ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 112 อวสาน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 112 อวสาน

ภายในความฝันนิรันดร์กำลังเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น

ศึกครั้งนี้เป็นศึกระหว่างจิตใจสองด้านในเทพตนเดียว ความแข็งแกร่งของบรรพชนมนุษย์จะลดลงมากหากพยายามต่อสู้กับเจ้าแห่งแดนฝันนอกร่าง แต่หากเป็นภายในร่างก็จะสามารถดึงพละกำลังออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

เพราะอย่างไรในนี้ เขาคือฮ่วนเมิ่ง และฮ่วนเมิ่งก็คือเขา

ระหว่างต่อสู้ ทั้งสองพบว่าวิชาของตนเองกับอีกฝ่ายนั้นคล้ายคลึงกันมาก

การต่อสู้ครั้งนี้ส่งผลให้แดนฝันปั่นป่วนไม่ใช่น้อย พวกเขาพลิกน้ำพลิกทะเลปล่อยคลื่นพายุซัดใส่กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อสุนีบาตแลบแปลบปลาบ เพลิงแดงแผดเผาท้องฟ้า สายฝนตกกระหน่ำลงมา แสงสว่างอันเจิดจ้าที่ทำลายล้างโลกได้ ฉากมหันตภัยเช่นนี้สลับกันไปมาเป็นระวิงไม่มีหยุด

นอกจากนี้ยังมีกำลังทหารและแม่ทัพเซียนทุกประเภทมาร่วมด้วย และไม่ใช่ว่ากองทัพที่เห็นนี้เป็นภาพมายาไปเสียหมด บางตนเป็นภูตแดนฝันของจริง ทว่าบรรพชนมนุษย์เองก็มีวิชาแบบเดียวกัน กองทัพสองฝ่ายจึงเข้าปะทะกันเสมือนเลือดภายในร่างเข้าห้ำหั่นกันเอง

บรรพชนมนุษย์ดูไม่สะทกสะท้านเท่าไร แต่เจ้าแห่งแดนฝันเป็นต้องรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อเห็นภูตแดนฝันนับไม่ถ้วนล้มลงไปและไม่อาจลุกขึ้นมาอีก เขาจึงเป็นฝ่ายที่หยุดการโจมตีที่เป็นเสมือนการฆ่าตัวตายนี้ก่อน

“หยุดเรียกพวกนั้นมาได้แล้ว! เรื่องนี้เป็นศึกระหว่างเจ้ากับข้า!” เขาคำรามเสียงสิ้นหวัง

บรรพชนมนุษย์กลับเมินเฉย

เจ้าแห่งแดนฝันควบคุมได้เพียงความฝัน ไม่อาจควบคุมบรรพชนมนุษย์ได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไร้ความเสียใจใด

นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไร

ในฐานะผู้เริ่มศึกครั้งนี้ บรรพชนมนุษย์เพียงแค่ต้องหาวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าควบคุมร่าง ไม่ต้องสนว่าจะเสียอะไรไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เจ้าแห่งแดนฝันนั้นกลับตรงกันข้าม เขาจำเป็นต้องเอาชนะบรรพชนมนุษย์และต้องทำให้มีประสิทธิภาพเสียด้วย ไม่เช่นนั้นสมบัติล้ำค่าทั้งหลายที่เขาสั่งสมมาก็จะสูญสิ้นไป

บรรพชนมนุษย์ไม่สนใจที่เจ้าแห่งแดนฝันขอให้ลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุดเลย ยังคงทำสงครามภายในร่างต่อไปอย่างตั้งใจ

แท้จริงแล้วบรรพชนมนุษย์กลับยิ่งออกท่าโจมตีสะท้านสะเทือนยิ่งกว่าเดิม

เขาเรียกภูตแดนฝันมาอีก พวกมันกลายร่างเป็นทหารเซียนแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าแห่งแดนฝันทันใด

“บัดซบ! ไอ้บัดซบเอ๊ย!!!”

ภายในแดนฝันนิรันดร์ เจ้าแห่งแดนฝันได้เปลี่ยนร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปากขนาดใหญ่ มันอ้าปากกว้างแล้วดูดกลืนภูตแดนฝันทั้งหลายกลับเข้าไป

ทว่ายามที่มันได้เข้าไปก็เกิดระเบิดพลังขึ้นในปากขนาดยักษ์นั่น ปากมายาของเจ้าแห่งแดนฝันถูกระเบิดกระจุยกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“บัดซบ!” เจ้าแห่งแดนฝันสบถออกมาอีกครั้งด้วยแรงโกรธ

สีหน้าที่บิดเบี้ยวและอาฆาตแค้นของเขาปรากฏให้เห็นเต็มตาในยามที่เขาเอื้อมมือขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งเส้นอสนีบาตเส้นแล้วเส้นเล่าใส่บรรพชนมนุษย์

ทว่าบรรพชนมนุษย์กลับไม่สะทกสะท้าน

“ไม่จำเป็นต้องโกรธถึงขนาดนั้นหรอก เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหลายร้อยปีมานี้ข้าศึกษาเจ้าจนทะลุปรุโปร่ง เหตุผลเดียวที่ไม่เคยคิดจะยึดครองร่างเจ้าเป็นเพราะกลัวว่าเทพพวกนั้นจะพบข้า แต่ไม่ใช่เพราะข้าทำไม่ได้”

ว่าแล้วเปลวเพลิงสีนิลก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ปะทะเข้ากับอสนีบาตที่กำลังฟาดลงมา

เปลวเพลิงอันพลุ่งพล่านกลืนริ้วสายฟ้าไปสิ้น ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างหลักเจ้าแห่งแดนฝัน หุ้มร่างเขาไว้ดั่งเชือกที่ลุกเป็นไฟ

“นี่มันอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามเสียงด้วยความมึนงง เขาตกตะลึงนักที่พบว่าตนเองไม่อาจรู้ได้ว่าเพลิงกาฬเหล่านี้มาจากที่ใด

“พวกนี้คือความเกลียดชัง ความเศร้าโศก และความพยาบาทที่ข้ารวบรวมมาได้ในการเดินทางนับครั้งไม่ถ้วน แล้วนำมันมากลั่นรวมจนจับต้องได้ ใครก็ตามที่ต้องเชือกแค้นจะรู้สึกถึงความสิ้นหวังที่เข้าคืบคลาน ดับไฟปรารถนาที่จะทำการต่อสู้ไป” บรรพชนมนุษย์ตอบเสียงไร้ความรู้สึก

เชือกแค้นเหล่านี้สามารถทำให้จิตใจอันแรงกล้าอ่อนแอลงได้ ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีผลต่อเทพเจ้านัก ทว่าภายในแดนฝันพลังจิตคือทุกสิ่งอย่าง การลดจิตวิญญาณในการต่อสู้ย่อมส่งผลทำให้ทั้งกำลังและพลังจิตลดลงเป็นอย่างมาก

หลังถูกมัดด้วยเชือกแค้น พลังของเจ้าแห่งแดนฝันจึงลดลงเรื่อย ๆ

เขากรีดร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “ไม่ ไม่นะ! จะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้!”

ตูม!

เจ้าแห่งแดนฝันกลายร่างเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน

นี่คือร่างจริงของเขา มีรากดั่งเส้นสายพลังจิต ขยับไหวไปมาในอากาศไม่หยุด ดูดซับพลังจิตโดยรอบทั้งหมดเข้ามา

เจ้าแห่งแดนฝันยังคงไม่ยอมแพ้หมายจะสู้จนถึงที่สุด รากเริ่มขยายจนแทงออกมาจากพื้นเต็มไปทั่วแดน

“นี่คือโลกของข้า! ไม่ว่าใครก็เอามันไปจากข้าไม่ได้!” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามลั่น เชือกแค้นที่รัดกายพลันสลาย ส่งผลให้บรรพชนมนุษย์คำรามเสียงในลำคอแล้วก้าวถอยไปหลายก้าว

แม้ภายนอกจะไร้รอยบาดเจ็บ แต่กลิ่นอายของบรรพชนมนุษย์ก็อ่อนลงช่วงจังหวะหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

เจ้าแห่งแดนฝันพูดถูก โลกใบนี้เป็นของเขา อีกทั้งเขายังอยู่ภายในร่างกายตัวเองด้วย ในฐานะผู้ปกครองโลกแห่งนี้ จำนวนพลังจิตที่เขาสามารถควบคุมได้มากกว่าที่บรรพชนมนุษย์สามารถทำได้เสียอีก

เมื่อเจ้าแห่งแดนฝันระเบิดพลังเต็มขั้นออกมา แค่พลังเพียงอย่างเดียวก็สามารถสยบจิตใจคนให้สิ้นหวังได้แล้ว

แต่กระนั้นในจังหวะนั้นเอง บรรพชนมนุษย์พลันหัวเราะขึ้น “ในที่สุดก็เผยร่างจริงสินะ? กำลังรอจังหวะนี้อยู่พอดีเชียว”

เจ้าแห่งแดนฝันชะงักไป “เจ้ายังมีแผนที่ข้าไม่รู้อีกงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก”

“ไม่เลย!” พลังบรรพชนมนุษย์พลันระเบิดออก แสงสว่างเจิดจ้าเติมเต็มฟ้า

“พลังต้องห้าม! นี่มันพลังต้องห้าม! เจ้าสามารถควบคุมพลังต้องห้ามนั่นได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้!” เจ้าแห่งแดนฝันร้องขึ้นเสียงตื่นตะลึง

แม้จะไม่มีเชือกแค้นรัดพัน แต่ความสิ้นหวังก็คืบคลานเข้าในใจแล้ว

แม้ว่าบรรพชนมนุษย์ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นตัวตนอมตะ แต่ก็น่าจะสูญเสียความสามารถในการบ่มเพาะพลังอมตะไปนานแล้ว

แล้วยังสามารถเรียกใช้และควบคุมพลังอมตะได้อย่างไรกัน?

“ข้ามอบให้เขาเอง” ซูเฉินขัดขึ้นเสียงเรียบ

“มอบให้หรือ?” ฮ่วนเมิ่งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามเสียงโกรธขึ้น “ไหนว่าเจ้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกอย่างไรเล่า!”

“ข้าเปล่า เขาขอมันไปจากข้าเอาไว้เสริมกำลังเพื่อรับมือกับท่านโดยเฉพาะก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นเสียอีก… เช่นนี้เรียกว่าเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ใช่ยื่นมือเข้าแทรก” ซูเฉินตอบกลับหน้าตาเฉย

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

บรรพชนมนุษย์ขอพลังอมตะสายหนึ่งมาจากซูเฉินเมื่อครั้งยังอยู่ในอาณาเขตคุน

ในตอนนั้นซูเฉินไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงอยากได้

แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว

อีกฝ่ายหมายจะใช้มันเป็นเมล็ดนี่เอง!

ตัวบรรพชนมนุษย์เองไม่สามารถบ่มเพาะพลังอมตะได้อีก แต่พลังอมตะสามารถกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์และเติบโตขึ้นได้ แม้จะคุมพลังอมตะใหม่มาใช้เองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่กลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ก็พอ

เมื่อเจ้าแห่งแดนฝันเผยร่างจริง จังหวะนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เขาแกร่งที่สุดและอ่อนแอที่สุดในคราวเดียวกัน

พลังอมตะของบรรพชนมนุษย์พุ่งทะยานสะท้านสะเทือนแดนฝัน กลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเข้าไป

ปกติแล้วต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเกิดกระบวนการเช่นนี้

แต่ทั้งสองต่อสู้กันอยู่ในแดนฝัน ทุกอย่างในนี้คือมายา จินตนาการทั้งหลายย่อมเป็นไปได้

พลังอมตะเพียงเสี้ยวเดียวในนี้ก็มีพลังมหาศาล ยิ่งมีบรรพชนมนุษย์เป็นแรงหนุน แค่เศษเสี้ยวเดียวก็เติบใหญ่ด้วยความรวดเร็วจนแทบจะคุมไม่ได้

ในแดนฝันนิรันดร์สีสันฉูดฉาดละลานตาพลันเต็มไปด้วยแสงขาวเจิดจ้า กลืนทุกสิ่งอย่างที่แสงสาดส่องไปถึงเข้าไป

“ม่ายยยยย!!!” เจ้าแห่งแดนฝันร้องเสียงโหยหวน แต่ไม่ว่าต้นไม้ต้นนี้จะโบกกิ่งของมันอย่างไร ก็ไม่อาจหยุดพลังอมตะได้เลย

มวลพลังอมตะขยายมาถึงขอบโลกมายา เสียงร้องคำรามและโหยหวนของเจ้าแห่งแดนฝันก็พลันหยุดไป

ในแดนฝันนิรันดร์ของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยพลังอมตะ หรือก็คือเขาได้พ่ายแพ้ต่อตัวตนที่ซ่อนเร้นอยู่ แดนนี้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้ว

เขาตายแล้วนั่นเอง

แสงสีขาวเริ่มจางลง ทว่าแดนฝันไม่ได้เต็มไปด้วยสีสันหลากสีอีกต่อไป มันกลายเป็นสีเทา สีดำ ดูรกร้าง

บรรพชนมนุษย์ถอนหายใจเหนื่อยล้าออกมา

“จบแล้ว มันจบแล้วจริง ๆ ”

“ยังหรอก ข้างนอกยังมีเทพเหลืออยู่อีกห้าองค์” ซูเฉินเอ่ย

“นั่นไม่สำคัญแล้ว ศึกครั้งนี้รู้ผลแพ้ชนะแล้วล่ะ ชะตากรรมพวกเขาจบแล้ว” บรรพชนมนุษย์ตอบกลับ

“ท่านพูดถูก”

ภายในแดนต้นกำเนิด

ศึกครั้งใหญ่กับเหล่าทวยเทพยังคงดำเนินอยู่

พระแม่ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เทพอนารยะ เทพดาบเพลิง และเจ้าแห่งอสูรกำลังต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลัง

ในที่สุดเวลาที่รอคอยมานานก็มาถึง

แต่ไม่นานพวกเขาก็พบเรื่องน่าผิดหวังว่าแดนต้นกำเนิดเปลี่ยนไปมาก เผ่าพันธุ์ที่พวกเขาเคยควบคุมใช้ประโยชน์ได้ ตอนนี้กลับเจริญก้าวหน้าจนถึงจุดที่สามารถต่อต้านผองเทพได้แล้ว กระบี่บินและพลังอมตะทั้งหลายสร้างแรงกดดันให้ไม่น้อยทีเดียว

พวกผู้เป็นอมตะจะกลับมา!

เป็นเพียงความคิดเดียวที่พวกเขาคิดได้

พลังต้องห้ามที่พวกเขาเกรงกลัวมานานหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบจนได้

แม้พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของพวกเขาจะรวมกันจนเติมเต็มฟ้าได้ และแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเทพเจ้า แต่ “ผู้เป็นอมตะ” ทั้งหลายที่กำลังพุ่งเข้ามาต่างก็ซัดวิชาเข้าใส่อย่างไร้ความเกรงกลัว

กองทัพที่ถูกเรียกมาโดยบรรพชนมนุษย์ในแดนฝันอาจเป็นของปลอม ทว่าล้วนเป็นนักรบที่แท้จริงทั้งสิ้น

พวกเขาเดินอยู่บนหมู่เมฆ ถืออาวุธพลังทำลายล้างสูง ปลดปล่อยวิชาอมตะออกมา เมฆาพลันแยก

เทพเจ้าใช้ทุกวิชาที่มีอยู่จนหมดสิ้น เปลี่ยนทั่วทั้งโลกาให้กลายเป็นลานศึก กระทั่งแสงตะวันและจันทรายังดูอ่อนแรงเมื่อเทียบแสงกับพลังอำนาจนี้

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

คลื่นแสงสีขาวเจิดจ้าระลอกแล้วระลอกเล่าพัดผ่านเทพเจ้า กระทั่งแสงของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์เทียบกันแล้วยังอ่อนกว่า

ทันใดนั้นใบหน้าดุดันที่เต็มไปด้วยแรงสังหารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดขาวของนาง “มนุษย์โอหังเอ๋ย! เจ้ากล้าใช้ร่างกายอันต่ำช้าเช่นนี้มาหยุดพวกเราเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ? ลิ้มรสชาติแรงโกรธของเทพเจ้าหน่อยเป็นไร!”

พูดจบก็เกิดแรงพลังผันผวนขึ้นบนฟ้า

ราวกับว่ากาต้มน้ำพลันเดือดขึ้นมาทันใด คลื่นพลังงานรุนแรงโหมกระหน่ำพุ่งออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบร้อนขึ้น

อย่างไรแสงจันทร์ก็คือแสงสะท้อนมาจากแสงอาทิตย์อยู่แล้ว

ส่วนมากแล้วแสงจันทร์ให้ความรู้สึกเยือกเย็น

แต่เมื่อเทพธิดาแห่งดวงจันทร์พิโรธขึ้นมาเมื่อไหร่ แสงจันทร์ก็จะกลับมารุ่มร้อนดังเดิม

รู้สึกราวกับว่าตะวันทั้งดวงพลันหล่นลงมาอย่างไรก็อย่างนั้น ทำให้มันสั่นสะเทือนภายใต้อำนาจโกรธของ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ มันร้อนรุ่มเสียจนรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังถูกอบทั้งเป็น

ทุกคนในสนามรบรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พัดผ่านพวกเขาไปพร้อมกัน แต่ความร้อนไม่ได้เกิดขึ้นภายนอก มันเกิดขึ้นภายใน ทุกสิ่งอย่างในกายร้อนดั่งไฟ ทำให้แทบไม่สามารถปกป้องตนเองได้เลย

แสงสีขาวร้อนราวกับจะบิดเบือนพื้นที่ต่อสู้ กระทั่งพลังอมตะยังไม่อาจระงับโทสะนี้ได้ คนทั้งหลายจึงได้แต่ใช้กระจกใจปกป้องกาย แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวมาก

ทหารคนแล้วคนเล่าร้องลั่นขึ้นเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อร่างกายถูกไอร้อนครอบงำก็เริ่มร่วงลงจากฟ้า กระทั่งหลี่หวู่อี้ เจียงจูเซิง และคนอื่น ๆ ร่วมมือกันยังไม่อาจสกัดการโจมตีนี้ได้

พลังอำนาจที่แท้จริงของเทพช่างน่ากลัวเสียจริง!

แต่จังหวะนั้นเองที่มีร่างหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะกลายร่างเป็นมังกรขนาดใหญ่ พ่นไฟลูกหนึ่งใส่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์

คือผู้ถือครองสายเลือดมังกรสุริยะ กู่ชิงลั่วนั่นเอง

ใช้ไฟล้างไฟ!

กู่ชิงลั่วกลั่นพลังต้นกำเนิด พลังอมตะ เจตจำนง และพลังจากสายเลือดทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างรวมเป็นการโจมตีเพลิงนั้น น่าตกใจไม่น้อยที่ยามมันพุ่งทะยานออกไป ก็ได้ยินเสียงราวกับฟ้าคำรามทีเดียว

ทันใดนั้นก็เกิดรอยแยกขึ้นบนน่านเวหา

ความร้อนบนสนามต่อสู้พลันลดลงในพริบตา

ตอนนั้นเองที่ทุกคนสบโอกาส ซัดการโจมตีทั้งหลายเข้าใส่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ทันที

แม้จะถูกนางเผาจนตาย อย่างน้อยก็ขอใช้พลังที่เหลืออยู่โจมตีนางก่อนเถอะ!

ทหารแต่ละคนล้วนมีความคิดเดียวกัน พากันโคจรพลังภายในร่างจนถึงขีดสุด

ตูม!!!

คลื่นแห่งการทำลายล้างอันบริสุทธิ์พุ่งออกมา ปะทะเข้ากับเทพเจ้าทั้งห้าองค์ด้วยความรุนแรงที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน กระทั่งเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพเรียกขึ้นมาเพื่อปกป้องกายยังถูกซัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในคราวเดียว

“อ๊าก!” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อพลังอมตะทำลายเกราะนางลงได้ หนำซ้ำมันยังรบกวนพลังจิตและส่งผลกระทบต่อนางไม่น้อย ชั่วพริบตาเดียว ไอร้อนที่แผ่ออกจากกายนางก็ลดลงอย่างมาก

นรกที่แผดเผาพวกเขาลดความร้อนแรงลงแล้ว

“บุก!” ทหารมนุษย์จึงเริ่มตอบโต้เมื่อเห็นว่าการโจมตีของพวกเขาสามารถสกัดการโจมตีของเทพเจ้าไว้ได้

เป็นตอนนั้นเองที่มีแสงสีขาวปรากฏขึ้น

แสงสีขาวนั้นมาจากขนนกสีขาวขนาดใหญ่ที่แผ่ออกมาตรงหน้าพวกเขานั่นเอง

ขนนกละลานตาเรียงกันสลับซับซ้อน ขยับไหวไปมาอย่างแผ่วเบาอยู่บนท้องฟ้า

ขนปักษาศักดิ์สิทธิ์!

ขนนกพวกนี้คือสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปักษาเก็บเอาไว้ ต่อสู้ชิงมันมา และตามหามันอย่างบ้าคลั่ง

สายฝนขนนกระลอกใหม่ยังคงปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เปล่งแสงสีขาวอบอุ่นที่สะกดใจทหารทั้งหลายเอาไว้ ทันใดนั้นขนนกทั้งหมดก็กลายเป็นศรนับแสนที่วิ่งเข้าใส่กองกำลังทหารทั้งหมด

ฉึก ๆๆ!

เลือดสาดกระเซ็นออกไปทั่วทิศ

ผู้เชี่ยวชาญมากมายถูกขนนกปักร่าง ร่วงลงจากฟ้าทันที

พระแม่กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้ว ร่างที่แท้จริงของนางคือต้นไม้ต้นหนึ่ง ด้านบนสุดมีรังนกขนาดใหญ่ประดับอยู่ ใจกลางรังมีอินทรีขาวนั่งอยู่ข้างใน

คนส่วนใหญ่คิดว่าพระแม่คงเป็นอินทรีตัวนั้น

แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือ ทั้งต้นไม้ ทั้งรังนก และอินทรีตัวนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นร่างกายของพระแม่

ต้นไม้คือรากฐาน ทำหน้าที่ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์และส่งต่อไปยังส่วนที่เหลือของร่างกาย รังนกมีไว้เพื่อเพาะพันธุ์ผลิตปักษาขึ้นมา ส่วนอินทรีมีหน้าที่โจมตี การโจมตีของมันรุนแรงยิ่งนัก

เมื่อครู่นี้พระแม่ใช้ปีกอินทรีตัวนั้นซัดพลังโจมตีออกมา

ขนปักษาศักดิ์สิทธิ์ของนางกรีดผ่านทุกสิ่งอย่าง สังหารคนไปเกือบหมื่นในคราวเดียว

นี่คือพลังของเหล่าเทพชั้นสูง

พระแม่และเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ล้วนมีวิชาขั้นสูงเป็นของตน ซึ่งเป็นวิชาที่ไม่สามารถเอาจำนวนเข้าสยบได้

“หากไม่เป็นเพราะพลังต้องห้ามเวรนี่ มีแค่ข้าก็สังหารพวกเจ้าได้แล้ว!” พระแม่คำรามด้วยความพิโรธ

ไม่เพียงแต่พลังอมตะจะสามารถกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ยังคลายฤทธิ์ของมันได้ด้วย พายุขนปักษาสังหารคนได้เพียงหมื่น แม้คนที่เหลือจะตกใจด้วยเห็นพระแม่สำแดงกำลัง แต่ตัวพระแม่กลับผิดหวังและตกใจมากกว่าที่มีคนตายไปเพียงเท่านั้น

เพราะนางใช้ขนปักษาศักดิ์สิทธิ์ไปหลายร้อยเส้น หรือก็คือใช้ไปเกือบหมดแล้ว

ใช้เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ไปมากมายเช่นนี้ มีหรือจะไม่เสียดายได้?

ขนปักษาของพระแม่นับเป็นแหล่งพลังของนาง ยามมีให้ใช้ก็แกร่งจนถึงขีดสุด กระทั่งเจ้าแห่งแดนฝันและเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ยังต้องยำเกรง แต่การที่ขนปักษาเหล่านี้จะงอกขึ้นมาใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ยามที่ใช้สู้ศึกหนักจนหมด นางจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียอย่างหนักทีเดียว แม้ปวงเทพจะกำชัยในศึกครั้งนี้ได้ ในด้านพละกำลังแล้ว นางก็คงถูกลดขั้นไปเป็นเทพระดับต่ำ

แต่เรื่องพวกนั้นสำคัญด้วยหรือ?

แต่หากมันสามารถกำจัดมนุษย์น่าขยะแขยงพวกนี้ไปได้ก็คุ้มค่าแล้ว

นางเตรียมซัดขนปักษาศักดิ์สิทธิ์สิทธิ์ออกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางหมายจะโจมตีเต็มกำลัง หมายสังหารมนุษย์นับแสนในคราวเดียว!

แต่จังหวะนั้นเองที่สัญชาตญาณของพระแม่ร้องเตือน มันร้องลั่นตะโกนบอกให้นางเก็บขนนกทั้งหมดไว้เพื่อป้องกันตัวเองแทน

แต่ก็สายไป

ริ้วพลังจิตสายหนึ่งทิ่มแทงเข้าจิตใจ การโจมตีขั้นนี้ไม่อาจใช้ขนปักษาศักดิ์สิทธิ์ป้องกันได้เลย

“อ๊าก!” พระแม่กรีดเสียงร้องเมื่อล่วงรู้ “ฮ่วนเมิ่ง เป็นเจ้า!”

“เฮ้อ!” เจ้าแห่งแดนฝันถอนหายใจออกมาก่อนตอบเสียงเรียบ “ฮ่วนเมิ่งตายไปแล้ว ข้าคือบรรพชนมนุษย์ นามของข้าคือมั่ว!”

ว่าแล้วเขาก็โจมตีใส่พระแม่อีกครั้งด้วยพลังทั้งหมดที่เขาคนก่อนเคยมี

พระแม่พยายามปัดป้องแต่ก็สายไป หลังจากบรรพชนมนุษย์ลอบโจมตีนางได้แล้ว นางก็ไม่สามารถป้องกันตนเองได้อีกต่อไป ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือซูเฉินเหินร่างเข้ามาและโจมตีร่วมกันกับบรรพชนมนุษย์หมายจะเอาชนะนางให้ได้

เมื่ออมตะและเทพร่วมมือกันจึงสามารถสยบพระแม่ไว้ได้อย่างสมบูรณ์

แม้เทพธิดาแห่งดวงจันทร์และเทพอนารยะอยากจะยื่นมือเข้าช่วย แต่บรรพชนมนุษย์พลันพุ่งเข้ามา ปลดปล่อยพลังหลายระลอกใส่ ไม่ยอมยั้งมือจนกว่าอีกฝ่ายจะต้องชดใช้

พระแม่จึงถูกบีบให้เผชิญกับการโจมตีของซูเฉินคนเดียว ดังนั้นนางจึงเริ่มยอมจำนนต่อพลังที่มีอำนาจเหนือกว่าของอีกฝ่าย

นางกรีดร้องลั่นออกมา กินนักรบทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของนางเพื่อระเบิดพลังอีกครั้ง แต่มันก็สูญเปล่า

ในที่สุดเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์หมดร่าง พระแม่ก็สิ้นใจ

ความตายของนางยิ่งทำให้เทพองค์อื่นไร้โอกาสกำชัยไว้ได้อีก

ต่อมา ซูเฉินและบรรพชนมนุษย์ก็เล็งเป้าไปยังเทพธิดาแห่งดวงจันทร์

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์สั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ตวัดสายตามองบรรพชนมนุษย์ “ดี ดียิ่ง! พวกเราตามหาคนทรยศในกลุ่มพวกเรามานานหลายปี ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้า! เจ้าหลอกให้ข้าเชื่อใจได้อย่างแนบเนียนนัก ทำให้สุดท้ายอย่างไรพวกเราก็ต้องสูญเสีย”

พูดจบนางก็สังเวยอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของนาง ปลิดชีวิตตน ณ ตรงนั้น

หลังเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ปลิดชีพตนเองไปแล้ว เทพที่เหลืออยู่อีกสามองค์จึงไม่อาจหวังให้ชนะศึกอีก

เทพอนารยะสิ้นใจกลางศึก ทิ้งเทพดาบเพลิงและเจ้าแห่งอสูรไว้

เจ้าแห่งอสูรนั้นอ่อนแอที่สุด อีกทั้งยังมีความกล้าน้อยที่สุด เมื่อรู้ว่าไม่มีหวังจะชนะก็ร้องเสียงสิ้นหวังออกมา “ข้ายอม ข้ายอมแพ้! อย่าฆ่าข้าเลย! ให้ข้าเป็นทาสก็ได้!”

เทพเจ้ายอมสยบต่อมนุษย์หรือ?

เทพที่ครั้งหนึ่งเคยทรงอานุภาพเหนือจินตนาการ ไม่อาจแตะต้องได้ เป็นที่ยำเกรงนัก ตอนนี้กลับมาก้มหัวยอมจำนนต่อมนุษย์เสียได้

ไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม แต่ตอนนี้ทุกคนจึงรู้สึกปีติยินดียิ่งนัก

กระนั้นซูเฉินก็ไม่คิดจะฟังคำขอของเจ้าแห่งอสูรแต่อย่างไร

เขาส่ายหน้า “ขออภัยด้วย แต่ข้าขอปฏิเสธ”

“เพราะเหตุใด?” เจ้าแห่งอสูรถามด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าเป็นเทพ หากเจ้ารับข้าไปเป็นทาสก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเชียวนะ”

ซูเฉินส่ายหน้าช้า ๆ “เจ้าคิดหรือว่ามีทาสอย่างเจ้าแล้วข้าจะแตกต่างไปจากเดิม?”

เจ้าแห่งอสูรได้ยินคำตอบก็ชะงักไป

ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า ซูเฉินในตอนนี้เป็นราชันย์เหนือดินแดน และยังเป็นผู้ปกครองเหนือมนุษย์เช่นกัน สำหรับเขาแล้ว จะมีเทพเป็นทาสหรือไม่ก็ไม่สำคัญสักนิด

“แต่…ข้าเป็นถึงเทพเจ้า…” เจ้าแห่งอสูรพึมพำไม่เชื่อหูตัวเอง

“เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ซูเฉินพูดแล้วก็ส่ายหน้า “และที่สำคัญกว่านั้นคือ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีเทพเจ้า”

“ไม่จำเป็นต้องมีเทพเจ้า…” เจ้าแห่งอสูรพึมพำแล้วร่างก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง

ทันใดนั้นเขาก็ร้องท้าออกมา “จะไม่จำเป็นต้องมีเทพเจ้าได้อย่างไร? พวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย ความศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่เทพต้องการจากมนุษย์เพียงอย่างเดียว มนุษย์ก็ต้องการมันเช่นกัน! ผองเทพต้องการแรงศรัทธา พวกเจ้าชาวมนุษย์ก็จำเป็นต้องมีสิ่งให้ศรัทธาเช่นกัน! เป็นความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย!!!”

“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” ซูเฉินตอบเสียงเย็นชา

“แล้วเขาเล่า? เขาเป็นตัวอะไรกัน?” เจ้าแห่งอสูรร้องโหยหวน ชี้นิ้วไปทางเจ้าแห่งแดนฝัน

ซูเฉินตอบเสียงเรียบ “เขาเป็นทั้งมนุษย์และเทพ… เป็นคนที่หวานเมล็ดแห่งหวังเมล็ดแรกเอาไว้ และเป็นเทพเพียงองค์เดียวที่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ เทพเจ้าไม่ได้ถือกำเนิดมาจากเขา แต่จะต้องจบสิ้นไปผ่านตัวเขา”

ได้ยินแล้วเจ้าแห่งอสูรก็สิ้นหวังอย่างแท้จริง

เขาตวัดสายตาโกรธมองซูเฉิน “ไม่ เทพเจ้าจะไม่จบเพียงเท่านี้ หากต้องการทำลายเทพเจ้า เจ้าต้องทำให้ถึงตลอดรอดฝั่ง ถ้าหากยังเหลืออยู่สักตน เทพเจ้าก็จะไม่จบสิ้นไป เขาจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สักวันหนึ่งพวกข้าจะนำพายุคใหม่มา ยุคของเทพเจ้า ยุคที่ไร้พลังอมตะ”

ซูเฉินตอบกลับเสียงยะเยือก “ไม่มีใครเห็นอนาคตไกลขนาดนั้นหรอก ข้ารู้แต่ว่ายุคใหม่นี้จะเป็นยุคของผู้เป็นอมตะ!”

สิ้นคำแล้ว เจ้าแห่งอสูรก็สิ้นใจ

ศึกปะทะเทพเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว มนุษย์กำชัยไว้ได้อย่างสมบูรณ์

เสียงโห่ร้องปีติยินดีและชัยชนะดูจะก้องกังวานไปทั่วทั้งทวีปต้นกำเนิด

นิกายไร้ขอบเขตเรืองอำนาจถึงขีดสุด

มนุษย์จึงกลายเป็นผู้ครอบครองดินแดนแห่งนี้

สิ้นศึกกับเทพเจ้าได้ไม่นาน ซูเฉินก็ก้าวลงจากตำแหน่งเจ้านิกาย มอบหน้าที่ให้เยี่ยเฟิงหานรับช่วงต่อ

เขาไม่คิดจะเป็นเจ้านิกายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสนใจทั้งหมดจึงทุ่มเทให้กับการใฝ่หาด่านพลังที่แข็งแกร่งขึ้น

สามร้อยปีหลังทำศึกกับเทพเจ้า ซูเฉินก็ค้นพบด่านพลังที่อยู่เหนือด่านร่างเซียน ทำให้แยกรูปธรรมและนามธรรมได้ สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถปรับระบบพลังต้นกำเนิดและพลังอมตะให้กลายเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นด่านพลังนี้จึงรู้จักกันในชื่อด่านกลวงเปล่า

แปดร้อยปีต่อมา ซูเฉินก็ทะลวงพลังขั้นสูงขึ้นไปอีก

เมื่อทะลวงพลังได้ในตอนนั้น พลันมีอสนีบาตเส้นหนึ่งซัดลงมาหมายปลิดชีพเขา

ซูเฉินยอมรับการทดสอบด้วยใจสงบ ระหว่างกระบวนการนั้นได้เปิดเส้นทางสู่อีกแดนหนึ่งขึ้น ซูเฉินก้าวข้ามมันไปแล้วไม่กลับมาอีก

ภายหลังคนอื่นเรียกมันว่าด่านพ้นทุกข์

และนี่คือต้นกำเนิดของการบ่มเพาะพลังเจ็ดด่าน ด่านกลั่นปราณ ด่านก่อร่าง ด่านยาเม็ดทองคำ ด่านวิญญาณแรกเริ่ม ด่านร่างเซียน ด่านกลวงเปล่า และด่านพ้นทุกข์

ส่วนด่านอื่นที่อยู่เหนือด่านพ้นทุกข์ขึ้นไปไม่อาจมีใครล่วงรู้ เพราะซูเฉินได้เดินทางจากโลกนี้ไปแล้ว

สามพันปีหลังซูเฉินจากไป มนุษย์ก็รุ่งเรืองขึ้นอย่างแท้จริง มนุษย์ทุกคนล้วนเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง มีนิกายเก่งกล้าสามารถเกิดขึ้นและล่มสลายไปนับไม่ถ้วน

จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครสนหรือเชื่อในเทพเจ้าอีกต่อไป

ดังนั้นจึงไม่มีการจำกัดด้านศาสนาอีก

มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่ายังคงมีเทพองค์หนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว

บนภูเขาเสาสวรรค์

บรรพชนมนุษย์นั่งอยู่ภายในบ้านหลังเล็กดูสมถะที่สร้างขึ้นไว้บนยอดเขา

เบื้องหน้าเขาคือหลี่ฉงซาน

นับตั้งแต่บรรพชนมนุษย์ได้รับชัยเหนือฮ่วนเมิ่ง เขาก็ปลีกตัวสันโดษมาอาศัยอยู่ที่นี่ ด้วยรู้ว่าแม้ตนจะเป็นบรรพชนมนุษย์ แต่มนุษย์ย่อมไม่จำเป็นต้องมีผู้นำถึงสองคน ที่สำคัญตอนนี้เขาอยู่ในร่างของเทพเจ้า และโลกใบนี้ไม่ต้องการเทพเจ้าหรือเขาอีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเงียบสงบ คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงในใต้หล้าไปเรื่อย

อย่างไรเขาก็ชอบชีวิตที่ผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้อยู่แล้ว หลังจากใช้ชีวิตวางแผนมานานหลายปีไม่หยุด การใช้ชีวิตธรรมดาเช่นนี้นับเป็นรางวัลที่ดีที่สุดแล้ว

ในวันนี้บรรพชนมนุษย์กำลังมีความสุขกับชีวิตสงบสุขของเขาเช่นเคย แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกใจสั่นขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

“แปลกนัก” บรรพชนมนุษย์ลูบอกตนเองเบา ๆ

ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก ราวกับว่าภายในร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

แต่ครู่ต่อมาบรรพชนมนุษย์ก็หัวเราะพร้อมใส่หน้า

เขาคงจะคิดไปเองเท่านั้น

เขายกชาขึ้นจิบอีกหนึ่งอึกก่อนที่เขาจะหลับใหลไป

เขาหลับไปเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น เปลือกตาก็พลันเปิดกว้าง ก่อนจะผุดลุกขึ้นมา

เขาก้มหน้าลงมองร่างกายตนเองแล้ว สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย “ข้ายังมีชีวิตอยู่นี่เอง…”

เขาเดินออกมาจากห้องเล็ก ๆ นั่น ทอดสายตามองไปยังที่ไกล พลังจิตไร้ขอบเขตทะยานออกไปปกคลุมสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมด

ไม่นานจิตใจเขาก็สั่นไหว “ด่านกลวงเปล่า ด่านพ้นทุกข์… ระบบการบ่มเพาะพลังของมนุษย์รุดหน้าถึงขั้นนี้เชียวหรือ? ข้าเข้าใจ… ข้าเข้าใจแล้ว… พวกเราทำไม่สำเร็จสินะ โชคดีที่ข้ายังเตรียมแผนสำรองไว้”

เขาค่อย ๆ เดินกลับไปในห้องแล้วนั่งลง โบกมือเล็กน้อยแล้ว สิ่งของเรืองแสงชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มันคือไม้เท้านั้นเอง

ไม้เท้าเรืองแสงไปด้วยพลังงานลึกลับจากกาลเวลา

คือไม้เท้าแห่งกาลเวลา

ภาพฉายสองภาพปรากฎขึ้นบนไม้เท้า

ภาพฉายทั้งสองคือพระแม่และเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ทว่าเทพทั้งสองกำลังหลับใหลอยู่ในเปลือกที่มีรูปร่างคล้ายไข่

หลังจากเหลือบมองดูเทพทั้งสองแล้วเขาก็เก็บไม้เท้าแห่งกาลเวลาไป

เขาพูดอย่างขมขื่นว่า “เทพเจ้าไม่มีทางตาย ข้าเป็นคนบาปที่ต้องแบกรับการล่มสลายของเทพเจ้า แต่ก็จะเป็นเพียงหวังหนึ่งเดียวของการฟื้นคืนของเทพเจ้าเช่นกัน… รอถ่อนเถอะมนุษย์! รอการกลับมาของพวกข้าก่อนเถอะ!”

สิ้นคำแล้วเขาก็ผ่อนคลายลงแล้วผล็อยหลับไปอีกครั้ง สีหน้าดุร้ายพลันเลือนหาย แทนที่ด้วยสีหน้าอันสงบสุขของบรรพชนมนุษย์

— จบ —-