บทที่ 554.1 เจอคนรู้จักที่จุดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ความเคลื่อนไหวทางเกาะเป็ดน้ำค่อนข้างรุนแรง

ถึงขนาดต้องให้เสิ่นหลินเทพวารีออกมาควบคุมโชคชะตาให้ไปรวมที่เกาะเป็ดน้ำด้วยตัวเอง

โชคดีที่ผู้ฝึกตนของสองเกาะอย่างเกาะป๋ายเจี่ย เกาะชางหรานต่างก็ได้รับคำเตือนจากตำหนักวารีหนานซวินมาก่อนล่วงหน้าแล้ว บอกว่าบนเกาะเป็ดน้ำมียอดฝีมือที่เก็บตัวอย่างสันโดษท่านหนึ่งกำลังจะฝ่าทะลุขอบเขต

เทพหญิงผู้ติดตามคนสนิทสองคนของเหนียงเนียงตำหนักวารี คนหนึ่งคือขุนนางหญิงที่ดูแลเรื่องโคมไฟของตำหนักวารีหนานซวิน อีกคนหนึ่งคือขุนนางที่ตรวจสอบสายน้ำ ซึ่งต่างคนต่างก็แยกกันไปเป็นแขกอยู่บนเกาะป๋ายเจี่ยและเกาะชางหรานสองแห่ง ทั้งเป็นการให้หน้า แล้วก็เป็นการ ‘ควบคุมดูแล’ เกาะทั้งสอง

บนทะเลเมฆ จางซานเฟิงเอ่ยถาม “อาจารย์ นี่ผ่านมาตั้งนานแล้ว ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จแล้ว เหตุใดเฉินผิงอันถึงยังไม่คืนสติสักที”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “ปิดประตูใคร่ครวญเรื่องราว ง่ายดายแค่นี้เอง คนฉลาดดื้อดึงดันมุ่งทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักไม่ค่อยหลุดพ้นออกมาง่ายๆ หากไม่เดินทีละก้าวถอยกลับไปทางเดิม ก็จะต้องฝ่าเปิดเส้นทางออกไป บุกเบิกเส้นทางแบบใหม่ให้กับตัวเอง”

หลี่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกล มือสองข้างเท้าแก้ม เดี๋ยวก็สูดหายใจเข้า เดี๋ยวก็พ่นลมหายใจออก เหมือนปลาพ่นฟอง สุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำจี้ตู๋ผู้ยิ่งใหญ่เบื่อหน่ายได้ถึงขั้นนี้ คาดว่าคงไม่มีคนอื่นเป็นเหมือนเขาอีกแล้ว

ฮว่อหลงเจินเหรินหันหน้ามาถาม “นายท่านใหญ่หลี่ ยังจะมัวเล่นอยู่อีกหรือ? รู้หรือไม่ว่าตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง?”

หลี่หยวนตอบ “เรื่องสนุกครั้งนี้ข้าก็ไม่ได้พลาดไปนี่นา ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็เบิกตากว้างมองอยู่ตลอดเลยนะ”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ก็ถือว่าโชคดีที่องค์เทพไม่มีไส้”

หลี่หยวนกลอกตามองบน จะบอกว่าเขาต้องเสียใจจนไส้เขียวงั้นรึ?

ฮว่อหลงเจินเหรินถาม “จะขายยาแก้เสียใจภายหลังขวดหนึ่งให้เจ้าดีไหม? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว จงชั่งน้ำหนักดูให้ดี”

ลูกตาของหลี่หยวนกลอกไปมา ตาแก่นี่คงไม่ถึงขั้นกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำก็เลยมาหยอกล้อตนเล่นหรอกกระมัง จึงถามไปว่า “ราคาเท่าไร?”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “โอสถวารีลำน้ำจี้ตู๋ชั้นเยี่ยมหนึ่งขวด ไม่ใช่ประเภทที่เอาไปหลอกพวกเทพแห่งลำคลองแม่น้ำพวกนั้น”

หลี่หยวนแยกเขี้ยว ส่ายหน้าเอ่ย “ช่างเถิด เจินเหรินผู้เฒ่า ตอนนี้ข้าควักเอาโอสถวารีแห่งชะตาชีวิตขวดหนึ่งออกมาไม่ได้จริงๆ เพราะต่อให้จะไม่สนใจแค่ไหน ทุกๆ สิบปีก็ยังต้องมอบโอสถวารีขวดหนึ่งให้กับสำนักมังกรน้ำ”

สิบปีนี้มอบให้แก่ซุนเจี๋ยหนึ่งเม็ด สิบปีหน้าต้องมอบให้เส้าจิ้งจือหนึ่งเม็ด สำนักเหนือใต้ผลัดกันได้รับ ส่วนเรื่องที่ว่าได้โอสถวารีไปแล้ว จะเอาไปมอบให้ผู้ถวายงานหรือเค่อชิงที่แต่ละคนเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กันถือเป็นสินน้ำใจ หรือว่าจะเก็บไว้ใช้เอง ไม่ก็มอบให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์เป็นรางวัล หลี่หยวนล้วนไม่เคยถามให้มากความ

ที่ฮว่อหลงเจินเหรินพูดถึงไม่ใช่โอสถวารีลำน้ำจี้ตู๋แค่เม็ดสองเม็ด แต่เป็นโอสถวารีที่มีควันธูปเข้มข้น มีชะตาน้ำบริสุทธิ์อย่างที่หาได้ยาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเก้าเม็ด หากเป็นเมื่อสามร้อยห้าร้อยปีก่อน หลี่หยวนยังพอจะเก็บมาพิจารณาได้

ด้วยสภาพร่างทองที่ผุพังในเวลานี้ เขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเสิ่นหลินที่ร่างทองกำลังจะแหลกสลายสักเท่าไร ตำหนักวารีหนานซวินดึงดันจะปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับเกาะเป็ดน้ำเช่นนี้ เป็นเพราะเสิ่นหลินใจกว้างจริงๆ หรือ? สตรีผู้นี้รู้จักครองบ้านครองเรือน ประหยัดมัธยัสถ์เป็นที่สุด นี่ก็ไม่ใช่เพราะนางคิดว่าตัวเองคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ เห็นฮว่อหลงเจินเหรินเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหรืออย่างไร? ไหที่แตกก็ทุบให้แหลกเสียเลย คงจะนึกว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะช่วยพูดดีๆ ถึงตำหนักวารีหนานซวินต่อหน้าคนผู้นั้นสักสองสามคำ แล้วก็จะสามารถทำให้นางเสิ่นหลินข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้

หลี่หยวนส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง คำว่ามหามรรคาไร้ปราณี แรกเริ่มสุดนั้นไม่ใช่คำกล่าวสำหรับบนภูเขา แต่เป็นคำกล่าวสำหรับบนสวรรค์

และ ‘หลี่หลิ่ว’ ผู้นั้น ก็คือหนึ่งในบุคคลจำนวนไม่มากบนสวรรค์

พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เสิ่นหลินทำเช่นนี้เป็นการเผาผลาญเวลาของนางไปอีกหลายสิบปี หรือนางลืมประโยคที่ฮว่อหลงเจินเหรินเคยพูดช่วงแรกเริ่มสุดไปแล้ว? ตำหนักวารีหนานซวินแค่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ก็พอ

จางซานเฟิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “บังคับกดหัววัวให้ดื่มน้ำ ยาก”

จางซานเฟิงถามเสียงเบา “เฉินผิงอันได้ฝ่าทะลุขอบเขตหรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “ยังคงเป็นขอบเขตสาม แต่มาถึงคอขวดแล้ว สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวของเขา พอจะถือว่าเป็นขอบเขตรั้งคนของจริงได้แล้ว ช่วยไม่ได้ ในอดีตต้องผ่านแบบย่อของสามด่านใหญ่อย่างการทำลายจิตมาร ผสานมรรคาและแสวงหาความจริงมาตั้งแต่เนิ่นๆ บวกกับที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น ต้องเดินอย่างโซซัดโซเซ นี่ต่างหากถึงจะถูกต้อง ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงสงสัยแล้วว่าเจ้าเด็กนี่เป็นบุคคลบนยอดเขาคนใดกลับชาติมาเกิดหรือไม่”

จางซานเฟิงถาม “เป็นเซียนที่ลาจากโลกไปแล้วกลับชาติมาเกิด ไม่ดีหรือ? ข้าได้ยินว่าบรรพจารย์ในจวนเซียนอักษรจงหลายแห่ง ก่อนหน้าที่จะปิดด่านแห่งความเป็นความตาย ต่างก็ต้องเหลือทางหนีทีไล่เส้นหนึ่งไว้ให้กับตัวเอง เตรียมหาร่างของตัวเองที่จะกลับมาจุติใหม่ไว้ให้กับสำนัก ปูทางปูเส้นสายไว้ให้เรียบร้อยก่อน จะได้กลับมาสืบทอดวาสนาแห่งเต๋าและควันธูปต่อ”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “ไม่ค่อยดี ตัวข้าไม่ใช่ตัวข้า หากจดจำเรื่องในชาติภพก่อนไม่ได้ตลอดชีวิต อันที่จริงยังนับว่าดี แต่หากจำได้แค่บางอย่าง นั่นกลับจะกลายเป็นปัญหาใหญ่”

แน่นอนว่ายกเว้นหลี่หลิ่วที่รู้อดีตชาติตัวเอง ซึ่งสำหรับนางแล้ว ก็หนีไม่พ้นแค่ต้องเปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วก็เท่ากับว่านางยังไม่เคยตายมาก่อน

การนอนหลับในตอนกลางคืน เป็นเพียงแค่การนอนเล็ก คนตาย นั่นต่างหากถึงจะเป็นการนอนใหญ่

หากผู้ฝึกตนเอาแต่รักชีวิต พยายามที่จะหลีกเลี่ยงความตาย จึงฉกฉวยโอกาสจากสวรรค์ด้วยการไปจุติเกิดใหม่ เหมือนโจรที่ไปขโมยของตอนกลางคืนอย่างลับๆ ล่อๆ ผลกลับกลายเป็นว่าจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน หยิบเอาตรงนั้นตรงนี้มาประกอบเข้าด้วยกัน ถึงท้ายที่สุดคนที่ร่อแร่ปางตายผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?

แต่ฮว่อหลงเจินเหรินก็พอจะเข้าใจในความกลัวตายของพวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเหล่านั้น ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เขาก็ยังคงยอมรับไม่ค่อยได้อยู่ดี

สำนักลัทธิมารบางแห่งที่ชอบใช้วิธีนอกรีต ในศาลบรรพจารย์ของพวกเขายังเอาผู้ฝึกตนไปจุดเป็นธูปแห่งชีวิตก้านหนึ่งด้วยซ้ำ และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่เพียงแค่จ้องมองธูปนั้นนานหน่อย จิตแห่งเต๋าก็พังทลาย ธาตุไฟเข้าแทรกอย่างสิ้นเชิง นี่ก็คือการทำให้ตัวเองตกใจตายทั้งเป็น

ฮว่อหลงเจินเหรินมีความคิดอยากปลอบใจลูกศิษย์ตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่าเฉินผิงอันเดินกะเผลก นั่นก็เพราะเขาเดินอย่างอืดอาดบนเส้นทางหัวใจ จึงเดือดร้อนไปถึงการก้าวเดินของจิตดั้งเดิมตัวเองด้วย อันที่จริงหากหยุดอยู่ที่ขอบเขตต่ำแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก”

จางซานเฟิงกลัดกลุ้มเป็นกังวลใจ “เฉินผิงอันติดหนี้กับคนนอกมากมายขนาดนั้น จะทำอย่างไรดี? เฉินผิงอันเป็นคนที่กลัวการติดค้างน้ำใจและติดเงินคนอื่นที่สุดแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เรื่องน่ากลัดกลุ้มใหญ่ๆ บางเรื่อง กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันจะไม่กลัว ยกตัวอย่างเช่นว่า เดินอยู่บนทางขึ้นเขา เฉินผิงอันก้มหน้าก้มตาเดิน เดินไม่เร็ว แต่กลับสังเกตเห็นว่าบนเส้นทางห่างออกไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว สามารถก้มไปเก็บเงินได้ ต่อให้จะเป็นแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียว เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันจะเดินเร็วกว่าเดิมหรือไม่? ทุกครั้งที่เก็บเงินหนึ่งเหรียญ ภาระที่ต้องแบกรับไว้ก็จะน้อยลงไปหนึ่งส่วน นานวันเข้า แน่นอนว่าจะต้องเดินได้เร็วขึ้น”

จางซานเฟิงพลันกระจ่างแจ้ง อาจารย์ใช้ได้เลยนี่นา เพิ่งจะได้เจอกับเฉินผิงอันสองครั้งก็เข้าใจเฉินผิงอันมากขนาดนี้แล้ว?

ฮว่อหลงเจินเหรินพลันเอ่ยว่า “เมื่อธุระของทางฝั่งนี้เสร็จสิ้น พวกเราก็สามารถกลับไปที่ยอดเขาพาตี้ได้แล้ว”

ในที่สุดหลี่หยวนก็อดไม่ไหวเปิดปากถามว่า “ท่านเฉินผู้นี้คือผู้ฝึกตนขอบเขตที่เท่าไรกันแน่?”

บทสนทนาระหว่างฮว่อหลงเจินเหรินกับลูกศิษย์ หลี่หยวนไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว

ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งด้านวิชาอัคคีในใต้หล้า วิชาน้ำ ก็น่าจะอยู่ในสิบอันดับแรกได้อย่างมั่นคง

อย่าลืมล่ะว่า ฮว่อหลงเจินเหรินยังเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์คือสถานที่แบบใด? หมื่นคาถาอาคมในโลกที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลื่อมใสมาโดยตลอด มีวิชาอสนีเป็นหลัก เป็นใจกลางของฟ้าดิน เป็นผู้ควบคุมหมื่นอาคม และวิชาห้าอสนีที่ ‘การสร้างอยู่ในกำมือของข้า’ ของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือก็คือต้นตำรับของวิชาอสนีในใต้หล้า วิชาอสนีของฮว่อหลงเจินเหรินจะอ่อนด้อยได้หรือ? เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แต่ละยุคสมัย โดยทั่วไปแล้วนอกจากจะไม่มีตราประทับเทียนซือและกระบี่เซียนแล้ว ก็ล้วนเป็นวิชาอาคมทุกอย่างของภูเขามังกรพยัคฆ์

ดังนั้นฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆถึงได้โดดเด่น มีเอกลักษณ์กว่าใคร เช่นนี้

ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้สนใจหลี่หยวน เขาพาจางซานเฟิงลงจากทะเลเมฆไปยังเรือนบนเกาะเป็ดน้ำ

เฉินผิงอันออกมาจากสถานที่ที่ใช้ปิดด่านแล้ว ราศีจิตวิญญาณทั้งหมดถูกเก็บไว้ภายใน ผิวพรรณเปล่งปลั่งอิ่มเอิบ แต่เป็นเพราะเพิ่งจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จ ยังไม่อาจสร้างความมั่นคงให้กับจวนลมปราณได้อย่างสัมบูรณ์ จึงมีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมาไม่หยุด เป็นเหตุให้ร่างทั้งร่างยิ่งดูล่องลอยหลุดพ้นจากโลกโลกีย์ รอจนจวนไม้ตั้งนิ่งได้อย่างมั่นคงแล้ว ราศีแห่งความเป็นเทพเซียนที่พอจะมีกำลังไฟเล็กๆ นี้ก็จะสามารถเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้าพลางเอ่ยชื่นชม “ตอนนั้นที่ข้าผู้เป็นนักพรตเป็นห้าขอบเขตล่างยังไม่เคยมีมาดเช่นนี้เลย”

เฉินผิงอันกุมหมัดแทนการขอบคุณ

คราวนี้ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้รังเกียจที่เฉินผิงอันมีพิธีรีตอง บนเส้นทางการฝึกตน ช่วยเฝ้าด่านพิทักษ์ค่ายกลให้ผู้อื่น เมื่อคนที่ปิดด่านออกจากด่านได้สำเร็จ ก็ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามมารยาทให้พอเป็นพิธีอยู่บ้าง

ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าว “ในเมื่อทำสำเร็จแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตกับซานเฟิงก็คงไม่อยู่ต่อแล้ว ที่ยอดเขาพาตี้ยังมีธุระอีกมากมายรอให้ไปจัดการ”

จางซานเฟิงพึมพำ “นอนที่ไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ฮว่อหลงเจินเหรินไม่มีโทสะสำหรับคำแฉของลูกศิษย์แม้แต่น้อย กลับกันยังอธิบายกลั้วเสียงหัวเราะว่า “แน่นอนว่างีบหลับอยู่ในรังหญ้าบ้านตัวเองย่อมสบายมากกว่า”

ผู้ฝึกตนยึดครองขุนเขาสายน้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงบนโลก อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เซียน เคลื่อนย้าย ย้ายเข้าไปอยู่ในภูเขา (เป็นคำอธิบายในการสร้างตัวอักษรของจีน คำว่าเซียน ประกอบด้วยอักษรเชียนที่แปลว่าเคลื่อนย้าย กับอักษรซานที่แปลว่าภูเขา) โลกโลกีย์มีเรื่องให้วุ่นวายใจอยู่มากมาย รากบัวถูกตัดยังเหลือใย ดังนั้นจึงเหมาะให้เข้าไปอยู่ในภูเขา เมื่อกายสงบ จิตใจก็ย่อมสงบตามไปด้วย

จางซานเฟิงพยักหน้ารับ “เริ่มคิดถึงพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานทั้งหลายแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ย “อาจจะยังมีอีกเรื่องที่ต้องรบกวนเจินเหรินผู้เฒ่า”

จางซานเฟิงกลับพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ไม่รบกวนๆ”

ฮว่อหลงเจินเหรินเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

จางซานเฟิงกลัวอาจารย์จะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเห็นคนนอกดีกว่า จึงรีบพูดเบาๆ ขึ้นมาว่า “อาจารย์ เฉินผิงอันทำอะไรรู้หนักรู้เบาเสมอ บอกว่ารบกวน อันที่จริงก็คงจะไม่ได้รบกวนสักเท่าไร นี่เท่ากับว่าพวกเราได้น้ำใจคนมาเปล่าๆ ครั้งหนึ่ง เขาเดินทางมาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ ก่อนจะกลับแจกันสมบัติทวีปต้องไปเป็นแขกที่บ้านพวกเราแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าก็จะพาเขาไปเดินเที่ยวที่ดีๆ ของสำนัก ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเถาซาน และยังมีบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาไท่เสีย ขนาดข้ายังไม่ค่อยเคยไปเลย แบบนี้ไม่เข้าท่าสักเท่าไร”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ ยิ้มมองเฉินผิงอัน “ว่ามาเถอะ”

เฉินผิงอันจึงบอกว่ากระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่นนั้น เขาจะเก็บไว้เองสองแผ่น ส่วนที่เหลือหวังว่าจะรบกวนให้เจินเหรินผู้เฒ่านำไปขายให้กับนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาจะรับมาแค่หกร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น

จางซานเฟิงปากอ้าตาค้าง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเฉินผิงอันใช้สายตาปรามเอาไว้

ฮว่อหลงเจินเหรินคล้ายจะกำลังชั่งน้ำหนัก เพียงแค่หัวเราะเฮอๆ ไม่ได้พูดอะไร

เฉินผิงอันจึงเงียบรอฟังประโยคถัดไปของเขา

น้ำไกลไม่อาจดับกระหายใกล้

ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วต้องการเงินเทพเซียนอย่างยิ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ช่องโพรงที่ต้องเติมเต็ม อีกทั้งยังไม่ใช่เล็กๆ

เรื่องที่จะเลื่อนพื้นที่มงคลรากบัวให้เป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ยังคงเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง หากไม่นับรวมรายรับจากการจัดงานเลี้ยงเทพขุนเขาสายน้ำท่องทิวาราตรีครั้งที่สามของเว่ยป้อ แล้วตนสามารถขายแผ่นกระเบื้องแก้วพวกนั้นออกไปได้ ก็จะได้เงินหกร้อยเหรียญฝนธัญพืชมาทันที ไม่เพียงแต่สามารถชดเชยช่องโหว่ทั้งหมดได้ ยังจะมีเงินเหลืออีกสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช เขาจะมอบเงินฝนธัญพืชครึ่งหนึ่งที่เหลือเกินมาไปให้จูเหลี่ยน เพื่อให้เป็นเงินเก็บของภูเขาลั่วพั่ว หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าพอมีเรื่องที่ต้องใช้เงินแล้วจะต้องฝืดเคืองทุกครั้ง น้ำใจคนบางอย่าง ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็ติดค้างครั้งใหญ่ไปเลย แต่จำนวนครั้งก็ต้องให้น้อย เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าการเปลี่ยนคนให้ไปติดค้างน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ชดใช้อย่างไรก็ชดใช้ไม่หมด นี่ไม่ได้เรียกว่าการคบค้าสมาคมอะไรแล้ว แต่เป็นการทำให้สหายรู้สึกว่าตัวเองพบเจอคนที่ไม่ดี น้ำใจคนในใต้หล้านี้ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นหลักการที่ว่ามียืมมีคืน ยืมใหม่ย่อมไม่ยากเสมอ

แล้วนับประสาอะไรกับที่เอาแต่ทำให้เว่ยป้อเดือดร้อนอยู่อย่างนี้ ทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือของทวีปผู้ยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ในอาณาเขตของบ้านตัวเองกลับต้องขุดดินลึกสามฉื่อควานหาสมบัติ มันสมควรแล้วหรือ? ขนาดกระต่ายยังไม่กินหญ้าข้างรังตัวเอง นึกถึงข้าเฉินผิงอัน จะดีจะชั่วก็เป็นร้านผ้าห่อบุญ ต่อให้แบกฝ้าเพดานวิ่งเตร็ดเตร่ไปไกลแค่ไหน แต่จะเหมือนกันได้หรือ?

ตัวเฉินผิงอันเองก็สามารถเก็บเงินฝนธัญพืชไว้ได้หนึ่งร้อยเหรียญ เอาไว้มาซื้อกระบี่จำลองสองสามเล่มของภูเขาชังกระบี่ หากราคาถูกกว่าที่ประมาณการณ์ไว้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ซื้อหลายๆ เล่มมาเก็บไว้ เอาไว้มอบให้คนอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือ?

นอกจากนี้การสร้างและการโคจรของค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ก็คือค่าใช้จ่ายที่ไม่เล็กอีกก้อนหนึ่ง

การเลือกและการจัดวางวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะบนภูเขาใหม่ๆ มากมายซึ่งรวมถึงภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าวเป็นหนึ่งในนั้น คือเรื่องที่สาม อันที่จริงตอนนั้นที่เจียงซ่างเจินใช้ข้ออ้างบอกว่าต้องการมาขอบคุณเฉินผิงอันที่ทำให้สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานที่เป็นเซียนกระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน และต้องชดเชยที่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีทั้งสองครั้งของเว่ยป้อ ก็ทำให้มีสมบัติหนักที่เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะแล้วสามชิ้น ข้องราชามังกรคู่นั้นที่ฮว่อหลงเจินเหรินนำไปซ่อมให้ก็นับรวมด้วย ส่วนที่เหลือก็จำเป็นต้องให้ภูเขาลั่วพั่วควักกระเป๋าเงินกันเอาเอง

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเก็บแผ่นกระเบื้องแก้วมรกตไว้แค่สองแผ่น เอาไว้เป็นที่ระลึก เพราะถึงอย่างไรวัตถุชิ้นนี้ก็หาได้ยาก เก็บไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ก็ถือเสียว่าให้เป็นนิมิตหมายอันดีที่สมกับคำว่าเรื่องดีมาเป็นคู่