“ใช่ มันเป็นไปได้ ต้องเป็นไปได้สิ! ผมจะต้องหาวิธีนั้นให้เจอ ไว้ใจผมเถอะ” จางเซวียนพูด
“แล้วถ้าคุณหาไม่เจอล่ะ?” หลัวลั่วชิงเสียงสั่น
จางเซวียนตอบอย่างเฉียบขาดหนักแน่น “อย่างมากที่สุด เราก็แค่ตายด้วยกัน เมื่อเราตายไปแล้ว เศษเสี้ยวสวรรค์ก็จะกลับมารวมตัวกันเพื่อฟื้นฟูสวรรค์ได้เอง แต่นั่นก็ไม่ใช่กงการของเราแล้วนี่”
“คือ…” ได้ฟังคำตอบของจางเซวียน หลัวลั่วชิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “คุณพูดถูก เราจะต้องกังวลอะไรหากตายไปแล้ว ก็แค่อยู่ด้วยกันภายใต้ป้ายหลุมศพอันเดียวกัน เท่านั้นก็พอ!”
“ใช่ จะมีอะไรแย่กว่านั้นได้อีก? ต่อให้สวรรค์หรือโชคชะตา ก็ไม่มีสิ่งใดแยกเราออกจากกันได้…”
“ไม่มีสิ่งใดแยกเราออกจากกันได้…”
หลัวลั่วชิงนัยน์ตาแดงก่ำ เธอกอดชายหนุ่มไว้แน่น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอทั้งลังเลและกังวล รู้ทั้งรู้ว่าความรักครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจขัดขืนความต้องการของตัวเอง
แต่ชายหนุ่มเปิดเผยความปรารถนาที่ล้ำลึกที่สุดของเธอออกมา
ขอแค่เธอกับเขาได้อยู่ด้วยกัน ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องหวาดกลัว
เมื่อขจัดความลังเลทั้งหมดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรยับยั้งเธอได้อีก!
ต่อให้สรวงสวรรค์พังพินาศ ฉันก็ยังพอใจ ตราบใดที่ได้อยู่กับคุณ
จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างของหญิงสาว บทกวีบทหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขา
เราจะเป็นนกน้อยพลอดรักในสรวงสวรรค์ เป็นกิ่งไม้ที่เกี่ยวกระหวัดกันบนพื้นโลก แม้สรวงสวรรค์กับโลกจะถูกกำหนดด้วยกาลเวลา แต่ความรู้สึกของเราจะเป็นนิรันดร์*!*
ในตอนนั้น หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเทคนิควรยุทธเล่มหนึ่งปรากฏ
มีเหตุใดให้ต้องยินดีกับการมีชีวิตอยู่? มีเหตุใดให้ต้องเศร้าโศกกับความตาย?
ทะเลอาจเหือดแห้ง หินผาอาจพังทลาย แต่ต่อให้ทั้งโลกแหลกสลาย ความรู้สึกของสองเราจะยั่งยืนเหนือกาลเวลา
บนดวงจันทร์ กระแสพลังงานเข้มข้นถาโถมเข้าใส่จางเซวียน ร้อยรัดร่างของเขาไว้
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มเมฆสีแดงก็รวมตัวกันเหนือสรวงสวรรค์ พละกำลังมหาศาลทิ้งตัวลงมา เงาดำทาบทับพื้นดิน ทั้งโลกสะท้านราวกับบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
จางเซวียนเคยคิดว่าตราบใดที่เขายังไม่ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากจอมราชันย์ ก็คงไม่อาจก้าวข้ามวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าไปได้…แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาก็ยังก้าวข้ามด่านคอขวดได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ
“ฮะ…”
นัยน์ตาของเหล่าจอมราชันย์ต่างเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงกับภาพนั้น
เทพธิดาหลิงหลงตัวสั่นไม่หยุดขณะอุทานออกมา “เขาไม่จำเป็นต้องได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากจอมราชันย์ แต่ได้รับจากโลกโดยตรง…นี่คือการได้รับเกียรติจากโลก…หมายความว่า…จะเกิดจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ขึ้นอีกคนหนึ่งใช่ไหม?”
บรรดาจอมราชันย์ที่อยู่ตรงนั้นพากันจับจ้องจางเซวียนอย่างอัศจรรย์ใจ พวกเขาพูดไม่ออกอยู่นาน
เมื่อ 40 ปีก่อน อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องเหนือชั้นคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในสรวงสวรรค์ เพราะประทับใจในความเก่งกาจของเขา เหล่าจอมราชันย์ต่างก็พยายามยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายมาอยู่ในสังกัดและแต่งตั้งเขาให้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ
เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่เพราะการแย่งชิงครั้งนั้น
แต่ลงท้ายพวกเขาก็ได้ข้อสรุป ไม่มีจอมราชันย์คนไหนคิดจะแต่งตั้งอัจฉริยะผู้นั้น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก
ทุกคนคิดว่านี่คงเป็นจุดจบของเรื่องนี้ ไม่นึกเลยว่าอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องคนนั้นจะได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลก
ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้น ทั้งสรวงสวรรค์ถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีแดง พละกำลังมหาศาลพวยพุ่งขึ้นจากพื้นโลก
เหล่าจอมราชันย์ต่างนิ่งอึ้งกับปรากฏการณ์ที่เห็น พวกเขารู้ทันทีว่าบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเขากำลังจะปรากฏ
และก็เป็นไปตามคาด อัจฉริยะผู้นั้นกลายเป็นจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ มีพละกำลังมหาศาลถึงขนาดสามารถท้าทายจอมราชันย์หลินชีผู้ยิ่งใหญ่
40 ปีให้หลัง จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เพลี่ยงพล้ำในการดวลกับจอมราชันย์หลินชี แต่เพียงพริบตาเดียว อีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลกก็ปรากฏตัว
แม้ 9 จอมราชันย์ก็ยังไม่เคยได้รับเกียรติขนาดนี้!
การได้รับเกียรติจากโลกคือพละกำลังโดยธรรมชาติของโลกใบนี้ที่อยู่เหนือการควบคุมของเหล่าจอมราชันย์ ซึ่งผู้ที่ได้รับอำนาจดังกล่าวย่อมกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานที่เป็นรองแค่เหล่าจอมราชันย์เท่านั้น
“สิ่งนี้ก็คือชะตากรรมหรือ?” ไก่น้อยพึมพำ
มันเคยคิดว่านายท่านคงต้องใช้เวลาสั่งสมวรยุทธหลายปีกว่าจะเข้าถึงระดับนี้ แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ทำสำเร็จในชั่วพริบตา
เห็นแล้วแทบเสียสติ!
ขณะกำลังพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ ไก่น้อยก็เกือบสูญเสียการควบคุมพละกำลังของมันและคืนสภาพกลับเป็นไก่น้อยตัวจ้อยดังเดิม
จอมราชันย์มังกรเมฆก็นัยน์ตาเบิกโพลงราวกับระฆังใบใหญ่ ดูราวกับเขาหวิดๆจะกลายร่างกลับคืนสภาพเป็นมังกร
เทพธิดาหลิงหลงตัวสั่นเสียจนเข่าอ่อน แค่หวนนึกถึงการที่เธอเคยพยายามสังหารชายหนุ่มคนนี้ก็เกินพอจะทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบไปหมด
ถึงพวกเขาจะทรงพลังขนาดไหน แต่ก็มีอำนาจปกครองแค่น่านฟ้าเดียว แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าได้การยอมรับจากทั้ง 9 น่านฟ้า
พูดอีกอย่างก็คือ เขาคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า!
นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานเรื่องใหม่
…..
แอ๊ดดดด!
ในสรวงสวรรค์ ประตูที่ดูหน้าตาธรรมดาของกระท่อมฟางหลังหนึ่งถูกเปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา เขาจับจ้องท้องฟ้าอย่างเงียบงัน จากนั้นก็มีรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปาก
“เขาทำความเข้าใจมันได้เร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก บางทีคุณอาจพูดถูกมาตลอด…”
“ผมกำลังรอคอยให้เขาสร้างปาฏิหาริย์”
…..
ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ฉีเหมิงออกจากการปลีกวิเวกเพื่อมาสังเกตการณ์หมู่เมฆสีแดงที่อยู่กลางอากาศ
“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า…จะเป็นใครกัน?”
ในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของตระกูลฉี เขารู้เรื่องการขึ้นสู่อำนาจของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ในครั้งนั้น และรู้เรื่องราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าด้วย แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคราวนี้ใครคือผู้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่
“ดูเหมือนราชันย์เทพเจ้าพิชิตสวรรค์จะปรากฏขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว…น่าเสียดายที่เราไม่ได้ทำความรู้จักมักคุ้นกับเขาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น ตระกูลฉีของเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน” ฉีเหมิงพึมพำ
โลกดูเหมือนจะหมุนเวียนไปตามวัฏจักร แต่ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ความลับของโลกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่าโลกดูจะแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น แม้ด้วยภูมิปัญญาที่พวกเขาสั่งสมมาตลอดหลายพันปี ก็ยังไม่อาจหยั่งถึงทิศทางของโลกได้
หากเขารู้ว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าเป็นใคร คงจะสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้า เพราะนั่นจะเป็นการรับประกันความรุ่งโรจน์ของตระกูลฉี…
แต่ก็ไม่มีทางคาดการณ์เรื่องแบบนั้นได้ ขนาดจอมราชันย์ยังทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับแค่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ
“สงสัยเหลือเกินว่าเขาเป็นใคร…”
ฉีเหมิงครุ่นคิดถึงบรรดานักรบที่ใกล้จะสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด แต่ก็ไม่มีใครที่ดูจะเข้าข่าย
“ราชันย์เทพเจ้าผู้นี้คงเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบมาตลอด ไม่อย่างนั้น ไม่มีทางหรอกที่เราจะนึกไม่ออกว่าเป็นใคร!”
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าจะต้องเป็นใครสักคนที่เก่งกาจปราดเปรื่องอย่างไม่มีใครเทียบ ดังนั้น การคาดเดาว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงน่าจะง่าย แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้ตัวตนของผู้นั้นเลย จึงพูดได้เพียงว่าราชันย์เทพเจ้าคนนี้คงจะเป็นคนรักสันโดษและถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาก
น่าประหลาดเหลือเกิน
ในสรวงสวรรค์ทุกวันนี้ แทบจะไม่มีใครที่ใช้ชีวิตสมถะแบบนั้นอีกแล้ว!
…..
“ใครคนหนึ่งได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า, เหมือนท่านอาจารย์ของพวกเรา…”
บนหน้าผาที่ปรมาจารย์ขงเคยพำนักอยู่ นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเฝ้าจับตากลุ่มพลังงานที่รวมตัวกันอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“จะต้องเป็นปรมาจารย์จางแน่…”
“ปรมาจารย์จางได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลก นั่นก็หมายความว่าท่านอาจารย์ของพวกเรา…”
“จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์แน่ เฮ่อออออ! ท่านอาจารย์บอกไว้ให้ยอมรับจางเซวียนเป็นผู้นำและเฝ้ารอ…ผมเชื่อว่าท่านอาจารย์คงมีเหตุผลที่สั่งเสียพวกเราแบบนั้น พวกเราก็ควรเชื่อฟังและรอให้เขากลับมา”
“จะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณนะ ท่านอาจารย์…”
ทุกคนเงียบกริบ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง สำหรับพวกเขา การที่โลกมอบตำแหน่งทรงเกียรติให้ใครสักคนเป็นเครื่องบ่งบอกถึงจุดจบของตำนานของท่านอาจารย์ และการเริ่มต้นบทใหม่ของตำนานของปรมาจารย์จาง
…..
ชายหนุ่มคนหนึ่งหอบหายใจหนักหน่วง เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของกระต่ายตัวหนึ่งและหนีไปยังถ้ำที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้สำเร็จ
ในถ้ำนั้น สาวสวย 2 คนมองเขาอย่างร้อนใจขณะตั้งคำถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถ้าจางเซวียนอยู่ด้วย ก็จะรู้ทันทีว่าสุภาพสตรีทั้งสองคือหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าที่เขาได้พบในมิติเบื้องบนเมื่อไม่นานมานี้
ส่วนชายหนุ่มคนนั้น ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นพี่ชายของหลัวฉีฉี-หลัวชวนฉิง
พวกเขาเข้าสู่สรวงสวรรค์โดยผ่านหอเทพเจ้าและพบว่าตัวเองอยู่บนภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ ไม่ต่างกับจางเซวียนและบรรดาศิษย์สายตรงของเขาในครั้งนั้น
เพราะได้ซึมซับหยดเลือดของจางเซวียน ทั้งสามจึงผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติมาได้โดยไม่ได้รับความบอบช้ำมากนัก ทั้งยังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วด้วย แต่เพราะยังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต้น จึงไม่อาจรับมือกับภัยอันตรายที่อยู่โดยรอบสรวงสวรรค์ได้
“ผมเล่นงานกระต่ายตัวนั้นไม่ได้ และเกือบถูกมันฆ่าตายอีกต่างหาก โชคดีที่ผมวิ่งหนีเร็วพอ แต่ดูเหมือนคืนนี้พวกเราคงต้องอดแล้วล่ะ…” หลัวชวนฉิงส่ายหน้าอย่างขมขื่น
พวกเขาคิดว่าสรวงสวรรค์คงเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณและทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมาย ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่ได้เจอจริงๆจะเป็นแค่ดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร ทั้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติเบื้องบน แต่ก็มีพละกำลังไม่พอแม้จะรับมือกับกระต่ายสักตัว
แค่คิดก็ทำให้เขาคับอกคับใจแล้ว
“กระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์เชื่องช้าเกินไป อีกทั้งแรงกดดันของมิติก็หนักหน่วง หากเรายังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่ได้ แค่จะเดินไปไหนมาไหนก็ยากแล้ว” หูเหยาเหย่าอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม “พูดก็พูดเถอะ คุณคิดว่าจางเซวียนฝ่าปราการแห่งมิติเพื่อลงมายังมิติเบื้องบนได้อย่างไร? เขาจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงทำแบบนั้นได้?”
“เอ่อ…” อีกสองคนเงียบกริบ