ตอนที่ 2312 ใครสังหารแก?

อัจฉริยะสมองเพชร

“ผมรู้มาว่าจอมราชันย์คนอื่นๆบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญไว้จำนวนหนึ่งเพื่อรับมือกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งนี้ พวกเขาลงทุนถึงขนาดใช้กระจกเงาแห่งมิติและเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของกาลเวลาให้นักรบเหล่านั้นมีเวลาฝึกฝนวรยุทธนานขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้คงจะยากลำบากกว่าเดิมมาก นายน้อย…คุณต้องระวังตัวนะ!”

ไก่น้อยได้ยินว่าจอมราชันย์คนอื่นๆทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติรุ่นใหม่ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ส่วนชื่อเสียงเรียงนามและความสามารถของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น มันยังไม่มีเวลาตรวจสอบ

แต่ในเมื่อคู่แข่งเริ่มเตรียมการแล้ว น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อขจัดความเสียเปรียบในด้านต่างๆออกไป

จริงอยู่ว่าจางเซวียนคือคู่ต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าจอมราชันย์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ศัตรูอาจรวมหัวกันเล่นงานเขา หากจางเซวียนต้องตกอยู่ในวงล้อมของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหลายสิบคนพร้อมกับบรรดาของล้ำค่าและค่ายกลชนิดต่างๆที่ประดังกันเข้ามา ต่อให้เก่งกาจระดับเขาก็คงตกที่นั่งลำบาก

อีกอย่าง ก็ร่ำลือกันมานานแล้วว่าการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมีกับดักตามธรรมชาติอยู่มากมายที่อาจทำอันตรายได้แม้แต่กับจอมราชันย์

รู้ดีว่าไก่น้อยแนะนำเขาด้วยความปรารถนาดี จางเซวียนจึงพยักหน้ารับคำแนะนำนั้น

ทั้ง 3 ทะลุมิติไปโดยเร็ว มุ่งหน้าสู่ทะเลท่วมท้น

ทะเลท่วมท้นตั้งอยู่สุดขอบโลก

ตอนที่จางเซวียนเห็นทัศนียภาพตรงหน้าเป็นครั้งแรกหลังจากพ้นรอยแยกแห่งมิติออกมา ก็พูดไม่ออกอยู่นาน

ที่ปลายสุดของท้องฟ้าสีฟ้าครามเหนือศีรษะของเขา มีหลุมพลังงานขนาดใหญ่ซึ่งดูจะนำไปสู่ดินแดนที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง พลังงานรุนแรงที่แผ่ซ่านออกจากรอยแยกถูกกปิดกั้นไว้ด้วยปราการแสง

แต่ปราการแสงนั้นก็บอบบางมาก ดูพร้อมจะพังทลายได้ทุกขณะ

ไก่น้อยมองรอยแยกสีดำสนิทที่อยู่กลางอากาศอย่างพรั่นพรึงขณะอธิบาย “เมื่อ 40 ปีก่อน จู่ๆรอยแยกสีดำนั้นก็เกิดขึ้นกลางอากาศ แล้วพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในสรวงสวรรค์ก็เริ่มพวยพุ่งออกมาราวกับบอลลูนที่ถูกสูบลมออก ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรารู้จักกันว่าเป็นการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ”

“ทำไมจู่ๆรอยแยกนั้นถึงเกิดขึ้นได้? แล้ว…ในครั้งนั้น ใครสังหารแก?” จางเซวียนถาม

เขาสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว ใครกันที่เก่งกาจถึงขนาดสังหารจอมราชันย์อมตะได้?

นอกเสียจากจอมราชันย์ด้วยกัน ก็ไม่น่าจะมีใครเก่งกาจถึงขั้นที่สามารถสังหารจอมราชันย์อมตะ แล้วเมื่อ 40 ปีก่อน…เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เขาต้องตาย?

มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับรอยแยกสีดำที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นหรือเปล่า?

เมื่อคิดดูอีกที ปรมาจารย์ขงก็ปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อราว 40,000 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ตกราว 40 ปีในสรวงสวรรค์พอดี

ทั้งรอยแยกบนท้องฟ้าของสรวงสวรรค์และปรมาจารย์ขงล้วนเป็นลิขิตสวรรค์…หรือว่าทั้งคู่มีความเกี่ยวข้องกัน?

“หลังจากเสียชีวิต ผมก็ดูจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป ตอนนี้ผมได้วรยุทธกลับคืนมาแล้วก็จริง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ผมจำเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้เลย สัญชาตญาณบอกผมว่ามันต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับรอยแยกนั่น” ไก่น้อยตอบอย่างเคร่งขรึม

“แกสูญเสียความทรงจำ?” จางเซวียนชะงัก

ทั่วทั้งสรวงสวรรค์ นอกจากหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขง ก็ไม่น่าจะมีใครที่มีความสามารถถึงขนาดลบความทรงจำของจอมราชันย์ได้!

“ไม่หรอก ไม่ใช่จอมราชันย์หลินชีหรือปรมาจารย์ขง!” ไก่น้อยปัดความคิดของจางเซวียนตกไป “ครั้งแรกที่รอยแยกสีดำปรากฏ ปรมาจารย์ขงยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ และเขาเพิ่งเกิด ส่วนจอมราชันย์หลินชีก็กำลังยุ่งอยู่กับการสมานรอยแยกสีดำเพื่อป้องกันไม่ให้พลังจิตวิญญาณรั่วไหล เธอต้องแจ้งให้น่านฟ้าอื่นๆรับรู้และสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อซ่อมแซมความเสียหายนั้น…เธอไม่มีเวลาหรือเรี่ยวแรงมากพอจะเล่นงานผมหรอก!”

“สมานรอยแยกสีดำ? แกจะบอกว่าฉนวนที่อยู่บนรอยแยกเป็นฝีมือของลั่วชิง?” จางเซวียนถาม

“ใช่” ไก่น้อยตอบ

เพราะเสียชีวิตไปหลังจากรอยแยกสีดำปรากฏได้ไม่นาน ไก่น้อยจึงไม่รู้เรื่องราวอีกมากมายที่เกิดขึ้นในอีก 40 ปีต่อมา แต่ก็ยังมีบริวารจำนวนหนึ่งรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นให้ได้รับรู้

จางเซวียนขมวดคิ้ว

ดูเหมือนสรวงสวรรค์จะมีชะตากรรมหมิ่นเหม่กว่าที่เขาคิดไว้มาก ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงต้องต่อสู้กัน

นี่อาจเป็นผลข้างเคียงของเศษเสี้ยวสวรรค์ก็ได้ ซึ่งหมายความว่าหอสมุดเทียบฟ้าของเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้อง

ขณะที่ทั้งคู่ยังคงหารือกัน รอยแยกสีดำก็เริ่มสั่นสะท้านและเปล่งแสงออกมา

พลังจิตวิญญาณเข้มข้นระเบิดออก กระชากฉนวนและแผ่รัศมีออกไปราวกับทอร์นาโด

ท้องฟ้ามืดครึ้มภายใต้การระเบิดของพลังจิตวิญญาณ บดบังแม้แต่แสงอาทิตย์ ดูเหมือนทอร์นาโดสีดำกำลังกวาดล้างทั่วทั้งสรวงสวรรค์อย่างรวดเร็ว

“เร็วเข้า รีบเข้าไป!”

มีเสียงตวาดก้อง นักรบมากมายนับไม่ถ้วนในบริเวณนั้นพุ่งเข้าสู่ใจกลางทอร์นาโดและหายวับไปกับตา

…..

“การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเริ่มแล้วหรือ?” จางเซวียนถามอย่างเคร่งเครียด

เขานึกว่าคงต้องรออีกสักระยะ ใครจะไปรู้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างพรวดพราดแบบนี้?

“มันเริ่มแล้ว แล้วพวกนั้นก็เข้าไปกันหมดแล้วด้วย นายน้อยคงต้องรีบแล้วล่ะ” ไก่น้อยตอบ

มันโบกมือและกำลังจะส่งจางเซวียนกับหลัวฉีฉีเข้าไป ก็พอดีกับที่…

“เดี๋ยวก่อน มีเรื่องสุดท้ายที่ฉันอยากรู้ เมื่อกี้แกบอกว่ารอยแยกนั้นซึมซับพลังจิตวิญญาณของสรวงสวรรค์เข้าไปใช่ไหม? แล้วทำไมจู่ๆมันถึงปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาจนเกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ?” จางเซวียนรีบถาม

เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ และนั่นทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างหนัก

“ผมก็ไม่รู้ แต่ก็เหมือนกับกระแสน้ำในทะเลนั่นแหละ พลังจิตวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจะคงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นก็จะกลับไป และปริมาณพลังจิตวิญญาณที่มันปลดปล่อยออกมาก็ไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของที่มันดูดเข้าไปด้วยซ้ำ” ไก่น้อยตอบ

สรวงสวรรค์มีความลับมากมาย แม้ตัวมันซึ่งเป็นถึงจอมราชันย์ก็ไม่อาจล่วงรู้ทุกอย่าง

เห็นไก่น้อยไม่มีคำตอบที่เขาต้องการ จางเซวียนใช้พลังจิตวิญญาณห่อหุ้มร่างของเขากับหลัวฉีฉีไว้ ก่อนจะปล่อยให้ไก่น้อยส่งพวกเขาเข้าสู่ทะเลท่วมท้น

เมื่อลืมตาอีกครั้ง ก็มายืนอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้างว่างเปล่า รอบตัวมีแต่โขดหินและกระแสพลังจิตวิญญาณที่สับสนปั่นป่วน ไม่มีพืชหรือสิ่งมีชีวิตชนิดใดให้เห็น

“นี่คือทะเลท่วมท้น?”

จางเซวียนชะงัก

เขานึกว่าศูนย์กลางของการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณที่ทรงพลังพอจะบีบบังคับให้ทั้ง 9 จอมราชันย์ออกมาจะต้องมีพลังจิตวิญญาณในปริมาณเข้มข้น บางทีอาจเข้มข้นถึงขนาดกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าที่นี่แห้งแล้งกันดารกว่าสรวงสวรรค์เสียอีก

“ในเมื่อจอมราชันย์คนอื่นๆถึงกับเตรียมการเพื่อรอการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ ก็แปลว่าที่นี่จะต้องมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าบางอย่างแน่ สำรวจดูให้ทั่วกันเถอะ”

หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ตัดสินใจไม่คิดมาก ตัวเขากับหลัวฉีฉีบินตรงไปยังส่วนลึกของทะเลท่วมท้น

…..

10 นาทีต่อมา

บรรดาจอมราชันย์ต่างลอยตัวอยู่เหนือทะเลท่วมท้น

“ดูเหมือนมันกำลังจะเริ่มต้นเร็วๆนี้แหละ” จอมราชันย์มังกรเมฆโพล่งออกมาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

“ใช่”

จอมราชันย์คนอื่นๆพยักหน้า

เมื่อหวนนึกถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้น 2-3 วันก่อน จอมราชันย์ฟู่เหมิงแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าส่ายหัว “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าความสามารถในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมราชันย์ขึ้นอยู่กับสายเลือด และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้นเมื่อเข้าถึงความเป็นจอมราชันย์แล้ว แต่หลังจากได้เห็นการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์หลินชีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ผมก็รู้ทันทีว่าจอมราชันอาจแข็งแกร่งกว่าเดิมได้อีก ทั้งยังพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้นอีกมาก!”

ที่ผ่านมา เหล่าจอมราชันย์ต่างเข้าใจว่าพวกเขามาถึงขีดจำกัดที่ไม่อาจไปได้ไกลกว่าเดิมแล้ว จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่

แต่เมื่อได้เห็นว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์แข็งแกร่งกว่าพวกเขาแค่ไหนทั้งที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ตำแหน่งจอมราชันย์ได้เพียง 40 ปี ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดมหันต์

ยังมีบางอย่างที่อยู่เหนือกว่า ซึ่งเหล่าจอมราชันย์ต้องพยายามก้าวไปสู่จุดนั้นให้ได้

จอมราชันย์โจวหยางแห่งน่านฟ้าตะวันแผดเผาหัวเราะลั่น “ในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณสองสามครั้งล่าสุด บรรดาศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คว้าทรัพย์สมบัติไปได้มากมายโดยใช้พละกำลังเหนือชั้นของพวกเขา แต่ตอนนี้ เมื่อไม่มีจอมราชันย์พิชิตสวรรค์แล้ว พวกเขาก็คงไม่อาจเข้าสู่ทะเลท่วมท้นได้อีก สิ่งนี้จะทำให้พวกเรามีโอกาสมากกว่าเดิมในการยึดครองทรัพย์สมบัติล้ำค่าพวกนั้น!”

มีพละกำลังประหลาดบางอย่างปกคลุมทะเลท่วมท้นไว้ ทำให้จอมราชันย์และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่อาจเข้าไปในนั้นได้ แต่ด้วยพละกำลังมหาศาลของจอมราชันย์ ก็ยังพอเป็นไปได้ที่พวกเขาจะส่งเหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของตัวเองทะลุมิติเข้าไป

ดังนั้น เมื่อจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เสียชีวิตไปแล้ว เหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของเขาก็ย่อมไม่อาจเข้าสู่พื้นที่นี้ได้อีก

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริวารของจอมราชันย์โจวหยางถูกเหล่าศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เล่นงานมาตลอด ซึ่งนั่นทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและสิ้นหวัง

แต่เมื่อจอมราชันย์พิชิตสวรรค์พบจุดจบไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงยุคสมัยของเขาเสียที

จอมราชันย์นรกโลกันต์คำราม “อย่าลืมเจ้าหนุ่มที่อยู่เคียงข้างจอมราชันย์อมตะในวันนั้นสิ ถ้าเขาเข้ามาร่วมวงด้วยล่ะก็ บอกได้ยากทีเดียวว่าผู้ชนะตัวจริงในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณจะเป็นใคร!”

ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้ามีระดับวรยุทธของจิตวิญญาณเหนือกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่นๆ ทำให้เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากมาก

“ต่อให้ไร้เทียมทานแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขามีก็คือวรยุทธของจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนกายเนื้อและพลังปราณน่ะยังมีระดับวรยุทธแค่ราชันย์เทพเจ้าขั้นต้น ขอแค่เราใช้ของล้ำค่าปกป้องจิตวิญญาณให้คนของเรา เขาก็ไม่มีทางทำอะไรได้หรอก” จอมราชันย์โจวหยางพูด

เขาจะไม่เตรียมการได้อย่างไรหลังจากได้รู้ว่ามีนักรบผู้ไร้เทียมทานอีกคนหนึ่งจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด?

ถ้าชายหนุ่มมีเวลาอีกราวครึ่งปี ก็มีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองไปจนไกลเกินกว่าที่ใครจะนึกถึง แต่ด้วยเวลาเพียง 1 หรือ 2 วัน อย่างมากที่สุดก็คงทำได้แค่รักษาระดับพลังงานที่ได้มาจากการได้รับตำแหน่งทรงเกียรติของโลกเท่านั้น!