ตอนที่ 1031 หลงเพ่ยเอ๋อร์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ ประตูด้านหน้าห้องโถง หลงซินเอ๋อร์และหลานเผิงประจันหน้ากันอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร

หลงซินเอ๋อร์และหลานเผิงก็รู้จักกันมาก่อนเช่นกัน นายน้อยแห่งตระกูลหลานผู้นี้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นซึ่งเป็นที่รักของผู้นำตระกูลหลานและสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูล สถานะของเขาก็ไม่ถือว่าด้อยไปกว่าหลงซินเอ๋อร์—องค์หญิงของตระกูลราชวงศ์เท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหลงซินเอ๋อร์ ฉินอวี้โม่และสหายเป็นเพียงคนต่ำต้อยที่มาจากดินแดนระดับต่ำ แล้วคนเหล่านี้จะเทียบชั้นกับนางได้อย่างไร ?

“หลานเผิง ข้าไม่อยากมีปัญหากับเจ้า และเจ้าเองก็คงไม่อยากทำให้ข้าไม่พอใจเช่นกัน คนพวกนี้เป็นแค่มดปลวกด้อยค่าจากดินแดนระดับต่ำเท่านั้น พวกนางจะเทียบชั้นกับองค์หญิงอย่างข้าได้อย่างไร ? การที่พวกนางได้ก้าวเข้ามาในพระราชวังของเราก็ถือว่าเป็นเกียรติมากพอแล้ว เกรงว่าพวกนางคงจะตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่หรูหราของพระราชวังจนพูดอะไรไม่ออก”

นางกล่าวพลางชำเลืองมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างวางท่าโดยที่ความริษยาฉายวาบในแววตาครู่หนึ่ง

รูปลักษณ์และลักษณะท่าทางของฉินอวี้โม่ดูโดดเด่นสะดุดตาจนเกินไป โดยปกติแล้วหลงเฟยเอ๋อร์และหลงเพ่ยเอ๋อร์ก็มีรูปลักษณ์เหนือกว่านางมากแล้ว เหตุใดคนธรรมดา ๆ จากดินแดนระดับต่ำตรงหน้านี้จึงมีรูปลักษณ์ที่งดงามถึงเพียงนี้ได้ ?

“สตรีผู้โง่เขลานี่มาจากที่ใดกัน ?”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ไว้หน้าหลงซินเอ๋อร์แม้แต่น้อยขณะกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์

“เฟยเอ๋อร์ เหตุใดตระกูลราชวงศ์จึงมีองค์หญิงที่โง่เง่าเช่นนี้อยู่ ? โชคดีจริง ๆ ที่เจ้าไม่ปล่อยให้นางออกไปท่องในดินแดนมหาเทพ มิฉะนั้น องค์หญิงผู้โง่เขลาคงจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลราชวงศ์จนป่นปี้เป็นแน่”

นางสืบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลราชวงศ์มาก่อนแล้ว รวมถึงเรื่องที่หลงเฟยเอ๋อร์และหลงซินเอ๋อร์มิได้กำเนิดมาจากมารดาคนเดียวกันและมักสาดวาจาตอบโต้กันเป็นประจำ จากทัศนคติและวาจาของนาง ฉินอวี้โม่ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาความสุภาพแม้แต่น้อย

“นั่นสิ เอาแต่กล่าวว่าเราเป็นมดปลวกจากดินแดนระดับต่ำ เจ้าไม่คิดถึงความจริงที่ว่าความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเจ้าด้อยกว่าพวกข้าอย่างนั้นรึ ? หากกล่าวว่าเราเป็นเพียงมดปลวก แล้วเจ้าจะไม่ด้อยค่ายิ่งกว่ามดปลวกอีกรึ ?”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวเสริมพลางกลอกตาไปมาเช่นกัน

“กล้ากล่าววาจาดูหมิ่นองค์หญิงผู้นี้งั้นรึ ?! ริอาจนัก !”

หลงซินเอ๋อร์ฉุนเฉียวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินวาจาของอีกฝ่าย นางเป็นถึงองค์หญิงของตระกูลราชวงศ์ ต่อให้มิใช่ธิดาคนโปรดของบิดาก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับนางมาก่อน

“เหอะ ! ขอโทษข้าเดี๋ยวนี้และข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป มิเช่นนั้น ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับท่านพ่อเพื่อให้เขาลงโทษพวกเจ้าอย่างสาสม !”

หลงซินเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชาก่อนมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกล่าววาจาข่มขู่

“รีบไปสิ แต่เกรงว่าเจ้าคงไม่สำเร็จดั่งที่หวังหรอก ตระกูลราชวงศ์เชิญพวกข้ามาที่พระราชวังในฐานะแขก หากท่านจักรพรรดิทราบว่าองค์หญิงหาเรื่องกวนใจพวกเราอยู่เช่นนี้ อยากเห็นนักว่าใครกันแน่ที่จะถูกลงโทษ !”

ฉินอวี้โม่ก็ตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว ถึงอย่างไรพวกนางก็ได้รับคำเชิญจากตระกูลราชวงศ์และไม่ได้ต้องการมาที่นี่ด้วยตัวเอง

“เหอะ หากตระกูลราชวงศ์ของเจ้าปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

หานโม่ฉือยิ้มเย็นและจับมือฉินอวี้โม่ก่อนหันหลังกลับ ราวกับกำลังจะเดินกลับไปทางเดิม

“ท่านทั้งสองโปรดอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”

น้ำเสียงอ่อนหวานดังมาจากในห้องโถงและสตรีนางหนึ่งก็ก้าวออกมา

สตรีผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดโดยที่มีผิวพรรณขาวใสและเนียนละเอียดทำให้ดูงดงามดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง ในเวลานี้นางก็ไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมายนัก ทว่ากลับมีความงามดุจดั่งเทพธิดาซึ่งยากที่ผู้ใดจะละสายตาได้ แม้ว่านางจะดูอ่อนโยน ทว่ากลิ่นอายของความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาก็มิอาจปกปิดได้เลย สตรีทั่ว ๆ ไปที่ยืนเทียบเคียงกับนางคงต้องรู้สึกด้อยค่าไปได้ง่าย ๆ

“พี่ใหญ่”

เมื่อพบหน้าสตรีผู้มาใหม่ หลงเฟยเอ๋อร์ก็ยิ้มกว้างและปรี่เข้าไปสวมกอดนางด้วยความรักทันที

“น้องสาม ขอโทษท่านจอมยุทธ์ทั้งสองเดี๋ยวนี้”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ทว่าสีหน้าของหลงซินเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปทันทีและไม่กล้าคัดค้านแม้แต่น้อย

หลงเพ่ยเอ๋อร์—องค์หญิงใหญ่ของตระกูลราชวงศ์และเป็นองค์หญิงผู้เป็นที่รักมากที่สุด แม้แต่องค์ชายทั้งหลายก็ยังมีสถานะด้อยกว่านาง วาจาของนางมีความสำคัญเป็นรองเพียงแต่องค์จักรพรรดิหลงอวี้เทียนแห่งตระกูลราชวงศ์เท่านั้น

“ท่านพี่ คนพวกนี้กล่าววาจาดูหมิ่นข้าก่อน”

หลงซินเอ๋อร์กล่าวด้วยความไม่พอใจและกัดฟันแน่น ทว่าแววตาแสดงถึงความชิงชังอย่างเห็นได้ชัด

หลงเพ่ยเอ๋อร์มักจะกดข่มนางมาเสมอนับตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทว่าหลงซินเอ๋อร์ก็ไม่สามารถต่อต้านได้เลยและนั่นทำให้นางไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

“น้องสาม ข้าทราบดีว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าไม่ต้องอธิบายหรอกว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ข้าทราบดีอยู่แล้ว เจ้าจะขอโทษท่านจอมยุทธ์ทั้งสองหรือจะกักตัวเองเป็นการลงโทษ เจ้าเลือกเองก็แล้วกัน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลงเพ่ยเอ๋อร์หายไปอย่างไร้ร่องรอยและสีหน้าความจริงจังเข้ามาแทนที่ ทว่าครู่หนึ่งต่อมา เมื่อนางหันกลับไปมองที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รอยยิ้มของนางก็เผยออกมาอีกครั้ง “ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย น้องสาวของข้าถูกเอาใจจนเคยชิน หากนางทำให้พวกท่านขุ่นเคืองใจก็ต้องขออภัยด้วย พวกเราเชิญทุกท่านมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อหารือเรื่องการรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ ตอนนี้ท่านพ่อของข้าและอีกสามตระกูลก็กำลังรออยู่ในห้องโถงแล้ว เมื่อน้องสามขอโทษพวกท่านและพวกท่านไม่ติดใจเอาความใด ๆ มันก็ไม่สายเกินที่จะเข้าไปข้างในอีกครั้ง”

นางกล่าวขอโทษฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นอันดับแรกพร้อมกับแสดงความจริงใจออกมา

หลงซินเอ๋อร์มักจะถูกเอาอกเอาใจมาเสมอและทุกคนทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อครู่หลงเพ่ยเอ๋อร์กำลังจัดการธุระบางอย่างอยู่และได้ยินการสาดวาจาตอบโต้ระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน ทว่านางเองก็รู้สึกจนปัญญากับน้องสามผู้นี้เป็นอย่างมาก

“ขะ…ข้าขอโทษ”

หลงซินเอ๋อร์กัดฟันกรอดและพยายามเค้นวาจากล่าวออกไปผ่านฟันที่กัดแน่น ทว่าเสียงของนางก็เบาราวกับเป็นเสียงยุงและแววตาของนางก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

“องค์หญิงพูดว่าอะไรนะ ? พวกเราได้ยินไม่ชัดนัก”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รู้สึกชื่นชมและถูกชะตากับหลงเพ่ยเอ๋อร์—องค์หญิงใหญ่แห่งตระกูลราชวงศ์ในทันที ความเด็ดขาดและแววตาหนักแน่นเช่นนี้คู่ควรแก่การเป็นองค์หญิงใหญ่ของตระกูลราชวงศ์ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของสตรีมากมายในดินแดนมหาเทพอย่างแท้จริง

เมื่อเห็นความไม่สบอารมณ์ในแววตาของหลงซินเอ๋อร์ ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดจะปล่อยนางไปง่าย ๆ ขณะยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป

“ถูกต้อง เสียงเบายิ่งนัก องค์หญิงสามไม่ได้กินข้าวมารึไง ?”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวอย่างให้ความร่วมมือเช่นกันและไม่ไว้หน้าหลงซินเอ๋อร์แม้แต่น้อย

“น้องสาม เจ้าควรจะกล่าวขอโทษอย่างจริงใจจะดีกว่า ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด !”

หลงเพ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวออกไปทันที น้องสามของนางไม่รู้จักกาลเทศะอย่างแท้จริง เวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นมิได้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของตระกูลราชวงศ์เลยสักนิด

“เหอะ ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรจะหาเรื่องกวนใจพวกท่าน ข้าผิดไปแล้ว พอใจแล้วรึยัง ?!”

หลงซินเอ๋อร์แค่นเสียงในลำคอและกล่าวกระแทกเสียงดังก่อนหันหลังและเดินเข้าไปในห้องโถงทันที นางไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกแม้แต่อึดใจเดียว

“ข้าต้องขอโทษพวกท่านด้วย น้องสามของข้าเป็นเช่นนี้มาตลอด ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”

หลงเพ่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและกล่าวขอโทษทุกคนอีกครั้ง หากมิใช่เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่มีต่อกัน นางคงไม่คิดสนใจหลงซินเอ๋อร์เลยสักนิด นับประสาอะไรกับการคอยแก้ปัญหาตามหลังให้

“พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ พี่อวี้โม่และคนอื่น ๆ มิใช่คนที่คิดติดใจอะไรหรอก หากพี่สามไม่มาหาเรื่องพวกนางอีก พวกนางก็จะไม่เสียเวลาไปสนใจอย่างแน่นอน”

หลงเฟยเอ๋อร์จับมือหลงเพ่ยเอ๋อร์และกล่าวขึ้นเบา ๆ แม้เพิ่งจะพบหน้ากันและยังไม่สนิทสนมกันมากนัก นางก็สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมิใช่คนที่จะหาเรื่องสร้างปัญหาให้ผู้อื่นก่อน ยิ่งไปกว่านั้น หลงเฟยเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าตราบใดที่หลงซินเอ๋อร์ไม่สร้างปัญหาก่อน ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่คิดที่จะทำอะไรนางอย่างแน่นอน

“เราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม หลงเฟยเอ๋อร์และหลงเพ่ยเอ๋อร์เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงสนิทสนมกันดี ส่วนเรื่องของหลงซินเอ๋อร์ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ต้องการเก็บมาคิดให้เสียเวลาอีกต่อไป

จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปในห้องโถงหลักด้วยกัน ทว่าทันทีที่ก้าวเข้ามา พวกนางก็สัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาและฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารของผู้คนจำนวนหนึ่งที่ถ่ายทอดมาที่ตนอย่างเลือนราง