เบ็คลันด์ เขตตะวันออก
ฟอร์สซึ่งเพิ่งกลับจากโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหนาหลายชั้น กำลังจ้องมองเตาถ่านฟืนตรงหน้า ประหนึ่งเธอใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะสั่นระริกสองสามหน
“กษัตริย์จอร์จที่สามสิ้นพระชนม์แล้ว เรื่องร้าย ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเราคงจบลงแล้วเช่นกัน บางที เราควรย้ายกลับไปอยู่ที่เขตเหนือหรือไม่ก็เขตฮิลสตันตามเดิม…บ้านที่นั่นมีเตาผิง!”
ซิลนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จ้องไปทางเตาถ่านฟืน ตอบด้วยสีหน้าเจือความสับสน
“รออีกสักหนึ่งถึงสองสัปดาห์ดีกว่า…ว่ากันตามตรง ฉันไม่อยากเชื่อว่าจอร์จที่สามจะตายไปทั้งแบบนั้น…ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย”
นักล่าเงินรางวัลซึ่งมีลำดับปัจจุบันเป็นผู้พิพากษา ออกอาการเหม่อลอย สับสน และมึนงงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับสูญเสียจุดมุ่งหมายในชีวิตไปอย่างกะทันหัน
ฟอร์สหลงลืมความเย็นที่กัดกินร่างกายไปชั่วขณะ ครุ่นคิดก่อนจะปลอบประโลมเพื่อนสนิท
“ฉันไม่คิดว่านี่เป็นฝีมือของเกอร์มันสแปร์โรว์ แต่น่าจะเป็นฝีมือของคนที่หลอกเคยใช้เชอร์มาเน่…มีเพียงพวกมันที่สืบหาความจริงเกี่ยวกับแผนการลับของจอร์จที่สาม และเธอเองก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในความตายของจอร์จที่สามในระดับหนึ่ง นับว่าได้แก้แค้นทางอ้อมแล้ว…อา…การสอดแนมครอบครัวของเธอคงจบลงเพียงเท่านี้ ถือเป็นโอกาสสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่…และถ้ามีลู่ทาง เธอสามารถอุทธรณ์ความตายของพ่ออย่างเป็นทางการได้เช่นกัน”
ได้ยินประโยคสุดท้าย ซิลเงยหน้า
“ใช่…แต่สถานการณ์สงครามก็เริ่มทวีความโกลาหล ฉันกังวลว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม…ฟอร์ส สำหรับเธอแล้วเมืองที่ปลอดภัยที่สุดคือเบ็คลันด์ หรือเมืองเล็กที่ไม่ใกล้กับชายแดน?”
ฟอร์สไตร่ตรองสองสามวินาทีก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เธอเสริม
“ฉันจะไปถามมิสเตอร์เวิร์ล เขาคงมองเห็นภาพรวมได้ดีกว่าเรา…เธอเองก็ยังจำได้ใช่ไหม เขาคือคนที่เตือนว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น และอย่าพยายามเข้าใกล้จอร์จที่สาม”
นอกจากนั้นฟอร์สยังต้องการถามว่า ‘การท่องเที่ยว’ ครั้งถัดไปคือที่ไหน จะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้ทัน
“ตกลง!” ซิลพยักหน้าขึงขัง
ฟอร์สพลิกหนังสือพิมพ์บนตัก ดื่มกาแฟที่เหลือในแก้ว จากนั้นก็บรรจงลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในห้อง สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลด้วยเสียงแผ่ว ขอให้พระองค์ช่วยส่งคำถามไปถึงเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์
…
ดินแดนเทพทอดทิ้ง ใกล้กับวังราชาคนยักษ์
ไคลน์ซึ่งไม่ถูกยึดครองร่างในเชิงลึก เดินตามอามุนด์ไปตามแนวเชิงเขามายังด้านหน้าสถานที่ในตำนาน
แม้อามุนด์จะเปิดโอกาสให้หลบหนี แต่ชายหนุ่มก็ไม่รีบร้อนลงมือ เพราะทราบดีว่าอามุนด์ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยลำดับสอง เป็นเทวทูตตัวจริงเสียงจริง เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่มีทางเอาชนะได้ในการดวล และเส้นทางนักจารกรรมยังถูกนิยามให้เป็นข้อผิดพลาด ช่องโหว่ และบั๊ก พลังของอีกฝ่ายผิดแผกพิสดาร ยากแก่การวางแผนรับมือและคาดเดา ไคลน์เชื่อว่าวิธีสามัญที่คนทั่วไปคิดได้ ไม่มีทางใช้กับอามุนด์สำเร็จ
เราทำได้เพียงอดทนรอโอกาส…ระหว่างนั้นต้องพยายามสังเกตท่าทีของอามุนด์อย่างใกล้ชิด…มีหนึ่งสิ่งที่ต้องจำใส่ใจไว้ อย่าเชื่อคำพูดทุกคำของอามุนด์ รวมถึงเรื่องที่หนอนกาลเวลาถูกดึงกลับและเราเป็นอิสระจากการยึดครองร่าง…นี่อาจไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ก็อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเช่นกัน ยังสรุปไม่ได้ว่าหมอนั่นไม่ได้ทิ้งหนอนกาลเวลาตัวอื่นไว้ในร่างกายเรา และเตรียมยึดครองร่างในช่วงเวลาวิกฤติ…ขณะไคลน์กำลังจะหันไปสนทนากับอามุนด์เพื่อถามเกี่ยวกับเทวทูตมืด ซาสเรีย ทันใดนั้น มันพบว่าในจุดห่างไกลออกไปที่แสงสนธยาส่องไม่ถึง ความมืดกำลังปกคลุมท้องฟ้าโดยมีสายฟ้าผ่าลงมาเป็นระยะ
พวกมันมาถึงสุดเขตวังราชาคนยักษ์และกำลังจะออกจากดินแดนในตำนานแห่งนี้
เมื่อความมืดปกคลุมทุกสิ่ง เรามีสิทธิ์หายตัวไปในความมืดสนิทหรือไม่ก็ถูกสัตว์ประหลาดจู่โจม…จิตไคลน์เริ่มตึงเครียด แต่มันแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา เพียงเดินออกห่างจากดินแดนสนธยาสีส้มและย่างกรายเข้าสู่ความมืด
ทันใดนั้นอามุนด์ซึ่งแต่งกายในชุดคลุมสีดำทรงโบราณ หมวกปลายแหลม และแว่นตาขาเดียว ยื่นมือออกไปข้างหน้าและดึงตะเกียงหนังสัตว์แผ่นบางกลับมา
ด้านในตะเกียง เทียนไขที่ทำจากไขมันของบางสิ่ง เปล่งแสงสลัวพร้อมกับส่งกลิ่นฉุนแผ่วเบา
“ถือไว้” อามุนด์โยนตะเกียงให้ไคลน์
“…” ชายหนุ่มรับไม้พร้อมกับปิดปากเงียบ
สองสามวินาทีถัดมา มันถามหยั่งเชิง
“เอามาจากไหน?”
ไคลน์กำลังคิดว่าอามุนด์สามารถดึงภาพฉายออกมาจากช่องว่างประวัติศาสตร์ได้เหมือนกับตน
อามุนด์จับกรอบแว่นผลึกแก้ว ยิ้มและกล่าว
“ขโมยมาจากค่ายของมนุษย์ข้างหน้า…อา…ถ้าจำไม่ผิดเป็นค่ายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ในหมู่บ้านยามบ่าย”
ขโมยมา…เปลือกตาไคลน์กระตุกแผ่วเบา มันไม่ถามสิ่งใดเพิ่มเติม เพียงเดินถือตะเกียงเข้าไปในความมืด
แสงสลัวที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันล่องหน แผ่ออกไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว สร้างเขตแดนอันอบอุ่นท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด
ขณะเดียวกันสายฟ้าจากเบื้องบนยังคงแลบออกมาเป็นระยะ แต่แทบไม่มีเสียงฟ้าร้อง นานครั้งจึงจะส่งเสียงแผ่วเบา
อาศัยความรู้พื้นฐานที่ไคลน์ฟังมาจากเดอะซันน้อย นี่คือตอนกลางคืนของดินแดนเทพทอดทิ้ง เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด
ขณะย่างกรายไปข้างหน้า ไคลน์ใช้พลังของผู้ไร้หน้าที่ถูกยกระดับ จับคู่กับยุบพองหิวโหยเพื่อปรับโครงสร้างดวงตาให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมแสนพิเศษ จากนั้นหลังจากสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น มันมองไปรอบตัว
มันรู้สึกว่าในความมืดสนิท ดวงตาจำนวนมากกำลังจ้องมองมาทางตน ประหนึ่งสภาพแวดล้อมกำลังเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มิอาจพรรณนา แต่เมื่อฟ้าแลบจนทุกสิ่งสว่างไสว ในจุดดังกล่าวกลับว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
ในสภาวะที่มิอาจอาหารมาป้อน ไคลน์ไม่กังวลเกี่ยวกับการใช้ยุบพองหิวโหยมากนัก ตามความคิดของมัน ผลลัพธ์สามารถลงเอยได้สองทาง ประการแรกยุบพองหิวโหยพยายามกลืนกินเจ้าของ แต่สุดท้ายก็จะถูกอามุนด์ขโมยความคิดไป ประการที่สองมันกลืนกินเจ้าของสำเร็จ ไคลน์เสียชีวิตและได้คืนชีพอีกครั้งพร้อมกับหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก อย่างหลังคือสิ่งที่ชายหนุ่มคาดหวัง ส่วนอย่างแรกก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย นอกเสียการที่ยุบพองหิวโหยอาจเกิดความสับสน
หลังจากเดินไปได้สักพัก ไคลน์พบค่ายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ในหมู่บ้านยามบ่ายที่สร้างจากอาคารร้าง
ด้านหลังกำแพงที่ถูกปกคลุมด้วยหินใหญ่และเสาหิน กองไฟเผาไหม้เงียบงันและมอบแสงสว่างให้กับภายใน ส่งผลให้มีบรรยากาศแตกต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
สมาชิกทีมสำรวจจับกลุ่มลาดตระเวนหรือไม่ก็เฝ้ายามท่ามกลางแสงไฟเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ในหมู่พวกมันมีอัศวินรุ่งอรุณซึ่งสูงกว่าสองเมตรสามสิบเซนติเมตร กำลังยืนอยู่บนหอคอยและสอดส่องจุดห่างไกล ค่อยเฝ้าระวังสัตว์ประหลาดในความมืด
ทันใดนั้นมันเห็นแสงสลัวสว่างขึ้นท่ามกลางความมืดในระยะไกล
นี่มัน…รูม่านตาอัศวินรุ่งอรุณพลันเบิกกว้าง หัวใจของมันเต้นระรัวทันที
หากไม่นับทารกแรกเกิดซึ่งยังไม่ผ่านระบบการศึกษา ทุกคนในเมืองเงินพิสุทธิ์ล้วนทราบดี ดินแดนแห่งนี้ถูกเทพทอดทิ้งไปแล้ว ย่อมไม่มีใครใช้เปลวไฟเพื่อสร้างแสงสว่างในความมืด แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดที่สามารถควบคุมเพลิงก็ยังเลือกจะซ่อนตัวในความมืด สำหรับมนุษย์คนอื่นเมืองทุกแห่งที่ทีมสำรวจค้นพบล้วนถูกทำลายและกลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว บุคคลภายนอกเพียงหนึ่งในปัจจุบันคือเด็กชายแจ็ค
แต่ปัจจุบันแสงไฟกลับสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด แถมยังเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง!
หมายความว่ายังไง? อัศวินรุ่งอรุณบนป้อมพยายามขบคิดแต่ไม่พบคำตอบ ร่างกายทำได้เพียงสั่นระริกแผ่วเบา
แสงไฟสลัวจากระยะไกลเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพียงไม่นานก็เลยค่ายออกไปนอกหมู่บ้านยามบ่าย อัศวินรุ่งอรุณมองเห็นร่างมนุษย์สองคนกำลังเดินอยู่ในความมืดอย่างคลุมเครือ
คนทั้งสองกำลังถือสิ่งที่คล้ายกับตะเกียงหนัง ย่างกรายพ้นเขตหมู่บ้านอย่างใจเย็นและหายตัวไปในความมืด
อัศวินรุ่งอรุณบนป้อมกลั้นหายใจอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งแสงไฟเลือนหายไปโดยสมบูรณ์
มนุษย์คนอื่น? ไม่สิ…อาจไม่ใช่มนุษย์ก็ได้! อัศวินรุ่งอรุณหรี่ตาลงและหันหลังกลับ เตรียมแจ้งให้หนึ่งในหกสภาอาวุโสประจำค่ายทราบ
ทันใดนั้นมันพบว่าตะเกียงที่แขวนบนเสาหินหายไปหนึ่งดวง
ร่างกายของมันแข็งทื่อทันที เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ไหลซึมจากหน้าผาก
…
ขณะเดินย่างกรายออกจากหมู่บ้านยามบ่าย ไคลน์กัดฟันทนต่อสายตาที่จ้องมองมาจากส่วนลึกของความมืด พลางอาศัยพลังปราชญ์โบราณและการเชื่อมโยงกับปราสาทต้นกำเนิด พยายามสัมผัสถึงตัวตนของสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ที่ถักทอ
มันทำสำเร็จ
สิ่งนี้พิสูจน์ว่าพลังที่ปิดกั้นดินแดนเทพทอดทิ้งไม่ส่งผลกับปราสาทต้นกำเนิด
ที่นี่คือถิ่นพำนักของพระผู้สร้างแท้จริง เป็นอาณาจักรแห่งทวยเทพของพระองค์…หากเราระดมพลังจากปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างความผิดปรกติ มีโอกาสที่พระองค์จะจับตามองและปะทะกับอามุนด์…อีกฝ่ายเป็นเทพแท้จริง เราไม่คิดจะมีชีวิตรอดท่ามกลางความวุ่นวาย แต่เป็นโอกาสที่จะดึงความสนใจจากอามุนด์เพื่อฆ่าตัวตาย…ไคลน์เกิดความคิดที่จะสั่นสะเทือนปราสาทต้นกำเนิด
วินาทีถัดมา ความคิดดังกล่าวเลือนหายไป
มุมปากอามุนด์ด้านข้างยกขึ้นเล็กน้อย
“แฮงแมนไม่สนใจปราสาทต้นกำเนิดหรอกนะ…แต่ความเป็นเหตุเป็นผลก็ไม่ได้อยู่ในสมองของเขาบ่อยครั้งนัก”
“แฮงแมนหมายถึงลำดับศูนย์ของเส้นทางคนเลี้ยงแกะ?” ไคลน์ไม่คาดหวังแต่แรกว่าจะทำสำเร็จในครั้งแรก เพียงแค่อยากทดสอบปฏิกิริยาการตอบสนองของอามุนด์ ชายหนุ่มในเวลานี้ไม่เผยอาการสิ้นหวัง เพียงถามกลับไปด้วยความอยากรู้
อามุนด์พยักหน้าแผ่วเบา
“ถูกต้องนั่นเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมทราม แต่ถ้าเจ้าต้องการคำนิยามในเชิงบวก อาจเรียกได้ว่าเป็นความเสียสละและการผูกมัดตัวเอง”
ไคลน์ไตร่ตรองก่อนจะถามอย่างไม่มั่นใจ
“คิดว่าเป็นชื่อเล่นที่คุณตั้งให้เสียอีก”
เหมือนกับที่เมดีซีชอบทำ
จากข้อมูลของไคลน์ พระผู้สร้างแท้จริงถือกำเนิดจากกุหลาบไถ่บาป และนั่นอาจเกี่ยวข้องกับการร่วงหล่นของเทพสุริยันบรรพกาล ดังนั้นชายหนุ่มจึงอยากทราบว่า อามุนด์จะมีท่าทีเช่นไรกับเทพมารตนนี้ และเป็นท่าทีแบบเดียวกับพี่ชายหรือไม่
อามุนด์ขยับแว่นพลางยิ้ม
“ข้าเคารพเทพเสมอ”
ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปาก ‘ผู้เย้ยเทพ’ …ช่างน่าขันเสียจริง…ไคลน์ตัดสินใจยุติหัวข้อสนทนาอย่างไม่มีทางเลือก
…………………………