“เวลานี้สติสัมปชัญญะของศิษย์พี่เซวียยังแจ่มชัดอยู่ ไม่สู้กลับเมืองจินกวังด้วยกันกับข้า ผู้อาวุโสทั้งหลายในนิกายบางทีอาจมีวิธีช่วยเหลือท่านได้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยปากเสนอขึ้นมาทันที
เซวียหูฟังถึงตรงนี้ ดวงตาที่เดิมทีลึกโหลเย็นชาทั้งสองข้างก็ทอแววอบอุ่นอันหาได้ยากอย่างห้ามไม่ได้ทว่าพริบตาเดียวก็สลายไป แล้วเขาก็ส่ายหน้าราวกับตัดสินใจบางอย่างเด็ดขาดแล้ว
“สายไปแล้ว…ตอนนี้ข้าเหลือเวลาไม่มาก มีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับเจ้า ราวเจ็ดแปดปีก่อนตอนที่วิญญาณผีในร่างข้ายึดครองร่างเอาไว้ มันเคยพาทหารผีกองหนึ่งดักโจมตีหน่วยย่อยหน่วยหนึ่งของผู้ฝึกฝนนิกายเราบนที่ราบภูตสวรรค์…ยามนั้นโชคดีที่ข้ายังมีสติเหลืออยู่เสี้ยวหนึ่งจึงพยายามสุดกำลังควบคุมตนเองไว้ไม่ไห้สังหารจนสิ้นซาก…จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังถูกคุมขังอยู่ที่เนินหลิงจิ้ว หลังจากศิษย์น้องหลิ่วกลับไปยังเมืองจินกวัง จำไว้ว่าต้องบอกเรื่องนี้แก่เบื้องบนของนิกาย รีบไปช่วยพวกเขาให้เร็วที่สุด…เฮ้อ ที่ยามนี้ข้ากลายเป็นสภาพเช่นนี้ล้วนเพราะความละโมบเป็นเหตุ แต่คนเหล่านี้น่าจะยังช่วยเหลือได้…”
บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าทุกข์ทรมานออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นร่างกายก็สั่นอย่างรุนแรง
“ที่ราบภูตสวรรค์? ศิษย์พี่เซวีย ในหน่วยย่อยของผู้ฝึกฝนนิกายเราหน่วยนั้นมีผู้ฝึกฝนหญิงผมสั้นที่ฝึกฝนวิชาสายวิญญาณคนหนึ่งอยู่ด้วยหรือไม่?” หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน!
ทว่าบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมในตอนนี้ใบหน้าบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปไปแล้ว ไฉนเลยยังฟังรู้เรื่องอีก ใบหน้ามนุษย์ของเขาหลับตาสองข้างลงอย่างเชื่องช้า ส่วนใบหน้าผีร้ายอีกฝั่งหนึ่งกลับลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ปราณสีดำพวยพุ่งออกมาจากร่างจนทั้งร่างถูกปราณวิญญาณห้อมล้อมไว้อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวร่างกายกว่าครึ่งก็กลายเป็นร่างของผีร้ายแล้ว
หลิ่วหมิงถอนหายใจ ในดวงตาแฝงแววเวทนาอยู่นิดๆ แต่มือกลับสะบัดเคล็ดกระบี่ กระบี่ขู่หลุนพุ่งออกไปปานสายฟ้า เพียงพริบตาก็ขยายใหญ่จนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าฟันลงบนลำคอของผีร้าย
ใบหน้าผีร้ายเผยสีหน้าตะลึงงัน มันอ้าปากคำรามลั่น แต่วิญญาณผีร้ายยังไม่ทันยึดครองร่างกายได้สมบูรณ์ มันจึงได้แต่ฝืนควบคุมปราณวิญญาณเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งบนร่างเท่านั้น
“เหอะ!”
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่าเคล็ดกระบี่ที่มือ กระบี่ขู่หลุนพลันเปล่งแสงกระบี่สว่างจ้าแล้วดีดอสรพิษสายฟ้าสีม่วงหนาเท่าแขนตัวแล้วตัวเล่าออกมาจากด้านใน “เปรี๊ยะๆ” พวกมันฉีกเกราะป้องกันที่สร้างจากปราณวิญญาณสีดำสนิทได้อย่างง่ายดาย
แสงสีม่วงสว่างวูบ กระบี่ขู่หลุนอ้อมรอบลำคอของผีร้ายแผ่วเบาดุจสายฟ้าแลบ
ใบหน้าโหดเหี้ยมของผีร้ายแข็งทื่อทันที หลังจากนั้นศีรษะก็เอียงแล้วกลิ้งลงมา โลหิตสีแดงสดเส้นหนึ่งพุ่งเป็นลำ
ร่างกายที่สูญเสียศีรษะล้มดังโครม ปราณวิญญาณในร่างบุรุษหน้าเหลี่ยมสลายไปอย่างเชื่องช้า ร่างกายกลับคืนเป็นร่างมนุษย์อย่างรวดเร็วยิ่ง
ในตอนนี้เองดวงวิญญาณสองดวงที่ถูกผูกติดอยู่ด้วยกัน สีน้ำเงินดวงหนึ่ง สีดำดวงหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกระหม่อมของศีรษะที่กลิ้งอยู่ของเขา แล้วเหาะเร็วรี่จากไปไกล
ใบหน้าของหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นชี้แผ่วเบา ปราณกระบี่เกลียวสีม่วงอ่อนเส้นหนึ่งพุ่งเร็วจี๋เข้าโจมตีดวงวิญญาณสีดำดวงนั้นอย่างแม่นยำ
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ปราณกระบี่เกลียวระเบิดเส้นอสนีบาตสีม่วงเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าออกมาโจมตีดวงวิญญาณสีดำสลายเป็นหมอกควันไปทันที!
ดวงวิญญาณสีน้ำเงินที่เหลืออยู่ดวงนั้นวนเวียนอยู่กลางอากาศแล้วหยุดนิ่ง ราวกับว่ามันกำลังส่งเสียงถอนหายใจที่หลุดพ้น จากนั้นบินออกไปไกลทันที
หลิ่วหมิงมองส่งดวงวิญญาณสีน้ำเงินดวงนั้นจากไปไกลแล้วจึงรั้งสายตากลับมา เขางอนิ้วดีดเบาๆ ครั้งหนึ่ง ลูกบอลเพลิงสองลูกพลันร่วงลงบนศพทั้งสองท่อนของบุรุษหน้าเหลี่ยม เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นทันใด
ภูเขาเดียวดาย ฝนเลือดโปรยปราย เปลวเพลิงลุกโหมเผาซากศพ ภาพเช่นนี้ทิวทัศน์เช่นนี้ทำให้ในใจหลิ่วหมิงอดไม่ได้รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย
เข้ามาในทางปีศาจร้ายได้ แล้วยังได้รับเลือกเป็นสายลับด้วยพลังระดับแก่นแท้ เห็นชัดว่าเซวียหูผู้นี้เคยเป็นผู้โดดเด่นในนิกายไม่ว่าจะในทางสภาพจิตใจหรือพรสวรรค์ คงไม่ใช่พวกไร้ชื่อเสียงอะไร
แต่วันนี้เพราะความละโมบอยากก้าวหน้าเพียงนิดเดียว สุดท้ายจึงมีจุดจบอนาถเช่นนี้ ชวนให้คนอดเวทนาไม่ได้
“เอ๊ะ…”
ขณะที่ศพกลายเป็นเปลวเพลิงสีเทาสายแล้วสายเล่าปลิวลอยไปตามสายลม หลิ่วหมิงก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วกวักมือ แหวนเก็บของสีแดงอ่อนวงหนึ่งลอยจากบนพื้นพุ่งมาอยู่ในมือของเขา
“นี่คือแหวนเก็บของของเซวียหูสินะ…” หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าแล้วพลิกมือเก็บไป
ในเวลาเดียวกันทางป้อมปราการภูเขายักษ์ก็มีเงาผีหลายร่างปรากฏขึ้นเลือนรางก่อนจะเหาะมาทางด้านนี้
หลิ่วหมิงเหล่ตามองแวบหนึ่งก็ไม่รั้งอยู่ที่นี่ต่ออีก มือตั้งท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่ขู่หลุนฉายแสงสีม่วงยกร่างเขาเหาะเร็วรี่จากไปไกลดุจสายลมทันที
เวลาเพียงพริบตาแสงกระบี่สีม่วงก็กลายเป็นจุดแสงจุดหนึ่งบนขอบฟ้า หลังจากนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลายวันให้หลัง ในห้องโถงใหญ่บนยอดหอใจกลางเมืองจินกวัง
หลิ่วหมิงผู้กลับมาได้อย่างปลอดภัยเมื่อสักครู่กำลังยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ป้อมปราการภูเขายักษ์เมื่อหลายวันก่อนให้ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนผู้ใบหน้าเย็นชาฟัง
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากแปลงเป็นร่างภูตผีจะเกิดปัญหาใหญ่เช่นนี้ กระทั่งเซวียหูแห่งยอดเขาชางซงก็ไม่อาจโชคดีหนีพ้น” ทารกเฮ่าเยวี่ยฟังหลิ่วหมิงเล่าจบก็ถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
เวลานี้หลิ่วหมิงเพียงยืนตรงทิ้งแขนไว้ข้างลำตัวไม่เอ่ยตอบอันใด
“มิน่าศิษย์ที่แฝงตัวจึงขาดการติดต่อไปทีละคน แม้เป็นศิษย์ที่ยังไม่ขาดการติดต่อ ข่าวที่ส่งกลับมาก็ยิ่งเว้นระยะห่างกันนานขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าคนเหล่านี้คงไม่ได้ถูกเบื้องบนของกองทัพผีค้นพบแล้วกำจัดเหมือนที่คาดคิดกันก่อนหน้านี้ แต่คงพบเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน วันนี้บางคนในหมู่พวกเขาก็คงร่วงหล่นกลายเป็นทหารผีไปจริงๆ นานแล้ว…ยามนั้นที่รีบร้อนดำเนินแผนแฝงตัวนี้บุ่มบ่ามไปอยู่บ้างจริงๆ” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาส่ายศีรษะ แล้วถอนหายใจอย่างเสียดายอยู่บ้าง
“ศิษย์พี่กู่ไม่จำเป็นต้องโทษตนเองเกินไป จากที่ข้ารู้สถานการณ์ยามนั้นค่อนข้างคับขัน อีกทั้งแผนการแฝงตัวเป็นการตัดสินใจของเบื้องบน ความจริงแล้วท่านเองก็ถูกบีบไร้ทางเลือก ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำคือหารือมาตรการรับมือให้เร็วที่สุด” ทารกเฮ่าเยวี่ยเอ่ยปลอบหลายประโยค
“ศิษย์น้องเฮ่าเยวี่ยพูดถูกต้องแล้ว เรื่องนี้พวกเราต้องรายงานเบื้องบน หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะรีบเรียกสหายสายลับคนอื่นที่เหลืออยู่กลับมาหรือไม่” บุรุษวัยกลางคนผู้ใบหน้าเย็นชาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมา
“หลิ่วหมิง นอกจากศิษย์ของนิกายที่ถูกคุมขังอยู่เหล่านั้น เซวียหูยังฝากข้อมูลอื่นไว้อีกหรือไม่?” ทารกเฮ่าเยวี่ยหมุนตัวมาถามหลิ่วหมิง
“ยามนั้นผู้อาวุโสเซวียเพิ่งบอกเรื่องเหล่านี้จบก็ถูกวิญญาณผีร้ายดวงนั้นยึดครองร่างไปอีกครั้ง เพื่อปกป้องตนเอง ศิษย์จึงได้แต่สังหารเขา แต่ศิษย์เก็บแหวนเก็บของของเขากลับมาด้วย ไม่รู้ว่าด้านในจะมีข่าวสำคัญอีกหรือไม่” หลิ่วหมิงรายงานอย่างนอบน้อมพร้อมกับนำแหวนเก็บของที่เขาเก็บได้ออกมาส่งให้
แหวนเก็บของวงนี้เขาใช้จิตสัมผัสกวาดอย่างง่ายๆ เพียงรอบหนึ่งเท่านั้น พบว่าโครงสร้างด้านในซับซ้อนอย่างยิ่ง แหวนเก็บของถูกแบ่งเป็นหลายส่วน ด้านในยังวางชั้นจำกัดระเบิดตนเองไว้หลายชั้น ไม่รู้วิธีคลาย ไม่อาจเปิดได้อย่างสิ้นเชิง
บุรุษใบหน้าเย็นชากวักมือข้างหนึ่ง แหวนเก็บของสีแดงอ่อนก็หมุนคว้างกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วร่วงลงในมือของเขาอย่างเชื่องช้า
จากนั้นมือข้างหนึ่งของเขาก็จิ้มแหวนเก็บของเบาๆ ลวดลายจิตวิญญาณบนแหวนเก็บของทอแสงวิบวับ แสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าฉายออกมา เพียงครู่เดียวก็ฟื้นคืนดังเดิม
หลังจากนั้นบุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาก็ตรวจสอบแหวนเก็บของอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วหันศีรษะไปสบตากับทารกเฮ่าเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างก่อนจะพยักหน้านิดๆ
“หลิ่วหมิง ครั้งนี้เจ้าสร้างความชอบครั้งใหญ่ ข้าจะรายงานทุกสิ่งกับเบื้องบน หลังจากนี้นิกายจะมอบรางวัลให้ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ากับศิษย์พี่กู่ต้องหารือกันอีกสักหน่อยว่าจะช่วยศิษย์ที่ถูกจองจำเหล่านั้นอย่างไร” ทารกเฮ่าเยวี่ยเอ่ยชมหลิ่วหมิงอีกหลายประโยคแล้วเตรียมจะไล่เขาไป
“ขอบคุณอาจารย์อาทั้งสองยิ่งนัก หากมีข่าวของศิษย์พี่เสี่ยวอู่ หวังว่าจะบอกแก่ข้า ศิษย์ขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงฟังจบก็ประสานมือให้ทั้งสองคนอย่างนอบน้อมแล้วหมุนตัวคิดจะออกไป
“รอประเดี๋ยว! ในเมื่อเจ้าเอ่ยถึงเสี่ยวอู่ขึ้นมา เรื่องช่วยศิษย์เหล่านั้น หากเจ้ายินดี…จะมอบภารกิจนี้ให้กับเจ้า ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกคนเดินทางไปช่วยอีก ตรงนี้มีคัมภีร์หยกเล่มหนึ่ง เจ้าลองดูก่อน”
บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยปากเรียกหลิ่วหมิงไว้ ก่อนจะเรียกคัมภีร์หยกสีน้ำเงินอ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากในแหวนเก็บของ เมื่อเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น มันก็ร่วงลงในมือหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง
หลังจากหลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกมาก็แนบมันบนหน้าผาก เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์หยกก็คือเนินหลิงจิ้วที่บุรุษแซ่เซวียเอ่ยถึงในวันนั้น
เนินหลิงจิ้วอยู่ห่างจากป้อมปราการภูเขายักษ์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือหนึ่งแสนกว่าลี้ มันเป็นหุบเขาธรรมชาติแห่งหนึ่ง ปากหุบเขามีเนินเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดปีรูปร่างคล้ายนกเสอจิ้ว[1] จึงได้ชื่อนี้มา
สถานที่แห่งนี้ถูกปราณหยินจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ตลอดทั้งปีจึงถูกกองทัพผีร้ายยึดครองเอาไว้ใช้วิจัยค่ายกลผี ดังนั้นทหารผีที่เฝ้าอยู่จึงไม่มากนัก แต่มีชั้นจำกัดป้องกันนานาชนิดอยู่ไม่น้อย
หลิ่วหมิงดึงคัมภีร์หยกออกจากหน้าผากแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิด
ดูจากสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก แม้เนินหลิงจิ้วจะมีทหารคุ้มกันไม่มาก แต่ก็น่าจะมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้อยู่ตนถึงสองตน แม้ฝีมือของเขาจะจัดการผีแม่ทัพตนหรือสองตนได้อย่างไม่เป็นปัญหาอันใด แต่มีชั้นจำกัดที่ต้องจัดการค่อนข้างมาก หากไม่มีวิชาทำลายชั้นจำกัดที่ดีจนเข้าไปช่วยคนออกมาได้อย่างรวดเร็ว นานเข้าคงมีกองทัพผีร้ายจำนวนมากมาเสริมทัพ
แต่ในอีกด้านหนึ่งดูจากรูปการณ์ต่างๆ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่ถูกผีแม่ทัพซุ่มโจมตีและจองจำไว้เหล่านั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นหน่วยย่อยของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่หายไปของเสี่ยวอู่
“หลิ่วหมิง หากเจ้ายินดีเดินทางไป ข้าจะพยายามส่งหน่วยย่อยอื่นไปลอบจู่โจมฐานที่มั่นแห่งอื่นใกล้เนินหลิงจิ้วเพื่อดึงกองทัพผีในที่เหล่านั้นไว้ แต่ภารกิจช่วยคนจำต้องลอบทำเพียงลำพังเพื่อไม่ให้ดึงความสนใจของผู้อื่น หากเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะก็ไม่ต้องฝืนเกินไป” ทารกเฮ่าเยวี่ยเห็นท่าทางของเขาจึงเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง
“ศิษย์คิดดีแล้ว ศิษย์ยินดีเดินทางไปทำภารกิจครั้งนี้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วไวแล้วตอบอย่างแน่วแน่
การที่หลิ่วหมิงตอบอย่างรวดเร็วเช่นนี้ทำให้ทารกเฮ่าเยวี่ยที่นั่งอยู่ตะลึงเล็กน้อย บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาก็มีแววตาประหลาดใจแล่นผ่านดวงตาเช่นกัน
“ไม่เลว ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ! เจ้ากลับไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อน พวกเราจะรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหลายแล้ววิเคราะห์แผนการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดสักหน่อย” บุรุษวัยกลางคนใบหน้าเย็นชาเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง
—–
[1] นกเสอจิ้ว (蛇鹫) นกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ที่เป็นเครือญาติกับอินทรี เหยี่ยวและอีแร้ง มันมีช่วงขาที่ยาวจึงมักจะเดินล่าเหยื่อบนพื้นแทนที่จะบินโฉบลงมาจับ