ไคลน์ใช้มือยันกำแพงสีเทาพลางพยุงตัวยืนเชื่องช้ายิ้มและส่ายหน้า
“ถ้ายังไม่ได้เติมเต็มความหิว สมองมันไม่ยอมทำงาน”
ประโยคดังกล่าวกึ่งจริงกึ่งเท็จ เนื่องจากก่อนที่จะกลายเป็นร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ นักบุญยังคงหิวและกระหายน้ำ อย่างไรก็ตาม สำหรับครึ่งเทพลำดับสาม การไม่ได้ดื่มน้ำหรือกินอาหารสักครึ่งเดือนก็ยังไม่ใช่ปัญหา แต่ในกรณีของร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ การกินเป็นเพียงงานอดิเรกมิใช่สิ่งจำเป็น
สิ่งที่ไคลน์ต้องการจะสื่อก็คือ ก่อนที่จะเริ่มหลบหนีอย่างเป็นทางการ มันต้องการให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด
“นิสัยพวกนักมายากล…” อามุนด์ยิ้มพลางแสดงความเห็น “ข้าจะไม่จัดหาอาหารให้ แต่อนุญาตให้เจ้าแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง”
ไคลน์ชำเลืองตะเกียงหนังสัตว์บนพื้น ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเหยียดมือขวาออกจับคว้าอากาศตรงหน้า
โต๊ะกาแฟที่ไม่สูงนักปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม เป็นหนึ่งในเครื่องเรือนของคฤหาสน์ดอนดันเตส
ท่ามกลางแสงสลัวไคลน์เหยียดแขนออกไปอีกครั้ง ทำการอัญเชิญกล่องบางอย่างออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
ภายในกล่องประกอบด้วยชุดเครื่องเรือนและอุปกรณ์การกินครบชุดไม่ว่าจะเป็นมีด ส้อม จาน และถ้วย
เหตุผลที่ไคลน์เลือกหยิบออกมาเป็นกล่อง เนื่องจากมันไม่สามารถดึงภาชนะออกมาทีละชิ้นได้ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์จะคงสภาพได้พร้อมกันสูงสุดแค่สามภาพ
หลังจากจัดวางเครื่องเรือนและภาชนะด้วยท่าทีผ่อนคลาย ไคลน์หันมาผงกศีรษะให้อามุนด์อย่างมีมารยาท จากนั้นก็อัญเชิญสเต๊กเนื้อพริกไทยดำชิ้นหนึ่งออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
สเต๊กที่ค่อนข้างร้อนตกลงบนจานกระเบื้องเคลือบ หลังจากใช้มีดกรีดผิวด้านในยังคงมีเลือดชุ่มฉ่ำ
ไคลน์หั่นเนื้อออกมาหนึ่งชิ้นและยัดใส่ปาก รสสัมผัสทั้งหมดเป็นของจริง รสชาติก็ยอดเยี่ยมไม่มีส่วนใดเลยที่เหมือนของปลอม ช่วยให้บรรเทาความกระวนกระวายของกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี
“ภายในสิบห้านาที ไม่เพียงผมจะไม่หิว แต่ยังได้รับสารอาหาร ‘ของจริง’ เข้าไปในร่างกาย” หลังจากกลืนเนื้อชิ้นแรกลงคอ ไคลน์ฉีกยิ้มกว้างพลางแนะนำอามุนด์ประหนึ่งเจ้าของบ้านอัธยาศัยดี ไม่ใช่เหยื่อที่กำลังถูกลักพาตัว
อามุนด์จับขอบแว่นตาผลึกกระจก ยิ้มให้และพยักหน้า
“ข้าเคยลองแล้ว รสชาติไม่เลวเลย…ความสามารถในการปรับตัวของเจ้าช่างยอดเยี่ยม…ไม่อยากเป็นข้ารับใช้ของข้าจริงหรือ?”
ไคลน์หั่นเนื้ออีกหนึ่งชิ้น ยกส้อมยัดใส่ปากพลางตอบประหนึ่งคุยกับเพื่อนสนิท
“ฆ่าผมเถอะ”
ปัจจุบัน สายฟ้าเริ่มแลบถี่ขึ้น สลับไปมาระหว่างความมืดดินที่ปกครองดินแดน และในบริเวณที่ปราศจากแสงสว่าง ดวงตาจำนวนมากกำลังจดจ้องมาทางมนุษย์สองคนอย่างไร้อารมณ์ วันพืชที่มียอดปลายสีแดงสดโยกเอนแผ่วเบาเป็นครั้งคราวท่ามกลางสายลมพัดผ่าน
ภายในซากอาคารแห่งหนึ่ง แสงสลัวสีเหลืองแผ่ปกคลุมโต๊ะกาแฟตัวเล็กที่ประดับตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพง กลิ่นสเต๊กลอยโชยไปทั่วห้องซึ่งแทบจะเป็นแบบเดียวกับสภาพแวดล้อมภายนอก
ไคลน์ไม่แยแสการจ้องมองจากสัตว์ประหลาดในส่วนลึกของความมืด เพียงเพลิดเพลินไปกับอาหารด้วยกิริยามารยาทสง่างามท่ามกลางดินแดนสีเทาอันรกร้างและแห้งแล้งซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย
หลังจากจัดการกับสเต๊ก ชายหนุ่มอัญเชิญไวน์เย็นแก้วเล็กจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบและดื่มรวดในอึกเดียว
ถัดมาเป็นซุปครีม ปลาค็อดทอด แกะตุ๋นถั่วลันเตา มันฝรั่งอบ และไวน์อีกหลายชนิด
ระหว่างกำลังกินสิ่งเหล่านี้ สเต๊กชิ้นแรกที่ไคลน์กินเข้าไป หมดเวลาในการคงสภาพและเริ่มเลือนหาย แต่กระเพาะอาหารกับร่างกายไคลน์ยังคงถูกเติมเต็มด้วยอาหารในจานถัดมาอย่างไร้รอยต่อ
แน่นอนว่ามีการอัญเชิญโต๊ะกาแฟและภาชนะออกมาใหม่ ไม่อย่างนั้นคงมิอาจคงสภาพได้จนจบมื้ออาหาร
ในช่วงสุดท้ายของมื้ออาหาร ไคลน์ยังยื่นมือออกไปในอากาศและคว้าถ้วยซึ่งมีก้อนไอศกรีมออกมา
จากนั้นชายหนุ่มวางถ้วยไอศกรีมลงและตักด้วยช้อนของหวาน ยัดใส่ปากเต็มคำลิ้มรสความหวานฉ่ำของไอศกรีม
หลังจากกินหมดไปหนึ่งลูก มันยังคงไม่พึงพอใจ จึงอัญเชิญออกมาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
เบ็ดเสร็จกินไปทั้งสิ้นห้าลูกซึ่งมีรสชาติแตกต่าง
เมื่อไคลน์ยื่นมือออกไปเป็นครั้งที่หก อามุนด์ด้านข้างเริ่มเผยรอยยิ้ม
“ชะตากรรมของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ผิดปกติ…ดูเหมือนว่าจะโชคดีมากขึ้น…นี่คือแผนที่วางไว้?”
มือขวาไคลน์ที่ยื่นออกไปในอากาศพลันชะงัก รูม่านตาเบิกกว้างเล็กน้อย
แทบจะในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางความมืดมิดที่แสงจากตะเกียงส่องไม่ถึง ร่างกายสัตว์ประหลาดจำนวนมากสั่นกระตุกโดยพร้อมเพรียง พวกมันกลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์ถ้วนหน้า
ครั้งนี้ไคลน์ส่งหนอนวิญญาณนับร้อยตัวออกไปในคราวเดียว หวังว่าจะมีสักตัวที่โชคดีหลบหนีการขโมยจากอามุนด์สำเร็จ
ทันทีหลังจากนั้นด้านหลังโต๊ะกาแฟ บุคคลที่แต่งกายในเสื้อขนสัตว์และมิได้สวมหมวก ถูกแทนที่ด้วยแวมไพร์รูปลักษณ์น่าขยะแขยงซึ่งเต็มไปด้วยหนองเหลือง
โต๊ะกาแฟที่งดงามและเครื่องเรือนด้านบน พลันแตกกระจัดกระจายประหนึ่งแก้วที่ตกพื้น
พวกมันถูกส่งกลับไปยังช่องว่างประวัติศาสตร์เพื่อไม่ให้กระทบกับการอัญเชิญครั้งถัดไปของไคลน์
วินาทีถัดมาหุ่นเชิดทั้งร้อยตัวและไคลน์ซึ่งซ่อนอยู่ในกลุ่มนั้น เหยียดแขนออกไปจับคว้าอากาศอันว่างเปล่า เป็นการใช้จำนวนเพื่อรบกวนสมาธิของอามุนด์
ในวินาทีปัจจุบันพวกมันทั้งหมดคือปราชญ์โบราณ
นี่คืออำนาจของจอมเวทพิสดาร ลำดับที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของเส้นทางนักทำนาย
แน่นอนว่าโอกาสสำเร็จในการอัญเชิญของหุ่นเชิดแต่ละตัวเป็นอิสระจากกัน ไม่ส่งผลกระทบต่อกัน
สำหรับคราวนี้เป้าหมายการอัญเชิญของไคลน์คือภาพฉายไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ร่างสมบูรณ์เมื่อครั้งต่อสู้อย่างดุเดือดภายในโบราณสถานทูดอร์ พิจารณาจากพันธสัญญา ความสัมพันธ์และยันต์ เธอคือภาพฉายเทวทูตที่ไคลน์อัญเชิญออกมาได้ง่ายที่สุด!
อามุนด์ยังคงนั่งสบายใจในจุดเดิม แว่นตาหันมาจดจ้องไคลน์ทั้งหนึ่งร้อยหนึ่งคนซึ่งกำลังพยายามอัญเชิญ
มือขวาของหุ่นเชิดทั้งร้อยตัวรวมถึงไคลน์เหยียดออกและดึงกลับ จากบรรดาหุ่นเชิดทั้งร้อย ไม่มีตัวใดประสบความสำเร็จในการลากไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ออกจากความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกันอามุนด์ยกมือขวาขึ้นและจับคว้าอากาศ
แขนของมันยวบลงเล็กน้อยก่อนจะดึงกลับ ทันใดนั้นที่ด้านนอกซากอาคารพังทลาย ตุ๊กตาผ้าตัวใหญ่ทัดเทียมปราสาทพลันปรากฏกาย เธอแต่งกายด้วยเดรสยาวซับซ้อนสีเข้มรอบตัวมีมัดเถาวัลย์
มารบรรพกาล ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์!
อามุนด์ขโมยภาพจากช่องว่างประวัติศาสตร์ที่ไคลน์อัญเชิญ!
ผิวกระจกตาสีแดงของไรเน็ตต์สะท้อนภาพหุ่นเชิดกว่าร้อยตัวของไคลน์
โดยปราศจากสุ้มเสียง หุ่นเชิดที่คล้ายไคลน์หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด พลันแปรเปลี่ยนเป็นแพะภูเขา กระต่ายขาว และสัตว์อื่น
คำสาปจำแลงกาย!
ร่างจริงของไคลน์หายไปนานแล้ว ชายหนุ่มเดินออกจากเปลวไฟของตะเกียงหนังสัตว์
มันชำเลืองไปทางสัตว์หลากชนิดที่มีเศษเสี้ยวของตนแฝงอยู่จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะในลำคอ
“การเดินย่อยหลังอาหารจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น”
มันมิได้เอ่ยถึงพฤติกรรมในการหลบหนี ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
อามุนด์ยังคงอยู่ในท่าทางผ่อนคลาย พยักหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ข้าเคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่มนุษย์เขียนขึ้น มีการกล่าวไว้เช่นนั้นจริง”
ทันทีที่สิ้นเสียง มันยกนิ้วพลางชี้ไปทางภาพฉายของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ด้านนอก
“นี่คือผู้ส่งสารของเจ้า?”
เรื่องนี้สามารถยืนยันได้ไม่ยาก ไคลน์จึงไม่คิดปิดบัง เพียงอืมในลำคอพลางพยักหน้า
“น่าเสียดาย” อามุนด์มองภาพฉายของไรเน็ตต์หัวจรดเท้าก่อนจะส่ายหน้า
ไคลน์ที่เริ่มตระหนักว่าอาหารในท้องทยอยเลือนหายไป เอ่ยปากถาม
“เสียดายอะไร?”
“ข้าควรอยู่กับเจ้าที่เบ็คลันด์ต่ออีกสักสองสามวัน จนกระทั่งผู้ส่งสารนำจดหมายมาส่ง จากนั้นหล่อนจะกลายเป็นผู้ส่งสารของข้า” อามุนด์ขยับแว่นตาข้างขวา กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม “การขโมยผู้ส่งสารระดับเทวทูตเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าสนุกไม่ใช่หรือ? ชีวิตคนเรามักต้องการความตื่นเต้น สนุกสนาน และคาดหวังอยู่เสมอ”
“เห็นด้วย” ไคลน์ตอบจากก้นบึ้ง
“น่าเสียดาย” อามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลม ส่ายหน้าอีกครั้ง “รัตติกาลคือตัวตนที่ห้ามประมาท หากแช่อยู่นานเกินไป ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ขณะกล่าวเทวทูตกาลเวลายกเลิกการคงสภาพไรเน็ตต์ไทน์เคอร์จากอดีต ส่งผลให้ร่างของเธอสลายไปต่อหน้าไคลน์
“หืม…ดูเหมือนว่าคุณจะกลัวเทพธิดาพอสมควร” ไคลน์สวมรอยเป็นสาวกเดนตายของเทพธิดารัตติกาล
แต่แน่นอนแม้ไม่ต้องสวมรอย หนึ่งในตัวตนของมันก็ยังคงเป็นข้ารับใช้แห่งรัตติกาล
อามุนด์หัวไปมองตะเกียงหนังสัตว์ภายในซากอาคาร จ้องมองแสงสลัวพลางกล่าว
“ข้ามิอาจขโมยสิ่งของที่อยู่ในสภาพถูกปกปิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะมองไม่ออกว่านั่นเป็นกลลวงหรือไม่ และสิ่งที่ต้องระมัดระวังคืออะไร”
สำหรับราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม ลำพังเหตุผลเพียงเท่านี้ก็มากพอจะทำให้ ‘ไม่กล้าขโมย’
อาศัยโอกาสที่อามุนด์กำลังตอบคำถาม ไคลน์แอบท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพธิดารัตติกาลในใจเป็นภาษาคนยักษ์
เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ายิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยั่งยืนยิ่งกว่านิรันดร์…
เมื่อท่องจบประโยค ความคิดของมันพลันเลือนหาย หากไม่ใช่เพราะยังหลงความคิดที่เกี่ยวข้อง มันคงไม่รู้ว่าตนเคยลองทำ
อามุนด์หันมามองด้วยรอยยิ้ม
“พยายามทดสอบข้าสินะ…เจ้าสงสัยว่าหากข้าขโมยความคิดที่เป็นพระนามเต็ม ข้าจะท่องมันซ้ำในใจหรือไม่…สำหรับลำดับสี่ปรสิต พวกเราสามารถควบคุมสิ่งที่ขโมยมาได้ดั่งใจนึก กำหนดได้ว่าให้มันปรากฏขึ้นเฉพาะในเวลาที่เหมาะสม”
“อย่างนี้นี่เอง…” ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา “ขอบคุณ”
ขณะตอบไคลน์วิเคราะห์ประสบการณ์และบทเรียนจากการลองหนีอย่างคร่าว ๆ
เนื่องจากความเกี่ยวข้องทางพันธสัญญา จากบรรดาเทวทูตทั้งหมด การอัญเชิญมิสผู้ส่งสารย่อมมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด…
การอัญเชิญไอศกรีมจากมือวิลล์ในอดีต ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตัวแทนแห่งชะตากรรม ส่งผลให้เราได้รับพรโชคดี ไอศกรีมแต่ละลูกคือตัวแทนของโชคในรูปแบบหนึ่ง…เดิมทีเราตั้งใจจะอัญเชิญไอศกรีมเพื่อปกปิดพฤติกรรมอัญเชิญอสรพิษแห่งชะตา…
ในอนาคตก่อนจะอัญเชิญแต่ละครั้งต้องทำให้อามุนด์เสียสมาธิเสีย ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายสามารถขโมยภาพฉายจากอดีตได้โดยตรง และนั่นจะกลายเป็นผู้ช่วยของอามุนด์แทนเรา…
ท่ามกลางกระแสความคิด อามุนด์ชี้ไปทางกลุ่มสัตว์ที่ถูกสาปจำแลงกาย กล่าวพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ไม่ใช่ว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับอาหารในดินแดนเทพทอดทิ้งหรอกหรือ? ตราบใดที่คำสาปไม่ถูกยกเลิก พวกมันก็คือสัตว์จริง ๆ”
“…” ไคลน์ตกตะลึงสักพัก หันไปทางแพะภูเขาและกระต่ายขาว
ด้วยความคิดอันแรงกล้า สายตาของสัตว์เหล่านั้นเองก็จ้องกลับมาทางชายหนุ่ม
ในแง่หนึ่งพวกมันคือตัวไคลน์เอง แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนอนวิญญาณที่รวมร่างกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ปัจจุบันถูกสาปให้กลายเป็นสัตว์โดยสมบูรณ์
…………………………