บทที่ 104 ศึกสุดท้าย (1)
เมื่อฤดูใบไม้ผลิผ่านไปก็ได้เวลาของฤดูใบไม้ร่วง เวลาหนึ่งปีผ่านไปอีกแล้วอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายทั่วทั้งทวีปต้นกำเนิดในหนึ่งปีที่ผ่านมา
เผ่ามนุษย์บุกเข้าไปในอาณาเขตคุนเพื่อกวาดล้างเทพเจ้า
หลังจากผ่านมาหนึ่งปี มนุษย์ก็กลับมายังดินแดนของตัวเองอีกครั้ง ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ทำสัญญาสงบศึกกับอสูรกาย ทำลายเผ่าคนเถื่อน และกลายเป็นพันธมิตรชาวสมุทร
ภายในระยะเวลาเพียงสิบสองเดือน ทวีปต้นกำเนิดเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายมาเป็นผู้มีอิทธิพลในโลกใบนี้ ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนประสบความสำเร็จและมีอนาคตอันรุ่งโรจน์
แต่กระนั้น เสี้ยนหนามที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์นั้นยังคงอยู่
ในโถงประชุมของวังแสงตะวันชั่วกาล
“กบฏฮั่วเกอถูกปราบแล้ว หลายคนแนะนำว่าเราต้องตั้งฐานทัพสำรองขึ้นเพื่อคงการควบคุมเอาไว้ให้ได้ก่อน”
“ในเมืองฉางผานเริ่มมีการสังเวยขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าสมาชิกบางคนของตระกูลหวังจะเป็นคนก่อเรื่องขึ้น”
“ตระกูลฉู่ออกเดินทางจากภูผาสูญอย่างเป็นทางการ และเป็นอิสระจากทุกข้อบังคับแล้ว ตระกูลฉู่ในตอนนี้ก็ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตอีกต่อไป”
“อาณาจักรประกายวารีกับชาวสมุทรสู้กันอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่ความผิดของเจียงจูเซิง ต้นเหตุของความขัดแย้งครั้งนี้มาจากการที่ชาวสมุทรไม่พอใจในอำนาจการสืบสวนของพวกเรา”
หลี่ฉงซาน หลี่เฉาเซวียน และทุก ๆ คนต่างรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นและปัญหาทั้งหลายในทวีปให้ซูเฉินทราบ
ซูเฉินจิบชาหญ้าใจสีม่วงและครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะจัดตั้งฐานทัพขึ้นใกล้กับฮั่วเกอ ให้หวังซินเฉาไปจัดการเรื่องนี้ซะ ส่วนเรื่องการสังเวยในเมืองฉางผานก็ให้อวิ๋นเป้าดูแล หากตระกูลกู่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ให้มาร่วมทัพต่อต้านเทพเจ้าก็ได้ ส่วนชาวสมุทร…”
ชายหนุ่มเงียบไป เขาคิดคำนวณก่อนจะถอนใจและกล่าวต่อ “คงจะดีที่สุดหากได้เจรจาแทนที่จะต้องต่อสู้กัน ชาวสมุทรเป็นปึกแผ่นมาโดยตลอด และการห้ามการบูชาก็ถือว่าฝ่าฝืนธรรมเนียมของพวกเขา ข้าเข้าใจดีว่าทำไมชาวสมุทรถึงได้ต่อต้านข้อจำกัดพวกนี้นัก ถ้าพวกนั้นเข้าใจก็คงจะดีมาก แต่ถ้าไม่…เราเองก็คงทำอะไรไม่ได้”
เมื่อปราการล่มสลายลง มีเทพเจ้ารอดชีวิตอยู่เพียงเจ็ดองค์เท่านั้น
ทว่าหลังจากนั้น มนุษย์กลับไม่สามารถตามหาตัวพวกเขาพบได้เลย
ทวีปต้นกำเนิดกว้างใหญ่เหลือเกิน
อีกทั้งเทพเจ้ายังไม่ได้เริ่มก่อเรื่องขึ้นทันที เพราะพวกเขาต้องฟื้นฟูพลังให้แข็งแกร่งเสียก่อนเป็นอย่างแรก
โชคดียิ่งนักที่ซูเฉินกับทัพมนุษย์รับมือได้ทันเวลา หลังจากเผ่ามนุษย์กวาดล้างไปทั่วทั้งทวีป ก็ได้หักห้ามผู้ศรัทธาทั้งหมดไม่ให้บูชาเทพเจ้า นั่นทำให้เทพที่ยังมีชีวิตอยู่ฟื้นฟูพลังกลับมาได้ยากยิ่งขึ้น
แต่กระนั้นก็ควรคำนึงเสมอว่าเทพเจ้ายังมีวิธีการอื่นในการฟื้นฟูพลังด้วย
ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการที่จะฟื้นฟูพลังได้ง่ายกว่าการรอรับการบูชาความศรัทธา ก็คือการสังเวย
การสังเวยเป็นจำนวนมากนั้นสามารถเร่งการฟื้นฟูพลังได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าสำหรับพวกเขาแล้ว การจะได้รับการสังเวยก็ต้องมีผู้ศรัทธาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเทพเจ้าก็ยังคงต้องการผู้ที่เชื่อในพวกเขา ซึ่งคนเหล่านี้เองที่จะสังเวยความศรัทธาของพวกเขาเพื่อคืนพลังให้กับเทพเจ้า
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของวิธีการนี้ก็คือมันไม่สามารถสร้างความศรัทธาในระยะยาวได้ แต่ข้อดีของการฟื้นฟูพลังด้วยวิธีนี้ก็คือ มนุษย์จะไม่มีทางเข้ามาแทรกแซงก่อนที่การสังเวยจะสำเร็จได้ เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากนั่นเอง
ดังนั้นแล้วดินแดนในครอบครองของเผ่ามนุษย์จึงมีการสังเวยขนาดย่อมเกิดขึ้นอยู่เสมอ
โดยปกติแล้วการสังเวยมักเกิดขึ้นโดยมีผู้คนที่สละชีวิตจำนวนหลายสิบคนโดยไร้สาเหตุ พวกเขามักตายอย่างสงบ ราวกับว่าจู่ ๆ พลังชีวิตก็ถูกขโมยไปเสียอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้นิกายไร้ขอบเขตจึงไม่ได้ว่างเว้นจากการจัดการเรื่องนี้ น่าเสียดายที่โดยมากแล้วพวกเขามักพบเพียงร่างไร้วิญญาณหลังการสังเวยเสร็จสิ้นลงแล้วเท่านั้น
เทพเจ้าสะสมพลังศักดิ์สิทธิ์ในระยะสั้นด้วยวิธีนี้เป็นหลัก ซูเฉินไม่รู้ว่าพวกเขาจะปรากฏกายขึ้นตอนไหน แต่เขารู้ว่ามันจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วซูเฉินก็มองไกลออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราวกับว่ากำลังคิดบางอย่างอยู่
ทันใดนั้นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนหนึ่งก็พลันลุกขึ้นตะโกนว่า “เจ้านิกาย กระจกแห่งนภา สัมผัสได้ถึงพลังสูญแปรปรวน…ให้ตาย! พลังนั่นรุนแรงมากทีเดียวขอรับ!”
ซูเฉินเข้าไปในโถงประชุม
จากตรงนี้ ชายหนุ่มสามารถมองเห็นได้ว่าท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีแดงราวกับว่าพายุเพลิงได้ลุกโชนและแผดเผาลงมาจากบนท้องฟ้า
แสงสีแดงนั้นมีประกายสีทองกระจายอยู่ทั่ว ขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงสวดดังขึ้นไกลออกไป
“พวกนั้นมาแล้ว” ซูเฉินกล่าว
หลังจากหลบซ่อนมานานหลายปี เทพเจ้าทั้งหลายก็ปรากฏกายอีกครั้ง
ครั้งนี้เทพเจ้ากลับมาพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยม แต่เผ่ามนุษย์ไม่ได้มีเทพอสูรบรรพกาลคอยช่วยอีกแล้ว
เสียงสวดบนท้องฟ้าดังชัดเจนขึ้นทุกที
แสงสีทองสว่างจ้ามากขึ้นและแผ่ไปทั่วทั้งผืนนภา
วิหารเทพเจ้าค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่เบื้องบนนั้น
ร่างอันสง่างามของเทพเจ้าทั้งเจ็ดยืนตระหง่านอยู่ ทั้งเจ็ดคนยืนเรียงกันอยู่ที่หน้าอารามพร้อมกับเปล่งรัศมีที่ทรงพลัง
อานุภาพของเหล่าเทพหลั่งไหลราวกับคลื่นที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็รู้สึกอยากสรรเสริญพวกเขาเหลือเกิน
แม้ว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะอยู่ห่างออกไปถึงหลายหมื่นลี้ แต่ความยิ่งใหญ่นั้นกลับทำให้รู้สึกราวกับว่าเทพทั้งเจ็ดมายืนอยู่ตรงหน้า
เทพที่ปรากฏกายอยู่ในตอนนี้ได้แก่ เจ้าแห่งแดนฝัน พระแม่ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เทพอนารยะ เทพธิดาแห่งรัตติกาล เทพดาบเพลิง และเจ้าแห่งอสูร
ทั้งเจ็ดต่างเพ่งมองมาที่ซูเฉินเป็นสายตาเดียว
“ซูเฉิน ในที่สุดพวกข้าก็กลับมา และวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!”
กระแสเสียงนั้นดังสนั่นสะท้านจิตวิญญาณของทุกคนจนทำให้เหล่ามนุษย์ตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ซูเฉินกลับหัวเราะ “ในที่สุดก็กล้าแสดงตัวอย่างนั้นหรือ ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าจะสามารถกำจัดพวกข้าได้เพียงเพราะฟื้นฟูพลังจนแข็งแกร่งเต็มที่แล้ว”
เทพอนารยะหลงเก๋อตอบกลับอย่างหยาบโลน “ซูเฉิน เจ้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเทพเจ้าถึงเรียกว่าเทพเจ้า อานุภาพของเทพเจ้าที่แท้จริงนั้นไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะต้านทานได้ เราถูกขังอยู่ในอาณาเขตคุนเพราะสภาพแวดล้อมนั่น แต่ที่นี่…ทุกอย่างมันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!”
ตู้ม!
สิ้นคำ แสงสีทองรอบกายหลงเก๋อก็พุ่งออกมา
เทพอนารยะยื่นมือไปคว้าตัวซูเฉินไว้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโจมตี สีหน้าของซูเฉินก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา
เขาถอนหายใจ
จากนั้นชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นและชี้นิ้วออกไปข้างหน้า
ดัชนีสังหารเทพ!
นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวปะทะเข้ากับกำปั้นของเทพอนารยะ ในตอนแรกนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ในไม่ช้าหมัดเหล็กกล้าของเทพอนารยะก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทันตา
แรงสะท้อนจากการปะทะจากหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เมื่อมองดูเผิน ๆ แล้วดูเหมือนกับไม่ได้มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นเลย
อันที่จริงแล้ว การปะทะกันในครั้งนี้เกิดขึ้นในอีกสถานที่
สิ่งที่แตกสลายไปนั้นเป็นเพียงพลังเท่านั้น แต่อานุภาพและความยิ่งใหญ่ของมันยังคงอยู่
ซูเฉินเก็บมือกลับมาและยังมองไปบุคคลตรงหน้าราวกับไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ เลย ทว่าที่ด้านหลังของชายหนุ่มมีผู้คนจำนวนมากกำลังรวมตัวกันเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าเข้าสมรภูมิ
เทพอนารยะไม่แปลกใจด้วยซ้ำที่การโจมตีของเขาถูกหยุดเอาไว้ได้ “เจ้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วสินะนี่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ให้ข้าจัดการเอง หลงเก๋อ” หนึ่งในเทพเจ้าที่ยืนอยู่ถัดไปกล่าวขึ้น จากนั้นเขาก็ยกมือและปล่อยอสูรกายร่างยักษ์ออกมา
เทพอสูร!
เขาคือเจ้าแห่งอสูร อากู่ซือ เทพผู้สามารถควบคุมอสูรกายได้ ในอดีตนั้นเขาเคยมีเทพอสูรบรรพกาลที่หายากที่สุดอยู่ในครอบครอง ทำให้มีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาเทพเจ้า ซึ่งในตอนนั้นเจ้าแห่งแดนฝันกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ถือว่าเทียบกับเขาไม่ติดเลยสักนิด
แต่หลังจากปราการเทพเจ้าถูกสร้างขึ้น อาณาเขตคุนก็ไม่สามารถให้กำเนิดเทพอสูรบรรพกาลได้อีก จากนั้นเป็นต้นมา เจ้าแห่งอสูรจึงทำได้เพียงพึ่งพาเทพอสูรธรรมดา ๆ ทำให้พลังของเขาเสื่อมลงมาก เจ้าแห่งอสูรกลายมาเป็นหนึ่งในเทพเจ้าระดับล่าง จากที่เคยเป็นเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งในบรรดาเทพเจ้าทั้งเจ็ดที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ ชะตาของเขาตกต่ำที่สุดเลยก็ว่าได้
จนกระทั่งเขาได้รับอิสระกลับมาอีกครั้ง พลังของเจ้าแห่งอสูรก็คืนกลับมาด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นพลังที่แสดงให้เห็นอยู่ในตอนนี้ก็บ่งบอกได้ว่าพลังที่มียังไม่ได้ถูกฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจเป็นเพราะไม่มีอสูรกายขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในดินแดนต้นกำเนิดอีกแล้ว หรือเพราะเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ไม่อนุญาตให้เขาฟื้นฟูพลังกลับมาก็เป็นได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใด เจ้าแห่งอสูรก็ยังเป็นเทพที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาเทพทั้งเจ็ดที่ปรากฏกายในวันนี้
แม้กระนั้นเทพผู้เป็นเจ้าแห่งอสูรทุกตนก็ยังเลือกที่จะเริ่มสงครามด้วยการปล่อยเทพอสูรออกมา
เขาคงแอบจับเทพอสูรนี้จากอาณาเขตคุน ซึ่งแปลว่าเขามีอสูรเพียงตนเดียวสำหรับการต่อสู้ แต่ถึงอย่างนั้นเทพอสูรตนนี้ก็ทรงพลังและน่าทึ่งไม่น้อย
ในอดีตนั้น การล้มเทพอสูรเพียงตนเดียวนั้นต้องใช้พลังของทั้งเผ่ามนุษย์รวมกันเพื่อรับมือ
แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว
ความแตกต่างของอดีตกับปัจจุบันนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
ซูเฉินหันไปมองเทพอสูรและกล่าวอย่างใจเย็น “ข้ารู้สึกแย่แทนเจ้านั่นจริง ๆ เขาอุตส่าห์ไปอยู่ในที่ที่จะรอดชีวิตได้แล้วแท้ ๆ แต่ก็ต้องมาถูกจับเสียอีกจนได้”
การถูกจับโดยเจ้าแห่งอสูรและพามายังทวีปต้นกำเนิดนั้นแปลว่าเทพอสูรได้กลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ของดินแดนต้นกำเนิด หรือก็คือมันจะต้องตายในที่สุดนั่นเอง
“ข้าจะทำให้เจ้าเป็นอิสระเอง” ซูเฉินกล่าวขึ้นเบา ๆ พร้อมกับยกมือขึ้น วางฝ่ามือนั้นลงบนหน้าผากของเทพอสูร ทำให้อสูรร้ายหยุดชะงักไปทันที
แม้แต่เจ้าแห่งอสูรก็มีสีหน้าที่หม่นลงเมื่อเห็นการกระทำของซูเฉิน
เจ้านี่บรรลุไปถึงจุดที่สามารถหยุดเทพอสูรได้ด้วยมือเดียวแล้วหรือนี่
มนุษย์ได้ก้าวผ่านความกลัวที่มีต่อเทพอสูรมาแล้ว และในตอนนี้มนุษย์เพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะเทพอสูรตนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
“แต่เจ้าก็ยังตัวคนเดียวอยู่ดีนั่นล่ะ!” อากู่ซือคำรามพร้อมกับเหวี่ยงแขนออกไปในอากาศ เทพอสูรเริ่มหลั่งไหลออกมาจากแขนเสื้อของเขาราวกับกระแสน้ำ และเทพอสูรที่ซูเฉินหยุดไว้ก็ค่อย ๆ กลับมาก้าวเท้าเดินเข้าหาเขาอีกครั้ง
เจ้าแห่งอสูรสามารถควบคุมอสูรได้ทุกตัวจริง ๆ
“ไม่ได้มีแค่ข้าหรอก” ซูเฉินตอบ
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
หลังจากที่เทพเจ้าเผยกายแล้ว ผู้ฝึกตนคนแล้วคนเล่าก็ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
พวกเขาเรียงรายกันเป็นค่ายกลโดยที่ทุกคนต่างกวัดแกว่งดาบในมืออย่างแข็งขัน
เมื่อฝูงอสูรกายเข้าประชิด ผู้ฝึกตนทั้งหลายก็ฟันดาบในมือออกไปโดยไม่ลังเล
ดาบบินหลายล้านเล่มจ้วงแทงฝูงอสูร
แม้แต่ในอดีต ฝูงอสูรกายล้านตนก็ยังสามารถถูกกำราบได้ด้วยอานุภาพของดาบนิกายไร้ขอบเขต ตั้งแต่นั้นมา ทั้งจำนวนและความแข็งแกร่งของพวกเขาก็มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้น ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายฝูงเล็ก ๆ ฝ่ายอสูรคงพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่สามารถต้านทานกับพวกเขาได้คงมีเพียงเทพอสูรเท่านั้น
หนังของเทพอสูรนั้นทนทานเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะโจมตีกี่ครั้ง อสูรร้ายก็ยังไม่สะท้าน
แต่ถึงอย่างนั้นฝ่ายเทพอสูรก็ไม่สามารถทำอะไรชาวนิกายไร้ขอบเขตได้เช่นกัน
ผู้ฝึกตนมากมายยังปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้า ค่ายกลดาบขยายขนาดใหญ่ขึ้นและทรงพลังมากขึ้นทุกทีจนเกิดเป็นภูเขาดาบที่พร้อมจะถล่มลงใส่เทพอสูรตนนั้น ภูเขาลูกนี้อัดแน่นไปด้วยพลังอมตะ ‘ต้องห้าม’ ที่จะสามารถทำอันตรายเทพอสูรได้อย่างมหาศาล
เทพอสูรร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ว่ามันจะทุรนทุรายเพียงไรก็ไม่สามารถหลุดออกไปจากตาข่ายดาบได้
ดาบมากมายพุ่งเข้าใส่มันราวกับห่าฝน คมดาบตัดผ่านเนื้อหนังของอสูรร่างยักษ์อย่างไม่หยุดหย่อน
ในที่สุดเทพอสูรก็ส่งเสียงร้องสุดท้ายออกมาก่อนจะล้มลงบนพื้น
“ไชโย!” ผู้ฝึกตนชาวมนุษย์ร้องเฮลั่นด้วยความดีใจ
“ลูกข้า!” เทพอสูรที่อากู่ซือพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะจับมาเลี้ยงให้เชื่องจนได้กลับถูกสังหารเสียแล้วในพริบตา ความเจ็บปวดในใจเขานั้นเรียกได้ว่าไม่สามารถพรรณนาออกมาได้เลย
“พวกนั้น…สังหารมันได้เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ” แม้แต่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์กับพระแม่ก็ยังต้องตะลึงกับความแข็งแกร่งของมนุษย์ที่พัฒนาไปไกลจนน่าใจหาย
ในอดีตนั้น แม้กระทั่งชาวปักษาก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามวันเพื่อกำจัดเทพอสูร
จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากเผ่ามนุษย์จึงทำให้ลดเวลาลงไปจนเหลือเพียงครึ่งวัน
ตอนนั้นเองที่เผ่ามนุษย์ระดับสูงทั้งหมดมารวมตัวกัน
ทว่าในตอนนี้ เทพอสูรกลับถูกสังหารภายในเวลาอันน้อยนิดเท่ากับเวลาที่รอน้ำชาได้ที่เท่านั้น
พวกมนุษย์พัฒนาได้เร็วเหลือเกิน
จู่ ๆ พวกเขาก็บรรลุถึงด่านมหาราชันแล้วอย่างนั้นหรือ
อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่จากพลังที่เห็นในตอนนี้แล้วก็คงไม่ได้ต่างอะไรกับการบรรลุด่านมหาราชันมากนัก
วิชาสู่อมตะถูกเผยแพร่ออกไปกว้างไกลแล้ว ณ ตอนนี้
นอกจากนั้น เพราะระบบการฝึกเดิมยังคงถูกใช้อยู่ทั่วไป หลายคนจึงฝึกทั้งสองวิธีไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย
เมื่อผู้ฝึกบรรลุไปจนถึงขั้นหนึ่งในวิชาสู่อมตะแล้ว เส้นทางพลังงานต้นกำเนิดของพวกเขาก็จะกว้างขวางและทนทานมากขึ้น
การใช้วิชาการฝึกสู่อมตะเพื่อเพิ่มพลังนั้นเห็นผลได้ทันตา เพราะการทำลายล้างด้วยพลังอมตะเกิดขึ้นจากภายในสู่ภายนอก พลังทำลายล้างของมันแข็งแกร่งกว่าถึงร้อยเท่า ดังนั้นพลังของนิกายไร้ขอบเขตจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ ในแง่ของพลังในการรบแล้ว ผู้ฝึกตนรุ่นใหม่ในด่านสู่พิสดารและขั้นก่อร่างนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนด่านมหาราชันเลย ทว่าพลังชีวิต ความสามารถในการป้องกัน รวมถึงความทนทานของพวกเขากลับด้อยกว่ามาก ซึ่งข้อบกพร่องเหล่านี้ก็ได้ถูกทดแทนด้วยจำนวนคนไปแล้วนั่นเอง
ที่บนท้องฟ้านั้นยังคงมีผู้ฝึกตนปรากฏกายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าถึงเจ็ดองค์
“พวกท่านทั้งหมดแกร่งขึ้นก็จริง แต่พวกข้าเองก็แกร่งขึ้นเช่นกัน การพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดของเผ่ามนุษย์น่ะไม่สามารถสมบูรณ์ได้หากปราศจากการล้างบาปด้วยโลหิต” ซูเฉินประกาศกร้าว “การต่อสู้ในวันนี้จะถูกตัดสินด้วยเส้นทางที่พวกเราเดิน”
“ไม่มีอุบายอะไรซ่อนอยู่อีกทั้งนั้น วันนี้จะมีเพียงสงคราม การนองเลือด และ… การสังเวยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”
“โจมตี!!!”
สิ้นเสียงตะโกน คลื่นยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากดาบก็พุ่งเข้าใส่เทพทั้งเจ็ดทันที