ข้อผิดพลาด…บั๊ก…นี่คือแก่นแท้ของเส้นทางนักจารกรรม? ขณะไคลน์ตกตะลึงมันยืนยันได้หนึ่งสิ่ง
นั่นคือเรื่องที่เทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ และบิดาของอามุนด์ เป็นคนจากโลกเก่า
คำที่อามุนด์เพิ่งพูดเมื่อครู่คือภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน!
สหายร่วมโลกเอ๋ย ลูกชายสองคนของนายทำให้ฉันต้องทุกข์ระทม…เรียบร้อยเหมือนแบร์นาแดตไม่ได้รึไง…ไคลน์รำพันจิกกัดก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“คิดจะใช้…ช่องโหว่…จากโลกความฝัน?”
ไคลน์ยับยั้งชั่งใจไม่ให้พูดคำว่า ‘บั๊ก’ ออกไป อามุนด์จะได้ไม่สงสัยเรื่องที่ตนชำนาญภาษาอังกฤษ เพราะนั่นจะเป็นการเผยไพ่ตายโดยเปล่าประโยชน์
การเผชิญหน้ากับราชาเทวทูตที่ยึดครองร่างในเชิงลึกและสามารถขโมยความคิด ไพ่ตายของชายหนุ่มมีเพียงไม่กี่ใบ จำเป็นต้องเลือกใช้ทุกใบให้เกิดประโยชน์สูงสุด บางทีอาจมีสักใบที่ช่วยพลิกสถานการณ์
ขณะเดียวกัน อามุนด์เดินไปทางอารามสีดำ
ในท่ามือล้วงกระเป๋าหนึ่งข้าง ประตูบานใหญ่เปิดออกด้วยตัวเองโดยที่อามุนด์ยังมิได้เคลื่อนไหว ประหนึ่งต้อนรับการมาเยือนของแขกผู้มีเกียรติ
“จะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่การลงมือจริงจะซับซ้อนกว่าพอสมควร” อามุนด์มิได้แสดงมาดอันน่าเกรงขามของผู้เย้ยเทพ เพียงตอบคำถามไคลน์ด้วยท่าทีผ่อนคลาย “โลกความฝันแห่งนี้ไม่มีข้อผิดพลาด หรือที่เรียกว่าช่องโหว่…แต่เนื่องจากที่นี่มีพลังเทพลงเหลือเป็นจำนวนมาก ในบางจุดจะโกลาหลเป็นพิเศษ และข้าสามารถใช้ความโกลาหลดังกล่าวเพื่อสร้างช่องโหว่”
เมื่อประตูบานใหญ่เปิดกว้าง อามุนด์จับแว่นบนตาขวาและเดินผ่านเข้าไปในห้องโถง ตรงลึกเข้าไปข้างใน
ระหว่างทางมันยิ้มและอธิบายเพิ่มเติม
“เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าอารามแห่งนี้ถูกสร้างจากความฝันที่ซ้อนทับ”
“อา…ความฝันของสิ่งมีชีวิตมากมายภายในซากสมรภูมิแห่งเทพ” ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเสริม “และบางทีอาจเป็นเศษซากความฝันจากอดีตที่ยังหลงเหลือ”
ทันใดนั้นหนึ่งมนุษย์หนึ่งเทวทูตเดินมาถึงบันไดสีดำที่คดเคี้ยว แสงสนธยาส่องลอดผ่านกระจกหน้าต่างซึ่งอยู่ลอยสูง มอบความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์อย่างเอ่อล้น
อามุนด์สัมผัสกะโหลกมนุษย์บนราวบันได แสยะยิ้มพลางมองไปรอบตัว
“ตามปรกติแล้ว สถานที่ที่ลืมตาตื่นในโลกความฝัน คือตำแหน่งสุดท้ายก่อนจะลืมตาตื่นบนโลกความจริง ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นความฝันของสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันบนทะเลหรือไม่”
เนื่องจากมิอาจพยักหน้า ไคลน์ทำได้เพียงส่งเสียงเห็นด้วย
“ใช่”
“แต่หากอาศัยช่องโหว่ ข้าสามารถสลับโลกความฝันและตื่นขึ้นในตำแหน่งเดียวกันได้…หึหึ…เห็นได้ชัดว่าอารามหลังนี้มีขนาดเล็กกว่าซากปรักหักพังด้านนอกมาก แถมโครงสร้างก็ยังกระชับกว่า บางทีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า พวกเราคงไปถึงจุดหมาย” อามุนด์กล่าวเจือความสุข
สำหรับมันการฉกฉวยผลประโยชน์จากช่วงโหว่คือสิ่งที่สร้างความสุขได้เสมอ
…นี่มัน…อามุนด์มีวิธีเดินทางผ่านซากสมรภูมิเทพโดยไม่ต้องล่องเรือ…อย่าว่าแต่สองสัปดาห์ แค่สองชั่วโมงก็อาจจะไม่ถึง…ความหวังไคลน์ดับสลายในพริบตา
ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า การที่อามุนด์จงใจอธิบายให้ฟัง เป็นเพราะอยากเห็นเหยื่อเกิดความหวังและบดขยี้ทิ้งหนแล้วหนเล่า หรือความจริงแล้วมิได้แยแสเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เลย เพียงแค่อยากระบายความสุขที่กำลังล้นปรี่
“คุณกำลังจะเข้าไปในความฝันที่เป็นแก่นสำคัญของโลกมายาใบนี้?”
มันไม่ลืมเรื่องที่ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต เคยกล่าวว่าเธอไม่กล้าเข้าไปยังหลังบานประตูไม้สีดำในส่วนลึกสุดของอาราม
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเรา” อามุนด์ตอบพลางยิ้ม
คล้ายกับมันจดจำบางสิ่งได้ อามุนด์ยกมือขึ้นจับกรอบแว่นตาขาเดียวและถามด้วยสีหน้าสนใจ
“ทำไมหุ่นเชิดของเจ้าถึงพกแว่นตาขาเดียว? ข้าไม่ต้องใช้ของตัวเองด้วยซ้ำ”
“…” ไคลน์กระอักกระอ่วนไปสักพัก หลังจากครุ่นคิดมันตัดสินใจตอบเถรตรง “เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อที่จะย่อยโอสถจอมเวทพิสดาร ผมจงใจสวมแว่นตาขาเดียวต่อหน้าวิญญาณมารเทวทูตสีชาด”
อามุนด์ที่กำลังย่างกรายลงบันได ชะงักฝีเท้าพลางชำเลืองกลับมามองไคลน์และตอบอย่างอารมณ์ดี
“เข้าใจคิดนี่”
เทวทูตกาลเวลากล่าวต่อไป
“ไม่น่าเชื่อว่าสหายเมดีซีคนนั้นยังไม่ตาย…คราวหน้าที่พบกัน ข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าและสวมแว่นตาอีกครั้ง”
เซารอนไอน์ฮอร์นเมดีซีผู้น่าสงสาร…อามุนด์ก็เหมือนกัน เป็นถึงราชาเทวทูตแต่ทำไมถึงไม่สำรวมเลยสักนิด…นี่สินะเทพแห่งการกลั่นแกล้ง…ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อนหมดคำจะกล่าวไปสักพัก
อามุนด์กดแว่นพลางถาม
“เจ้าสวมแว่นที่ตาซ้ายใช่ไหม”
“รู้ได้ยังไง…” ไคลน์พลันผงะ คิดว่าอามุนด์ขโมยฉากดังกล่าวออกจากหมอกแห่งประวัติศาสตร์
“ข้ารู้ได้ยังไง?” อามุนด์แสยะยิ้ม “นั่นสินะ…มีความเป็นไปได้อยู่สองทาง ความเป็นไปได้แรก เป็นเพราะเจ้ายังมีลำดับต่ำ จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเมดีซี ย่อมเกรงว่าหากการกลั่นแกล้งสมจริงเกินไป เมดีซีจะบุ่มบ่ามโจมตีกลับมาจนไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ…ความเป็นไปได้ที่สอง หากเจ้าเลียนแบบข้าอย่างถูกต้อง ข้าสามารถหยั่งถึงเรื่องนี้ผ่านกระแสแห่งชะตากรรม และเนื่องจากข้าสัมผัสไม่ถึงย่อมแปลว่าเจ้าสวมแว่นผิดข้าง…คิดว่าเป็นแบบไหนล่ะ?”
…ขอเชื่อในความเป็นไปได้ที่อันตรายที่สุดก็แล้วกัน ไม่ว่านั่นจะจริงหรือเท็จก็ตาม…ด้วยวิธีนี้เราจะได้มีสติตื่นตัวและคอยระมัดระวังเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต…แต่แน่นอนว่าเราต้องมีอนาคตเสียก่อน…เป็นเพราะอามุนด์ไม่เคยเผยจิตสังหารให้เห็น ไคลน์จึงผ่อนคลายตัวเองโดยไม่รู้ตัว คิดว่าอีกฝ่ายเป็นราชาเทวทูตที่รับมือได้ง่าย แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด ชายหนุ่มพึ่งตระหนักว่านี่แหละคือสันดานของนักต้มตุ๋นชั้นเซียน!
“แบบที่สอง” ไคลน์มอบคำตอบ
อามุนด์ไม่เฉลย เพียงเดินลงไปยังชั้นล่างสุดของบันไดอารามและหยุดลงตรงหน้าประตูไม้สีดำที่เต็มไปด้วยลวดลายประหลาด
“ผมเคยมาที่นี่แล้ว เมื่อเปิดประตูบานนี้ออก พลังจากด้านในจะทำลายโลกแห่งความฝันทั้งหมด” ไคลน์กล่าวด้วยความกระตือรือร้น หวังล้วงข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติมจากอามุนด์
อามุนด์จับราวบันได ใบหน้าผอมเพรียวของมันเปล่งเสียงอย่างไร้อารมณ์
“นี่คือความฝันสุดท้ายของบิดา…ตำแหน่งที่สอดคล้องกันคือจุดที่ท่านร่วงหล่น”
…ซากสมรภูมิแห่งเทพคือสนามรบที่กุหลาบไถ่บาปล้อมโจมตีเทพสุริยันบรรพกาล จนกลายเป็นต้นกำเนิดของมหาภัยพิบัติ? จิตไคลน์เริ่มตึงเครียด กระแสความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในใจ
สำหรับคำตอบของคำถามข้างต้น เมื่อเข้าใจโครงสร้างของกุหลาบไถ่บาปและวิเคราะห์ความผิดปรกติของซากสมรภูมิเทพ ไคลน์ก็พอจะเดาได้อย่างคลุมเครือ จึงไม่เผยอาการตกตะลึงมากนัก ขณะเดียวกันโอสถปราชญ์โบราณก็ย่อยไปเล็กน้อย
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน
นี่คือการเข้าใกล้เทพสุริยันบรรพกาลมากที่สุดของตน
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เคยเห็นผ่านฉากทำนายฝัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันทั้งเวลาและสถานที่
ทั้งเทพสุริยันบรรพกาลและจักรพรรดิโรซายล์ต่างก็เป็นตัวเอกในยุคสมัยของตน แต่กลับต้องมีจุดจบที่น่าสังเวชทั้งคู่…โรซายล์ยังพอมีวิธีคืนชีพ แต่เราไม่ทราบว่าพระผู้สร้างได้เตรียมบางสิ่งที่คล้ายกันไว้หรือไม่… เทวทูตมืด ซาสเรีย? พระผู้สร้างแท้จริง? ขณะความคิดไคลน์ผสมปนเป อามุนด์เปิดประตูไม้สีดำที่เต็มไปด้วยลวดลาย
ด้านในเป็นทะเลที่ผิวสะท้อนกับแสงแดดจนเกิดประกาย ในระลอกคลื่นคล้ายกับมีทองเหลวซ่อนอยู่
สำหรับคราวก่อนไคลน์เคยฉงนว่าสีทองเหล่านี้สื่อถึงสิ่งใด แต่ปัจจุบันเริ่มเดาออก
เลือดของเทพสุริยันบรรพกาล!
ก่อนที่จะเสียชีวิตมันถูกเทพธิดารัตติกาลส่งเข้าสู่ความฝัน เป็นความฝันที่ตัวเองถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเลือดกระจัดกระจาย
ครืน!
ทันทีที่บานประตูไม้สีดำถูกเปิดออกจนสุด ออร่าอันท่วมท้นพลันพรั่งพรูเข้ามาด้านใน ส่งผลให้อารามทั้งหลังเกิดการสั่นสะเทือนหนักหน่วง ประหนึ่งกำลังเผชิญแผ่นดินไหวที่สามารถทำลายโลก
ท่ามกลางฝุ่นควันฟุ้งกระจายและซากหินถล่ม อามุนด์กับไคลน์เดินผ่านประตูไม้เข้าไปในทะเลสีทอง
ไคลน์ตระหนักได้ทันทีว่าร่างวิญญาณของตนกำลังละลาย ดวงวิญญาณกำลังระเหยอีกแค่ไม่กี่วินาที มันจะสลายตัวกลายเป็นอาหารสำหรับดินแดนความฝันแห่งนี้
ขณะเดียวกันบนผิวกระจกของแว่นตาขาเดียวที่อามุนด์สวม แสงสีขาวบริสุทธิ์พรั่งพรูออกมาจนโลกแห่งความฝันแตกสลาย
มันคืนกลางวันที่ขโมยมาให้กับซากสมรภูมิเทพ เปลี่ยนให้กลางคืนกลับเป็นกลางวันอีกครั้งในพริบตา!
พร้อมกันนั้นร่างของมันและไคลน์กลายเป็นโปร่งใส คนทั้งสองปรากฏตัวอีกครั้งเหนือมหาสมุทรสีทอง
ที่นี่มีอุณหภูมิสูงมากจนไคลน์ไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ยังไม่อันตรายเท่ากับในความฝัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง บริเวณทะเลในเขตหลักของซากสมรภูมิเทพถือเป็นเขตปลอดภัย เนื่องจากออร่าเทพจำนวนมากคานอำนาจกันเองจนความรุนแรงบรรเทาลง ขอเพียงไม่สำรวจส่งเดชก็จะไม่เกิดปัญหาร้ายแรง
ในวินาทีถัดมาแว่นของอามุนด์ดูดซับแสงโดยรอบทั้งหมด เปลี่ยนให้ผิวกระจกสว่างเจิดจ้า
กลางวันถูกขโมยส่งผลให้กลางคืนกลับมาเยือนอีกครั้ง หลังจากอามุนด์และไคลน์ร่อนลงบนเกาะแห่งหนึ่งในเขตปลอดภัย พวกมันเข้าถูกดึงเข้าสู่โลกความฝัน
ในหนนี้ทั้งสองปรากฏตัวด้านนอกประตูไม้สีดำที่มีลวดลายพิสดาร
อามุนด์ขยับแว่นที่ตาขวา ชักมือซ้ายออกจากกระเป๋า ทำการขโมยระยะห่างระหว่างจุดปัจจุบันกับของประตูอาราม
มันและไคลน์ย่างกรายออกจากประตูอารามไปพร้อมกัน เดินมาจนถึงริมหน้าผาฝั่งตรงข้ามวังราชาคนยักษ์ที่มีแสงสนธยาถูกแช่แข็ง
เดิมทีไคลน์คิดว่าอามุนด์จะทำตามขั้นตอนและท่องพระนามเต็มอันมีเกียรติของใครสักคน แต่อีกฝ่ายกลับยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว
ทะเลหมอกซึ่งแบ่งแยกยอดเขาทั้งสองลูกพลันเดือดพล่าน พวกมันแหวกออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา เผยให้เห็นช่องว่างอันมืดมิดและไร้ก้นบึ้ง
ภาพฉายของวังราชาคนยักษ์ฝั่งตรงข้ามทำการดูดกลืนแสงสนธยาทั้งหมด จากนั้นก็ยิงตรงมาด้านหน้าเพื่อเติมเต็มช่องว่าง
ส่งผลให้เกิดถนนสีส้มอมแดงพาดยาวระหว่างสองยอดเขาโดยมีฝั่งซ้ายและขวาเป็นทะเลหมอก
“ไปกันเถอะ” อามุนด์หัวเราะในลำคอ ท่ามกลางเสียงเสื้อผ้าสะบัดพลิ้ว มันกระโจนลงจากหน้าผา เหยียบลงบนทางเดินสนธยาด้านล่าง
ไคลน์มิอาจขัดขืน ทำได้เพียงกระโดดตามลงไป
…………………………