ตอนที่ 1024 กลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสียเถอะ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บนสังเวียนประลอง สตรีทั้งสองกำลังยืนประจันหน้ากันอย่างเคร่งขรึม

เสียงหารือของทุกคนทำให้สีหน้าของหนิงยวี่ย่วนบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม นอกเหนือจากคนประมาณสิบคนที่ติดตามตนมาจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีผู้ใดสนับสนุนนางแม้แต่คนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น คนของดินแดนมหาเทพก็ไม่คิดรักษาน้ำใจนางเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่งหรือรูปลักษณ์ พวกเขากล่าวแสดงความเห็นอย่างไม่ปรานีจนทำให้แม้แต่หนิงยวี่ย่วนที่เย่อหยิ่งก็ยังทนไม่ไหวและแทบกระอักเลือดออกมา

“ไม่คิดเลยว่าในดินแดนมหาเทพแห่งนี้ เจ้าจะเป็นที่นิยมมากทีเดียว”

หนิงยวี่ย่วนมองฉินอวี้โม่และพยายามรักษาท่าทีให้ดูใจเย็นไว้ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความริษยาเล็กน้อย

“แต่เจ้าน่ารำคาญจริงๆ”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบเพียงสั้น ๆ ทว่าทำให้หนิงยวี่ย่วนแทบกระอักเลือดและเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม

“เหอะ หยุดพูดพล่ามไร้สาระได้แล้ว เจ้าเป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ จากดินแดนมหาเทพ เหตุใดจึงกล้าคิดสู้กับข้าผู้นี้ ! วันนี้ข้าจะเหยียบข้ามหัวเจ้าต่อหน้าคนเหล่านี้และทำให้พวกเขาตระหนักว่าช่องว่างระหว่างมดปลวกอย่างพวกเจ้าและโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีมากเพียงใด !”

หนิงยวี่ย่วนแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวอย่างเย้ยหยัน จากนั้นนางก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไปและพุ่งตรงเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่

ความเร็วของหนิงยวี่ย่วนก็ถือว่ารวดเร็วเป็นอย่างยิ่งและพุ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าฉินอวี้โม่โดยที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันเห็นการเคลื่อนไหวของนางอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ

กระบี่เล่มยาวปรากฏในมือของนางและผสานกับพลังมายาที่แกร่งกล้าขณะจ้วงแทงตรงเข้าไปที่หัวใจของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวมากนักและเพียงขยับมือเล็กน้อยก่อนหอกแหลมที่ก่อตัวจากเพลิงร้อนระอุจะปรากฏขึ้นและขวางการโจมตีของหนิงยวี่ย่วนไว้

ตูมมม !

การโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงจนถอยหลังกระเด็นกลับไปหลายก้าว

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ถอยหลังออกไปเพียงห้าก้าวเท่านั้น ในขณะที่หนิงยวี่ย่วนถอยออกไปมากกว่าสิบก้าวก่อนจะทรงตัวได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?!”

หนิงยวี่ย่วนไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะสามารถผลักตนจนกระเด็นออกไปได้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าฉินอวี้โม่ พลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดอยู่เหนือกว่าขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางถึงสองขั้นด้วยกันและโดยหลักการแล้วฉินอวี้โม่ไม่ควรจะเป็นคู่มือของนางด้วยซ้ำ

“อ่อนแอชะมัด…”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างไม่แยแสนัก แม้พลังภายนอกของอีกฝ่ายจะบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด ทว่าความแข็งแกร่งของหนิงยวี่ย่วนก็ไม่ได้มากเท่าที่นางจินตนาการไว้ ฝีมือในการต่อสู้ของสตรีผู้นี้ยังเทียบกับฮวาหรงไม่ได้ด้วยซ้ำ

โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีส่วนช่วยในการเพิ่มความเร็วการฝึกยุทธ์ของนางก็จริง ทว่าในเมื่อยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่มากพอ หนิงยวี่ย่วนก็ไม่สามารถใช้พลังที่มีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

“เจ้าว่ายังไงนะ ?!”

หนิงยวี่ย่วนเดือดดาลทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และพุ่งตรงเข้าจู่โจมฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

ฉินอวี้โม่ไม่หลบหลีกเช่นเดิมและทั้งสองปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่กันหลายสิบกระบวนท่าภายในเวลาเพียงไม่นาน

ทว่าในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป หนิงยวี่ย่วนก็เริ่มหวั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีนางคิดว่าจะตนจะถือไพ่เหนือกว่า คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะตรงกันข้ามเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ไม่มากเท่านางด้วยซ้ำ ทว่าความสามารถในการต่อสู้กลับเกินความคาดหมายของนางไปมาก การโจมตีหลายสิบกระบวนท่าก่อนหน้านี้ทำให้มือของหนิงยวี่ย่วนเริ่มชาเล็กน้อย เวลานี้นางตระหนักแล้วว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่านางมากนัก

“เชื่องช้า เผยช่องโหว่ มีการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์มากเกินไป เสียเวลาชะมัด”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ หนิงยวี่ย่วนมีความแข็งแกร่งถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดทว่าไม่สามารถใช้พลังของตนเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยซ้ำ คุณหนูตระกูลหนิงผู้นี้ช่างน่าขันเสียจริง

“บัดซบ !”

หนิงยวี่ย่วนตะโกนกร้าวด้วยความไม่พอใจขณะดึงกระบี่ยาวกลับมาและพลังมายารอบ ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาหาตัวนางโดยที่แอบแฝงไปด้วยคลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัว

“ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นทักษะยุทธ์ที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด !”

นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะพลังมายาหนาแน่นก่อตัวกลายเป็นกระบี่ยาวส่องแสงตรงหน้า เมื่อโบกมือเบา ๆ กระบี่ส่องแสงดังกล่าวก็พุ่งตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใด ๆ กระบี่เล่มยาวก่อตัวตรงหน้านางเช่นกันและมันคือกระบี่ยักษ์ทลายปฐพี

เรียกได้ว่าทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหนิงยวี่ย่วนมีความคล้ายคลึงกับกระบี่ยักษ์ทลายปฐพีของฉินอวี้โม่อยู่สมควร

ตูมมม !

กระบี่ยาวของทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศอย่างแรงจนเกินเสียงดังสนั่นและแสงสว่างส่องไปทั่วบริเวณจนทุกคนต้องหรี่ตาลงชั่วคราว

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ปล่อยเปลวเพลิงออกมาเพื่อควบแน่นกลายเป็นโล่ตรงหน้าเพื่อป้องกันคลื่นพลังงานที่อาจจะกวาดออกมาจากการปะทะนี้ได้

มุมปากของหนิงยวี่ย่วนยกยิ้มอย่างเย็นชา นางไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะสามารถต้านทานตนได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่เตรียมการป้องกันใด ๆไว้

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป กระบี่ยาวของทั้งสองก็สลายหายไปกลางอากาศพร้อมกันและคลื่นพลังงานที่เหลือกระจายเข้าหาฉินอวี้โม่และหนิงยวี่ย่วน

เนื่องจากเตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว ฉินอวี้โม่จึงเพียงโบกมือเล็กน้อยเพื่อขัดขวางพลังนั้นได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใด ในทางตรงกันข้าม หนิงยวี่ย่วนถูกคลื่นพลังงานที่หลงเหลือเหล่านี้กระแทกเข้าอย่างจังและกระเด็นออกจากสังเวียนอย่างน่าอายก่อนกระอักเลือดออกมา

“เป็นไปไม่ได้…นี่มันเป็นไปไม่ได้ !”

นางพยายามพยุงตัวลุกขึ้นขณะมองฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยืนอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนส่ายศีรษะอย่างแรงและรับไม่ได้กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

“เหอะ นึกว่าคนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีดีมากกว่านี้ !”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง

“ข้ายังไม่ยอมแพ้ !”

หนิงยวี่ย่วนกัดฟันกรอดและพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่อีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมแพ้

ฉินอวี้โม่เพียงยกเท้าขึ้นเล็กน้อยและเตะนางกระเด็นออกไปจนกระอักเลือดคำโตกลางอากาศและร่วงลงกระแทกพื้นอีกครั้ง

“ริอาจทำร้ายคุณหนูของพวกเรา เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”

สีหน้าของคณะผู้ติดตามจากตระกูลหนิงเปลี่ยนไปทั้งหมด หากผู้นำตระกูลทราบว่าหนิงยวี่ย่วนตกอยู่ในสภาพที่น่าอัปยศอดสูเช่นนี้ในดินแดนมหาเทพ เขาจะต้องลงโทษพวกเขาอย่างหนักเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องหาทางตอบโต้ฉินอวี้โม่ให้ได้

หนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าและจู่โจมฉินอวี้โม่พร้อมแผ่แรงกดดันทรงพลังออกไป ความแข็งแกร่งของเขาเหนือยิ่งกว่าหนิงยวี่ย่วนเสียอีก

แรงกดดันอันทรงพลังแผ่ไปทั่วอากาศส่งผลให้ทุกคนขยับเขยื้อนไม่ได้ไปชั่วขณะ แม้แต่บุคคลทรงพลังจากสามสำนักและเก้านิกายก็ยังได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน

เมื่อฝ่ามือพลังมายาของบุรุษผู้นั้นกำลังจะกระทบถึงร่างของฉินอวี้โม่ เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคน

“โอ้ พวกเจ้าคนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ช่างมีเกียรติยศศักดิ์ศรีกันจริง ๆ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเยาว์สองคน ทว่าตาเฒ่าอย่างเจ้ากลับต้องการจะรังแกสตรีเยาว์วัยของดินแดนมหาเทพของเรา ช่างมีใบหน้าที่ด้านหนายิ่งนัก !”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเย้ยหยันอย่างชัดเจนและฝ่ามือพลังมายากลางอากาศก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เวลานี้เกิดคลื่นความผันผวนที่รุนแรงขึ้นมาในอากาศและบุรุษชราผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่

“นั่นมันผู้อาวุโสสูงสุด !”

คนของตระกูลหลานโพล่งออกไปเป็นเสียงเดียวกันเนื่องจากพวกเขารู้จักบุรุษชราผู้มาใหม่เป็นอย่างดี เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลานซึ่งเป็นคนที่ลึกลับและแข็งแกร่งมากที่สุดในตระกูล โดยปกติแล้วเขาจะไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นบ่อยครั้งนัก อย่างไรก็ตาม ภายในตระกูลหลาน ทุกคนทราบดีว่าสถานะของเขาสูงยิ่งกว่าผู้นำตระกูลเสียอีก

“คารวะท่านปู่”

หลานเผิงเหาะออกจากห้องแยกและปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวอย่างนอบน้อม

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่เห็นเจ้ามานานกว่าสิบปี หลานเอ๋ย เจ้าเติบโตขึ้นมากจริง ๆ”

บุรุษชราลูบศีรษะหลานเผิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข

นับตั้งแต่หลานเผิงเกิดมา บุรุษชราได้พบเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและหลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย สถานที่ฝึกยุทธ์ของเขาก็อยู่ในลานด้านหลังของโรงประมูลแห่งนี้ ทว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงเรื่องนี้มาก่อน และเนื่องจากสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังเมื่อครู่ เขาจึงอดที่จะเข้ามาดูสถานการณ์ด้วยตัวเองไม่ได้

โดยปกติแล้วโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และดินแดนมหาเทพจะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงกันและกัน ทว่าคนของตระกูลหนิงจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาที่งานประมูลของตระกูลหลานและอวดอ้างบารมีกันเช่นนี้ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการละเมิดกฎข้อห้ามแล้วและเขาสามารถจัดการได้ตามที่เห็นสมควร

ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลานปรากฏตัว สีหน้าของคณะติดตามจากตระกูลหนิงก็เหยเกบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าที่นี่จะมีผู้ที่แข็งแกร่งในระดับนี้อยู่ แม้ด้วยพลังของพวกเขา มันก็ไม่เพียงพอที่จะเทียบชั้นผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้ได้

“กลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าเสีย !”

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นและแรงกดดันรุนแรงแผ่ตรงไปกดข่มทุกคนจากตระกูลหนิงทันที