครั้งแล้วที่เกือบโดนอวี้หลัวช่าเล่นงานกลับจนถึงแก่ชีวิต

ทั้งสองข้ามน้ำข้ามภูเขา ผ่านลมผ่านฝนและหลุมบ่อขรุขระ หลังจากเดินทางอยู่สามเดือนเต็มๆ ภาพตรงหน้าก็เริ่มทำให้ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นแล้ว เห็นทะเลสาบน้ำสีเขียวมรกตแล้ว ความตื่นเต้นไม่ได้อยู่บนทะเลสาบ แต่เป็นบนภูเขาลูกใหญ่ริมทะเลสาบที่สูงเสียดฟ้าทะลุเมฆ

“นางตัวแสบ เจ้าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา?”

เมื่อเห็นอวี้หลัวช่าตื่นเต้นดีใจจนกระโดดโลดเต้นถึงขั้นก้าวเข้าไปในทะเลสาบ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

อวี้หลัวช่าเหล่ตามองอย่างเหยียดหยาม “แผนที่นั้นอยู่ในมือข้ามาหลายร้อยปี เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยศึกษามันเลยเหรอ? บนดาวเคราะห์ดวงนี้ จุดที่ทำสัญลักษณ์วัดไว้มีเครื่องหมายระบุทะเลสาบและยอดเขารูปกรวยตั้งตระหง่านเอาไว้แยกแยะ” นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ทางนั้นมีหุบผาชันอีกแห่งหนึ่ง จุดซ่อนสมบัติก็อยู่ในหุบผาชันนั่นแหละ!”

จุดซ่อนสมบัติ? เหมียวอี้ทำสีหน้าแปลกๆ สงสัยผู้หญิงคนนี้จะยังคิดว่าตนหลอกนาง ยังคิดว่าที่นี่มีที่ซ่อนสมบัติลับของสำนักหนานอู๋

………………