ตอนที่ 2309 เรื่องแบบนี้มีจริงหรือ?

อัจฉริยะสมองเพชร

“จอมราชันย์ คุณสร้างปราการปิดกั้นรอบบ้านหลังนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เจตจำนงสวรรค์เข้ามาแอบฟังได้ไหม?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนร้องขอ

“ได้สิ!” ไก่น้อยพยักหน้า

มันโบกมือและใช้พละกำลังสร้างปราการปิดกั้นไว้รอบบ้าน แยกพื้นที่นี้ออกจากส่วนอื่นของโลก

จากนั้น นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนก็หันมามองจางเซวียน

จางเซวียนเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เขาพยักหน้า “ผมจะพยายาม”

ลำพังแค่ปิดกั้นบ้านหลังนี้จากสรวงสวรรค์ย่อมไม่เพียงพอ เพราะจางเซวียนมีเศษเสี้ยวสวรรค์อยู่กับตัว ที่ไหนก็ตามที่มีหอสมุดเทียบฟ้า สวรรค์ก็ย่อมเข้าถึงได้

เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันจากการที่สวรรค์เล่นงานสมาคมผู้หยั่งรู้ได้แม้คนที่นั่นจะวางมาตรการต่างๆไว้มากมาย

จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณและใช้มันห่อหุ้มหอสมุดเทียบฟ้า ปิดกั้นมันไว้

หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องแบบนี้อาจเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธระดับจอมราชันย์แล้ว ก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้ไม่ยาก

“เอาล่ะ เรียบร้อย” จางเซวียนพูด

เมื่อเห็นทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนจับจ้องจางเซวียนก่อนจะตั้งคำถาม “ปรมาจารย์จาง คุณเคยได้ยินไหมว่าท่านอาจารย์ของพวกเราฝึกฝนเทคนิคที่เรียกว่า…การบั่นทอนสามร่าง?”

จางเซวียนส่ายหัว “ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลย”

“คุณไม่เคยได้ยินเรื่องนั้น?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนออกจะประหลาดใจกับคำตอบ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามต่อ “ปรมาจารย์จาง ในมิติเบื้องบน, คุณได้พบกับตัวโคลนของท่านอาจารย์ของเราใช่ไหม? แล้วรู้หรือเปล่าว่าความแตกต่างระหว่างท่านอาจารย์กับตัวโคลนของเขาคืออะไร?”

“ความแตกต่าง?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “บอกตามตรงนะ ผมแยกไม่ออกตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือจิตวิญญาณ คงต้องบอกว่าความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างทั้งคู่คือนิสัยใจคอ…”

การที่เขาถูกตัวโคลนของปรมาจารย์ขงล่อลวงในครั้งนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล

ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพยายามฆ่าเขา จางเซวียนก็คงหลงกลกับการตบตาของหมอนั่นไปแล้ว

“มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิ่งแปดเปื้อนภายใน พวกเขาผ่านการเกิดแก่เจ็บตายและความทุกข์ทรมานต่างๆนานา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความปรารถนา ความอิจฉาริษยา ตัณหา ความโลภ และอารมณ์ต่างๆที่เข้าเกาะกุมจิตใจ ทำให้พวกเขาถูกผสมปนเปไปกับสิ่งเหล่านั้น” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย

จางเซวียนพยักหน้า

ไม่มีมนุษย์คนไหนไร้ความปรารถนา แม้นักบุญที่มีความเห็นแก่ตัวน้อยที่สุดก็ยังพบว่าการกำจัดความปรารถนาของพวกเขาเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

จางเซวียนเองก็มีความปรารถนามากมาย เขาโหยหาความรักและอยากเป็นที่รัก อยากได้รับความเข้าอกเข้าใจ อยากกินอาหารอร่อย และอยากเป็นนักรบที่เข้มแข็ง…

สิ่งเหล่านั้นคือความปรารถนาอันทรงพลังที่ขับเคลื่อนเขา

“การบั่นทอนสามร่างคือเทคนิคที่ใช้ตัดทอนสิ่งแปดเปื้อนและเจตจำนงอธรรมที่ไม่จำเป็นของแต่ละคนออกไป คืนความบริสุทธิ์ให้จิตใจและร่างกายของผู้นั้น” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตอบ

จางเซวียนตัวแข็งเมื่อได้ฟัง

เรื่องแบบนี้มีจริงหรือ?

ถ้าเป็นความจริง ก็ถือว่าเทคนิคนี้ไร้เทียมทานในระดับที่เรียกว่าแสนจะน่าสะพรึง!

“พวกเราก็ฝึกฝนเทคนิคนี้เช่นกันเมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เราใช้เทคนิคบั่นทอนสามร่างเพื่อปิดกั้นเส้นทางระหว่างมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ไว้” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูดต่อ

“ผมเข้าใจแล้ว! เป็นร่างของพวกคุณนี่เอง…” จางเซวียนพยักหน้า

เขาเคยสงสัยว่าทำไมนักปราชญ์โบราณเหล่านี้จึงยังอยู่ที่นี่ทั้งที่เขาได้เห็นศพของคนเหล่านั้นในทวีปแห่งปรมาจารย์ กลับกลายเป็นว่า…มันคือผลข้างเคียงของเทคนิคที่พวกเขาฝึกฝนนี่เอง!

ร่างที่ถูกตัดออกมาจะไม่แตกต่างอะไรกับร่างต้นแบบ ถึงขนาดที่เรียกว่าแทบแยกไม่ออก

มันเหมือนกันถึงขนาดที่ตบตาได้แม้แต่สวรรค์!

“ใช่ เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ท่านอาจารย์ของเราบั่นทอนร่างธรรมะ แล้วหลอมมันให้กลายเป็นมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ในมิติเบื้องบน…เขาบั่นทอนร่างอธรรมและกักขังมันไว้ในหอนิรันดร์ ซึ่งก็กลายเป็นตัวโคลนที่คุณได้พบ และถ้าผมเข้าใจไม่ผิด…เขายืมมือจอมราชันย์หลินชีเพื่อบั่นทอนร่างอัตตาของเขา” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย

“ร่างธรรมะ, ร่างอธรรม และร่างอัตตา?”

“มีแต่การขจัดแนวคิดเรื่องความดีความชั่วออกไปและก้าวข้ามตัวตนของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้อยู่เหนือการผสมผสานกันของสิ่งแปดเปื้อนภายในได้” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย “ท่านอาจารย์ของพวกเราถือกำเนิดมาพร้อมเศษเสี้ยวสวรรค์ ซึ่งทุกครั้งที่เขาใช้มัน พลังงานสีเทาเสี้ยวหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ในร่างของเขา พลังงานสีเทานี้จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายและจิตวิญญาณ ทำให้ไม่อาจกำจัดมันได้ ท่านอาจารย์จึงคิดค้นเทคนิคบั่นทอนสามร่างขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยตัวเขาให้พ้นจากพลังงานสีเทาและได้พบกับอิสระที่แท้จริง!”

“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า

นั่นอธิบายได้เลยว่าทำไมปรมาจารย์ขงถึงยังสุขุมเยือกเย็นตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้

ด้วยการใช้พละกำลังของหลัวลั่วชิงมาบั่นทอนร่างอัตตาของเขา ปรมาจารย์ขงจะสามารถละทิ้งทุกอย่างที่เคยยึดถือไว้ได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือเขาจะเป็นอิสระจากชะตากรรมที่สวรรค์ขีดไว้ ทำให้พบกับความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

สมกับที่เป็นครูบาอาจารย์ของโลก การกระทำทุกอย่างของเขาล้วนเฉียบขาดและจัดการทุกสิ่งได้อยู่หมัด

จางเซวียนสำรวจร่างกายของเขาและพบว่าพลังงานสีเทาที่อยู่ในนั้นเพิ่มปริมาณขึ้นเล็กน้อย มันฝังลึกอยู่ในกายเนื้อและจิตวิญญาณ ทำให้ไม่อาจกำจัดมันได้

แม้มีเวทนาสวรรค์ จางเซวียนก็ทำอะไรพลังงานสีเทาที่อยู่ในตัวเขาไม่ได้เลย

“ในการจะสำเร็จเทคนิคบั่นทอนสามร่าง ผู้นั้นจะต้องตบตาสวรรค์ให้ได้ก่อน ด้วยเหตุนี้ นอกจากท่านอาจารย์และพวกเราไม่กี่คน ก็ไม่มีใครรู้จักเทคนิคนี้ ท่านอาจารย์ไม่เคยถ่ายทอดมันให้คนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่เทคนิคนี้ถูกใช้ สวรรค์จะแก้ไขข้อบกพร่องของมันโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่อาจใช้ได้เป็นครั้งที่สอง น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ท่านอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดให้คุณ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนอธิบาย

จางเซวียนพยักหน้า

ในฐานะผู้ครอบครองเศษเสี้ยวสวรรค์ เขาพอเข้าใจ

เพื่อให้เป็นอิสระจากพันธนาการสวรรค์ ผู้นั้นจะต้องเรียนรู้วิธีตบตาสวรรค์ให้ได้เสียก่อน

ในท้ายที่สุด จางเซวียนคงหาวิธีปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการสวรรค์ได้เช่นกัน แต่คงใช้วิธีของปรมาจารย์ขงไม่ได้

เพราะถึงอย่างไร หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปรมาจารย์ขง สวรรค์จะต้องระแวดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งที่สอง หากเขาดันทุรังทำไป ก็อาจลงเอยด้วยการถูกสวรรค์ขัดขวาง

“ปรมาจารย์จาง ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ของเราได้เล่าเรื่องของคุณให้พวกเราฟังแล้ว เขาบอกว่าคุณก็ไม่ต่างจากเขา คือต้องหาวิธีหลุดพ้นจากสวรรค์ให้ได้เช่นกัน แม้จะเป็นคนละเส้นทางกับที่เขาเลือก แต่ก็ดูเหมือนทั้งท่านอาจารย์และจอมราชันย์หลินชีได้แผ้วทางเส้นทางไว้ให้คุณแล้ว” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด

“แผ้วถางเส้นทางให้ผม?” จางเซวียนประหลาดใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังเรื่องแบบนี้

“ท่านอาจารย์ไม่ได้บอกพวกเราว่าจอมราชันย์หลินชีมีแผนการอย่างไร แต่ผมพอรู้สิ่งที่ท่านอาจารย์ตั้งใจทิ้งไว้ให้คุณ อันดับแรก, จอมราชันย์อมตะคือสิ่งหนึ่งที่เขาเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะ” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด

“ฮะ…” จางเซวียนถึงกับชะงัก

เขาเองก็เคยใคร่ครวญเรื่องนี้ ถ้าไก่น้อยถูกส่งมายังทวีปแห่งปรมาจารย์พร้อมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหลังจากที่มันเสียชีวิต มันก็น่าจะยังอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแทนที่จะอยู่ในสันเขาของทวีปแห่งปรมาจารย์

ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะคิดถูก มันคือการกระทำด้วยความตั้งใจของปรมาจารย์ขง แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจงใจจัดเตรียมไว้ให้

เมื่อคิดดูให้ดี คุณสมบัติเฉพาะของไก่น้อยก็คือความสามารถในการฟื้นคืนชีพจากความตาย ซึ่งหลังจากที่จางเซวียนได้ซึมซับเลือดของไก่น้อยที่ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง เขาก็ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของความสามารถในการฟื้นคืนชีพมาเช่นกัน

ถ้าเขาต้องเสียชีวิตด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป

เพียงแต่…

ฟื้นคืนชีพแล้ว…จะเป็นอย่างไรต่อ?

มีความเป็นไปได้สูงที่จิตใต้สำนึกอีกดวงหนึ่งจะเกิดขึ้นในตัวเขา และเขาจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเดิม

ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่ตัวโคลนที่เกิดจากจิตวิญญาณดวงเดียวกับเขาก็ยังมีนิสัยปากกล้าคุยโว แตกต่างราวฟ้ากับเหวกับตัวเขาที่สมถะและนอบน้อมถ่อมตัว

พูดอีกอย่างก็คือ เพียงเพราะคน 2 คนถือกำเนิดจากจิตวิญญาณดวงเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะเหมือนกันเป๊ะในทุกด้าน จิตใต้สำนึกอาจแตกต่างกันได้มากมายจนกลายเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว

สิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้อาจเป็นเครื่องรับประกันได้ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาสติสัมปชัญญะและจิตใต้สำนึกเดิมไว้ได้หรือเปล่า

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วสิ่งที่หลัวลั่วชิงเตรียมไว้ให้เขาคืออะไร?

จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดหนัก

2 สิ่งปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขา

อย่างแรกคือเครื่องรางแห่งการปลอมตัว ที่ทำให้ปรับเปลี่ยนได้แม้แต่สายเลือด

มันคือของล้ำค่าที่มีอานุภาพไร้เทียมทานกว่าที่เขาคิดไว้มาก ตบตาได้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่มันก็ดูจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสวรรค์เลย

ถ้าอย่างนั้น จี้สีแดงก่ำล่ะ?

มีเลือดหยดหนึ่งอยู่ภายในจี้ ซึ่งมีพละกำลังและอำนาจที่แม้แต่เขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้

จี้อันนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันมีอานุภาพเรียกคืนความสงบสุขุมกลับสู่จิตใต้สำนึกของเขาได้เมื่อหัวสมองของเขาเกิดความยุ่งเหยิงปั่นป่วน

ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นก็คือเมื่อจางเซวียนรู้ว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดไว้หลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน เรื่องนั้นเกือบทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่จี้อันนี้ช่วยระงับความสับสนปั่นป่วนในหัวสมองของเขา

ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อจางเซวียนเกิดความแคลงใจในเวทนาสวรรค์ ซึ่งก็เพิ่งไม่นานมานี้

จี้อันนี้ช่วยปลุกสติสัมปชัญญะของเขาเอาไว้ถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาคับขัน ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่ามันจะช่วยเรียกคืนจิตใต้สำนึกและสติสัมปชัญญะเดิมของเขากลับมาได้เมื่อเขาฟื้นจากความตาย?

แต่นั่นก็ดูไม่สมเหตุสมผล

เพราะหลัวลั่วชิงคือผู้มอบจี้อันนี้ให้เขา ซึ่งถ้าเธอรู้ความจริงข้อนี้ จะยังต้องกังวลอะไร?

ถ้าเขากับเธอสามารถเอาชีวิตรอดจากสงครามสวรรค์ได้ด้วยสิ่งนี้ ทุกอย่างก็ย่อมดี…ไม่ใช่หรือ?