บทที่ 1469 สถานการณ์ตำหนักมู่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

ทวีปเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ

มู่เฉินนั่งกุมขมับกับรายงานที่วางบนโต๊ะ นี่เป็นรายละเอียดบรรณาการจากกองกำลังต่างๆ ที่มาอยู่ภายใต้อาณัติตำหนักมู่

“เฮ้อ”

หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวันมู่เฉินก็รู้สึกเหนื่อยล้ามาก เขาวางรายงานลงมองไปที่มั่นถัวหลัวที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความสะใจก็ยิ้มขมขื่น “พวกนี้ไม่จำเป็นให้ข้ามานั่งอ่านเองหรอกมั้ง?”

มั่นถัวหลัวเบ้ปากตอบ “เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่ ดังนั้นก็ต้องเข้าใจรายงานที่เกี่ยวกับตำหนักมู่สิ”

มู่เฉินถอนหายใจ เขากลับมาที่ตำหนักมู่เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนแรกก็คิดจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข แต่ใครจะไปคิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่พอใจเขาที่ทิ้งงานมานานจนทุ่มงานทั้งหมดคืนมาที่เขา

ครึ่งเดือนนี้เขารู้สึกเหนื่อยกว่าสู้กับหวงเฉวียนจือเสียอีก…

“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าลำบาก” มู่เฉินยกสองมือยอมแพ้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวตั้งใจทำแบบนี้เพื่อสอนบทเรียนให้เขา เพราะเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องงานในตำหนักมู่เลยนับตั้งแต่ก่อตั้งมา

เมื่อจิ่วโยวและเฉวียนเทียนเห็นภาพนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าดาวรุ่งแห่งมหาพันภพคนใหม่ จะยอมรับความพ่ายแพ้

ศึกระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือลือไปทั่ว สิ่งนี้ทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าหวงเฉวียนจือเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางมาแล้ว…

พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเผ่าหงส์ฟ้าที่ภาคภูมิ นั่นหมายความว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าหวงเฉวียนจือ

แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ซึ่งอาจแปลว่าเขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเมื่อไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน…

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยอมแพ้ ท่าทางของมั่นถัวหลัวก็อ่อนลงก่อนที่นางจะแหววใส่เบาๆ แล้วเหยียดตัวเพื่อดึงรายงานสำคัญมา “ตำหนักมู่ได้รับของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยดในปีที่ผ่านมา”

“ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยด…” มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยินจำนวน อดีตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้กระทั่งของเหลวจื้อจุนถึงร้อยล้านหยดต่อปีด้วยซ้ำ

“เจ้าคิดว่ามากเรอะ?” เมื่อเห็นใบหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็กลอกตา

มู่เฉินยิ้มเขินอาย “ไม่เยอะเหรอ?”

เขาไม่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเท่าไร

“จากพันเก้าร้อยล้านหยด เจ้าได้รับเจ็ดร้อยล้านหยดสำหรับการฝึกฝน ผู้อาวุโสเฉวียนเทียนใช้สี่ร้อยล้านหยดต่อปี ตอนนี้จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็ต้องได้รับสี่ร้อยล้านหยดเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเหลือเพียงสี่ร้อยล้านหยดสำหรับเรื่องอื่นๆ เจ้ารู้ไหมว่าตำหนักมู่มีกี่ปากกี่ท้อง?” มั่นถัวหลัวเค้นสียงเย็น

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเขาคนเดียวก็ใช้ไปหนึ่งส่วนสามแล้ว ยิ่งตอนนี้เขามาถึงระดับเทียนจื้อจุน ยิ่งต้องการทรัพยากรจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีทรัพยากร ประสิทธิภาพในการเพาะบ่มขุมพลังก็จะลดลงอย่างมาก

นี่เป็นสาเหตุที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนสร้างกองกำลังของตนเอง เนื่องจากพวกเขาต้องการพลังเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกฝน

“ข้าไม่ต้องการมากขนาดนั้น” จิ่วโยวไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะได้รับการจัดสรรจำนวนนี้เมื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน

มั่นถัวหลัวส่ายหัวตอบ “นี่คือกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเป็นเสาหลักของขั้วอำนาจใหญ่และถ้าตำหนักมู่ไม่แม้แต่จะรักษาเช่นนั้นได้ จะมีคนต้องการเข้าร่วมกับเราในอนาคตได้อย่างไร”

มั่นถัวหลัวหันไปหามู่เฉินเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ตำหนักมู่สามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้เพียงสามคน หากมีคนอื่นเพิ่มเติม เราจะไม่สามารถสนับสนุนพวกเขาได้”

ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงกับคำพูดเหล่านั้น สิ่งนี้ส่งผลต่อการเติบโตของตำหนกมู่อย่างชัดเจน เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นรากฐานของขั้วอำนาจใดๆ และจำนวนก็แสดงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา

“แล้วตอนนี้เราควรทำยังไง?” มู่เฉินถาม

“รักษาสถานะนี้ไว้และค่อยๆ กลืนกินดินแดนมากขึ้นเพื่อขยายอิทธิพลตำหนักมู่” มั่นถัวหลัวตอบ

“ตอนนี้ขั้วอำนาจมากมายในทวีปเทียนหลัวตั้งระวังตำหนักมู่ของเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถขยายตัวได้มากเกินไปในปีที่ผ่านมา กลัวว่าจะโดนตอบโต้”

หลังจากพิจารณาครู่หนึ่งมู่เฉินก็ถามว่า “หาข้อมูลขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสำนักเหล่านั้นในทวีปเทียนหลัวแล้วหรือยัง?”

มั่นถัวหลัวพยักหน้าพลางหยิบม้วนกระดาษส่งให้มู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเปิดออกชื่อห้าชื่อก็กระแทกเข้าตา ขั้วอำนาจทั้งห้านี้มีชื่อเสียงแม้กระทั่งในมหาพันภพ

ภูเขาตันหยาง—ผู้อาวุโสตันหยาง

เมืองเฉวียนยิง—เจ้าเมืองโยวเฉวียน

สำนักเซียนสายฟ้าม่วง—จอมยุทธ์จื่อเหลย

หุบเขาไป๋หู—ราชันไป๋หู

ประตูหลิงกุ่ย—ราชันกุ่ยตี้

ประมุขขั้วอำนาจสูงสุดสี่ชื่อแรก ล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนกุ่ยตี้ก้าวเข้าสู่ขั้นเซียนระยะกลางแล้ว

“ทวีปเทียนหลัวสมกับเเป็นมหาทวีป มีความซับซ้อนอย่างแท้จริง ขั้วอำนาจสูงสุดในระดับนี้มีถึงห้าขั้วอำนาจ” มู่เฉินหดดวงตา

“เมื่อก่อนไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามาแทรกแซงเนื่องจากกฎไม่ได้บัญญัติของทวีป แต่พวกเขาสนับสนุนขุมกำลังเพื่อเป็นตัวแทน ใครจะคิดว่าตำหนักมู่จะมีสัตว์ประหลาดอย่างเจ้ามาอยู่ในเวลาเพียงไม่กี่ปีก็ทำลายสถานการณ์ในทวีปจนยับเยิน” มั่นถัวหลัวยิ้ม

“ช่วงแรกที่สำนักเรารวมจักรวรรดิเหนือ ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็ส่งคำเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่งในดินแดนอื่นๆ ของทวีปเทียนหลัว ขณะเดียวกันก็ขัดแข้งขัดขาการขยายตัวของเราด้วย”

“แต่หลังจากข่าวการต่อสู้ของเจ้าในเผ่าฝูถูมาถึง ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็หวาดผวาหยุดขัดขวางเรา”

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้ว่าขั้วอำนาจทั้งห้ากลัวหลังจากที่รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ นอกจากนี้นางยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถูอีกด้วย

ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นปัญหาแท้จริง แม้ว่าตำหนักมู่จะเต็มไปด้วยแรงผลักดัน แต่พวกเขาก็ถูกล้อมกรอบอยู่ในจักรวรรดิเหนือโดยขั้วอำนาจทั้งห้า หากพวกเขาฝ่าฝืนออกไปก็จะเป็นการบังคับให้ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าร่วมมือกันจัดการกับพวกเขา ซึ่งเป็นหายนะใหญ่ของตำหนักมู่แน่

เพราะสุดท้ายมู่เฉินก็คงไม่สามารถให้มารดาออกหน้ามาจัดการคนเหล่านั้นแทนได้… ตำหนักมู่เป็นขุมกำลังของเขา ดังนั้นเขาอยากพึ่งพาตัวเองในการพัฒนาให้แข็งแกร่ง

แต่ถ้าตำหนักมู่ต้องการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ พวกเขาจะต้องครอบครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมดเพื่อได้ใช้ทรัพยากรมากขึ้น

ไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีความทะเยอทะยาน แต่เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป ต่อให้พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดก็ต้องต่อสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ตามการคาดการณ์ของเขาหากไม่ใช่เพราะชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าคงเคลื่อนไหวต่อต้านตำหนักมู่ไปนานแล้ว

ในมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นภัยคุกคามนานแล้ว

“ไม่ต้องรีบร้อน”

มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ขอแค่คงสถานการณ์ปัจจุบันของตำหนักมู่ไว้อีกช่วงหนึ่ง แล้วข้าจะทำให้พวกเขาวิ่งหางจุกตูดออกจากทวีปเทียนหลัวด้วยความหวาดกลัวเอง”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบด้านจำนวน แต่ถ้ามีเวลาที่เพียงพอหรือ รอให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้วอำนาจเหล่านั้นจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

ในขณะนั้นมู่เฉินไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพเพื่อครองทวีปทั้งหมด

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าพวกเขาไม่คิดจะให้เวลากับเจ้าน่ะสิ”

“เจ้าหมายถึงอะไร?” มู่เฉินหรี่ตา

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมขณะอธิบายว่า “ข้าได้รับข่าวว่าไม่กี่วันก่อนขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าจับมือกันสร้างพันธมิตรเทียนหลัวแล้ว…”

“ข้ากังวลว่าเป้าหมายจะพุ่งมาที่เรา”

มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเหล่านั้นเด็ดเดี่ยวเพียงนี้ ถึงขนาดสร้างพันธมิตรเพื่อขัดขวางตำหนักมู่

ขณะที่มู่เฉินเงียบลงทั้งโถงก็เงียบสนิท

ทันใดนั้นแสงสายหนึ่งก็ทะยานเข้ามา มั่นถัวหลัวคว้าเอาไว้ กวาดสายตาชั่วครู่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป

“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น

เสียงของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลง “มีข่าวว่าในสามวันข้างหน้าประมุขทั้งห้าของพันธมิตรเทียนหลัวจะจัดงานเลี้ยงในเมืองเทียนหลัวและพวกเขาส่งเทียบมาเชิญเจ้า”

“งานเลี้ยงหงเหมินล่ะสิ” เฉวียนเทียนเอ่ยเสียงต่ำ

“ทำยังไงดี?” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะมองไปที่มู่เฉิน

มือถูบนโต๊ะทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงไฟคลี่ยิ้มไม่เชิงยิ้ม แสงเย็นเริ่มรวมตัวกันในม่านตาสีดำ

“พวกเขากล้าดี ตอนแรกข้าอยากจะรอสักหน่อยเพื่อที่พวกเขาจะได้ล่าถอยไปด้วยตัวเอง ไม่คิดว่าพวกเขาจะใจร้อนอยากจะต่อสู้กับข้าขนาดนี้…”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ช่วยทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริง”

เมื่อพูดจบรัศมีรุนแรงก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน เสื้อผ้ากระพือจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ราวกับจักรพรรดิผู้เกรี้ยวกราด