ตอนที่ 1074 นัยเร้นลับแห่งเจินหลง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ในลานเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมยังหยุดนิ่ง

เหล่าผู้กล้าสีหน้ามึนงง จิตใจยังคงพลิกตลบไม่สามารถสงบได้

ก่อนหน้านี้กระบี่เก้าเล่มของเยี่ยเฉินโจมตีออกมาพร้อมกัน บรรจุนัยเร้นลับแห่งเก้ามหามรรค แปรเป็นค่ายกล มีอานุภาพสังหารทลายใต้หล้าภูผาธารา

แต่กลับถูกเทพมารหลินพลิกสถานการณ์ในช่วงสุดท้าย ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้ยากจะเชื่อ

การโจมตีที่ตะลึงโลกเช่นนี้ พ่ายแพ้ได้อย่างไร

พลังที่เทพมารหลินใช้ในช่วงสุดท้ายคืออะไร เหตุใดจึงมีอานุภาพเหลือเชื่อเพียงนี้

เสียดายที่ทุกอย่างจบไวเกินไป

ตอนที่ค่ายกลถูกสลาย เทพมารหลินเองก็เก็บมือตาม พลังที่เขาสำแดงออกมาราวกับถานฮวาชั่วข้ามคืน[1] หายวับไปไร้ร่องรอย

ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่มีวาสนาได้เห็น

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสและยอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนยังเห็นเพียงคร่าวๆ

ไม่มีเหตุผลอื่นใด การปะทะนั่นรุนแรงเกินไป ราวกับสุริยันระเบิด ที่เจ็บแสบไม่เพียงแค่ตา ยังมีจิตวิญญาณอีกด้วย!

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า… เหมือนนัยเร้นลับของมหามรรคกลืนกินที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครองอย่างที่สุด”

ตรงตีนเขา ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งสงสัย

เมื่อพูดคำนี้ดังออกมา สีหน้าของคนอื่นๆ โดยรอบพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้จริงๆ

ยามนี้สัมผัสดูคร่าวๆ พลันพบว่า พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาตอนท้าย มีจุดที่เหมือนกับนัยเร้นลับแห่งมหามรรคกลืนกินที่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครองจนน่าตกใจ

แทบจะในเวลาเดียวกัน ในสนามประลอง เยี่ยเฉินใช้สายตาอันซับซ้อนราวกับมองสัตว์ประหลาดจับจ้องหลินสวิน แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรกับอวิ๋นชิ่งไป๋”

ทั่วทั้งลานยิ่งเงียบสงัด ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่รู้จักอวิ๋นชิ่งไป๋สายตาต่างวูบไหว ตระหนักได้ถึงความนัยในคำพูดของเยี่ยเฉิน

เพราะพวกเขาเองก็สังเกตเห็นว่า พลังมหามรรคที่หลินสวินสำแดงออกมาตอนท้าย เหมือนมีแหล่งที่มาเดียวกันกับอวิ๋นชิ่งไป๋

“ศัตรู”

หลินสวินพูดง่ายๆ

คำสั้นๆ เพียงสองคำกลับทำให้ทุกคนตะลึง เดิมทีคิดว่าหลินสวินจะมีที่มาเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ ไม่เคยคิดว่าเขากลับเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นศัตรู!

สีหน้าของหลินสวินสงบนิ่งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดความลับนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน

ก่อนหน้านี้ด้วยความที่ต้องรักษาความปลอดภัยของตน ทำให้จำเป็นต้องอดทน สกัดกั้นความแค้นที่มีต่ออวิ๋นชิ่งไป๋ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

แต่ตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดแล้ว!

แน่นอนว่าเขาไม่ได้อธิบายเหตุผล เชื่อว่าคำพูดสั้นๆ สองคำนี้ก็เพียงพอจะแสดงท่าทีของเขาได้แล้ว!

“มิน่าเจ้าถึงไปนครหยกขาว ทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว ที่แท้ก็มีเหตุผลนี้…”

เยี่ยเฉินเหมือนคิดอะไรอยู่ “แต่พลังเมื่อครู่นี้ของเจ้า…”

หลินสวินส่ายหน้าพูด “ไม่เกี่ยวกับเขา”

สุดท้ายเขาอดทนต่อความคิดที่จะพูดออกมา ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตนไป ด้วยรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น

สักวันเขาจะแก้แค้น พูดให้คนอื่นฟังก็ไม่ต่างอะไรกับการนินทา

จ้องหลินสวินอยู่นาน เยี่ยเฉินพลันถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าแพ้แล้ว”

“ไม่ต้องเสียใจ อย่างน้อยเจ้าก็บีบจนข้างัดไพ่ตายออกมา ต่อไปหากเจ้าอยากดื่ม เรียกเมื่อไหร่ข้าจะไปหาเมื่อนั้น” หลินสวินยิ้มพูด

เยี่ยเฉินพูดอย่างไม่อภิรมย์ “ข้ายังไม่ถึงขั้นให้เจ้ามาปลอบใจ แพ้ก็คือแพ้ ไม่ได้แพ้ในสงครามมหายุคสักหน่อย”

“เช่นนั้นก็ดี”

เสื้อผ้าของทั้งสองต่างเปื้อนเลือด ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ต่อสู้กันอย่างรุนแรงเป็นที่สุด แต่ตอนนี้กลับท่าทางคุยกันถูกคอ

“ในเมื่อชนะข้าแล้ว อีกเดี๋ยวตอนสู้กับเซี่ยวชางเทียนเจ้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!” จู่ๆ เยี่ยเฉินก็พูดขึ้น น้ำเสียงไม่เปิดโอกาสให้สงสัย

“เฮอะ!” เซี่ยวชางเทียนที่อยู่ในระยะไกลกอดอกแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ

“ข้าจะพยายาม” หลินสวินไหวไหล่

ทั้งสองแยกย้ายกลับแท่นมรรคบนยอดเขา

ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อ ฝนวิญญาณเทพโปรยปรายอาบร่างทั้งสอง

และตอนนี้เอง บรรยากาศในลานตื่นเต้นอย่างยิ่ง เสียงฮือฮาต่างๆ ดังก้องราวกับระเบิด ทำลายความเงียบภายในลาน

“เยี่ยเฉินกลับแพ้เทพมารหลิน! เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”

หลายคนยังคงยากจะรับได้

“ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ หลินสวินนี่ก็ฆ่ามาตลอดทางโดยไม่เคยพ่ายแพ้ ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก!”

และมีคนตะลึง ถอนหายใจไม่หยุด

“เจ้าเดรัจฉานนี่ช่างทะเยอทะยานโฉดชั่ว ดันเห็นอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นศัตรู!”

เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างกรุ่นโกรธเป็นที่ยิ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่า เหตุใดช่วงก่อนหน้านี้หลินสวินจึงไปทำลายสถิติที่สิบสองหอแห่งนครหยกขาว

“หากไม่กำจัดเด็กนี่ พวกเราก็ยากจะกินอิ่มนอนหลับจริงๆ…”

เหล่าผู้แข็งแกร่งขุมอำนาจต่างๆ ที่มองหลินสวินเป็นศัตรู อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนพิสุทธิ์อมตะ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สีหน้าล้วนอึมครึมอย่างที่สุด

พลังต่อสู้ของหลินสวินทำให้พวกเขาตกใจ ถึงขั้นที่รู้สึกสยอง!

ไร้ที่พึ่งพิงแต่กลับสามารถสร้างสถิติไม่เคยพ่ายแพ้ ถึงขั้นไม่เคยถูกทำลาย แม้แต่มารกระบี่เยี่ยเฉินยังด้อยกว่าระดับหนึ่ง ศักยภาพนี้น่ากลัวเกินไปโดยไม่ต้องสงสัย หากเติบใหญ่ขึ้นมาย่อมเป็นมหันตภัยอย่างแน่นอน

“อย่างที่เขาบอก ไม่ถูกผู้อื่นริษยาเป็นคนความสามารถพื้นๆ คนผู้นี้สามารถสร้างความสำเร็จในวันนี้ ก็ถือเป็นผู้กล้าที่มีโชควาสนาติดตัวคนหนึ่งแล้ว!”

ส่วนเหล่าผู้แข็งแกร่งที่วางตัวเป็นกลาง ต่างไม่เกี่ยงที่จะกล่าวชม ชื่นชมและนับถือหลินสวินอย่างมาก

บนยอดเขา สีหน้าของเหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์อย่างฉู่เป่ยไห่ อวี่หลิงคง หลี่ชิงผิงดูแย่ยิ่งกว่ากินแมลงวันตายเข้าไป ในใจยิ่งมีความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ครั้งนี้พวกเขามาพร้อมอานุภาพอันดุเดือด การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มต้นก็ต่างประกาศกร้าวว่าจะมอบบทเรียนอันแสนเจ็บปวดให้กับหลินสวิน

แต่จนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นภาพที่หลินสวินเอาชนะเยี่ยเฉิน ความเย่อหยิ่งในใจพวกเขาล้วนถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงความไม่จำยอมและขมขื่น

แม้ไม่ยินยอม พวกเขาก็จำต้องยอมรับว่า หลินสวินแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทุกคน!

นี่ก็คือความจริง!

“วิปริต เจ้าวิปริต! เป็นคนวิปริตจริงๆ วิปริตแม่งสุดๆ ไปเลย…”

อาหลู่กำลังร้องเสียงดัง ตะโกนว่า ‘วิปริต’ ซ้ำไปซ้ำมา บนใบหน้าหยาบกร้านปรากฏคำว่านับถือเด่นหรา

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้ม ดวงตาคู่ใสเป็นประกายแวววาว บนใบหน้างดงามที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและภาคภูมิจากใจจริง

หลินสวินไม่เคยทำให้นางผิดหวัง!

“ข้าสู้เขาไม่ได้… แต่…”

จินมู่อวิ๋นสายตาวูบไหว “ในอนาคตก็ไม่แน่!”

‘จะให้เจ้าเยี่ยเฉินสมปรารถนาไม่ได้เด็ดขาด’ เสื้อผ้าของเซี่ยวชางเทียนโบกสะบัดไปตามสายลม ในดวงตาเรียวยาวราวกับดาบคมแฝงความครุ่นคิด

เขาจะประลองกับหลินสวินในรอบที่หก

และพอเห็นการต่อสู้ของหลินสวินกับเยี่ยเฉิน กลับทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันหนักอึ้ง เขาเคยคิดว่าหลินสวินแข็งแกร่งมาก แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!

การประลองรอบที่ห้าเริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาที่ดังเป็นระลอกๆ

สองฝ่ายที่ประลองกันคือจินมู่อวิ๋นและเยี่ยเฉิน

ทั้งสองล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่

จินมู่อวิ๋นเป็นผู้นำศิษย์แกนหลักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ครอบครองเพลงกระบี่มหาวัฏจักร จิตมรรคหนักแน่นมั่นคง มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ส่วนเยี่ยเฉินเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย มีสมญานามว่ามารกระบี่ กระบี่ของเขาราวกับจักรพรรดิ มีอานุภาพที่เหยียดหยันลงมายังใต้หล้า

ระหว่างทั้งสอง จะต้องเกิดการต่อสู้ในวิถีกระบี่ที่น่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน!

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนอึ้งค้างคือ ทันทีที่ขึ้นสนามประลอง เยี่ยเฉินก็ถามตรงๆ ว่า “เดินออกจากเงามืดแห่งความเป็นตายหรือยัง หากยัง ข้าว่าเจ้ายอมแพ้เสียเถอะ”

เด็ดเดี่ยวตรงไปตรงมา แต่กลับชี้ไปที่จิตมรรคของจินมู่อวิ๋น!

“ข้ากำลังจะบรรลุ” จินมู่อวิ๋นไม่สะทกสะท้าน แต่ประโยคเพียงสั้นๆ กลับแฝงนัยถึงการตาต่อตา ฟันต่อฟัน

ราวกับกำลังเตือนเยี่ยเฉินว่าเขาสามารถบรรลุในระหว่างการต่อสู้ได้ นี่เป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

กลับเห็นเยี่ยเฉินยิ้มอย่างสบายใจ “นี่ค่อยน่าสนใจหน่อย หากเจ้าไม่บรรลุ ข้าคงรู้สึกแค่ว่าไม่สนุก”

ทั้งสองต่อปากต่อคำ ดูเหมือนเงียบสงบ แต่กลับทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จิตต่อสู้อันรุนแรงนั่นผนวกกับไอสังหาร ทำให้ผู้ชมต่างอกสั่นขวัญหนี

ชิ้ง!

กระบี่พรหมราชของจินมู่อวิ๋นออกจากฝัก ปลายกระบี่ชี้ไปที่เยี่ยเฉิน “หยุดพูดไร้สาระ ใช้กระบี่ตัดสินแพ้ชนะ!”

“ฮ่า เช่นนั้นก็ตามที่เจ้าปรารถนา!”

เยี่ยเฉินหัวเราะลั่น กระบี่ไม่พันผูกโฉบออกมา ราวกับเมฆไอมงคลจากตะวันออก เจือกลิ่นอายแห่งจักรพรรดิ

ตูม!

การต่อสู้ปะทุขึ้น การประลองในวิถีกระบี่ของผู้กล้าขอบเขตมกุฎทั้งสองเปิดม่าน ณ ตอนนี้

ทันใดนั้นความสนใจของทุกคนต่างถูกดึงดูด

……

เพียงแต่ตอนนี้หลินสวินกลับหลับตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นมรรค สงบนิ่งราวกับไม่ได้รับรู้ถึงการต่อสู้นี้

นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เพราะผ่านการประลองในรอบที่ผ่านๆ มา ทำให้ในใจเขาเกิดการหยั่งรู้มากมาย สุดท้ายหลังจากประลองกับเยี่ยเฉิน การหยั่งรู้เหล่านี้ก็ปะทุในใจราวกับกระแสน้ำ

วู้ม

ในสมองสัญลักษณ์อักษร ‘เคราะห์’ เปล่งแสง ราวกับแปลงเป็นเจินหลงตัวหนึ่ง คำรามทะยานย่าง เผยลักษณ์อัศจรรย์

บางทีเปลี่ยนเป็นชือน้ำแข็ง บางคราวแปลงเป็นซวนหนี บ้างก็เป็นปี้อั้น…

แต่ไม่ว่าจะปรากฏอย่างไร สุดท้ายก็ล้วนหลอมรวมเป็นอักษรเคราะห์

และอักษรเคราะห์ทุกตัวก็ไม่เหมือนกัน ปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่าง บ้างดูเก่าคร่ำคร่า บ้างบิดเบี้ยวแปลกประหลาด บ้างแข็งแกร่งราวกับเหล็ก…

จวบจนกระทั่งตอนหลังอักษร ‘เคราะห์’ ทั้งเก้าตัวก็เริ่มผสานเข้าด้วยกัน

ตอนนี้ในใจหลินสวินสะท้านไหว หยั่งถึงนัยเร้นลับมหามรรครูปแบบใหม่…

มหามรรคเจินหลง!

ในสมองราวกับมีมังกรเจินหลงตัวหนึ่งพลิกเมฆคว่ำฝน บางเลือนรางบ้างชัดเจน ปราดเปรียวดุจมีชีวิต บางคราวเหมือนห่างไกลไม่สามารถหยั่งถึง ราวกับอยู่ส่วนลึกสุดในความว่างเปล่า

บางคราวก็รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวมังกรเบียดเต็มฟ้าดิน นำพามาซึ่งความกดดันไร้จำกัด

เสียงมังกรครวญซัดสาดไพศาล เสมือนพรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้หลินสวินสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ราวกับอยู่ท่ามกลางแก่นอัศจรรย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด หลงใหลไปกับมัน

ต่อให้หลินสวินตีหัวจนแตกก็คงคิดไม่ถึง ว่าจะได้สัมผัสกับมหามรรคที่ไร้เทียมทานและตะลึงโลกเช่นนี้ในยามนี้!

หรือควรพูดว่า เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สุดยอดนัยเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในมรดกวิชามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนี่ จะเกี่ยวโยงไปถึงแก่นแห่งเจินหลง!

เมื่อครั้งอยู่บนเขาพยับคราม ลั่วเจียผู้สืบทอดอริยะกระบี่ที่มาจากตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ ก็เคยหยั่งถึงมรรคแห่งหงส์เซียน

นั่นเป็นเพราะลั่วเจียมีสายเลือดหงส์เซียนในตัว!

แต่หลินสวินเป็นเผ่ามนุษย์บริสุทธิ์ สายเลือดไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจินหลงแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้กลับได้หยั่งรู้และสัมผัสกับมหามรรคเจินหลง นี่เป็นการยืนยันว่า การแจ้งมรรคของเขาในครั้งนี้มาจากวิชาลับมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างไม่ต้องสงสัย!

นี่ดูเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

แน่นอนว่าตอนนี้หลินสวินเพียงแค่ได้สัมผัสกับมหามรรคเจินหลงเป็นครั้งแรก ยังไม่ถึงขั้นครอบครอง

ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป บนสนามประลอง การต่อสู้ในวิถีกระบี่ระหว่างเยี่ยเฉินและจินมู่อวิ๋นได้มาถึงขั้นที่ดุเดือดไร้ที่เปรียบแล้ว

จิตใจของทุกคนในที่นั้นต่างถูกดึงดูด จึงมีน้อยคนมากที่จะสังเกตเห็นว่า บนแท่นมรรคในยอดเขาหนึ่ง หลินสวินกำลังแจ้งมรรคอยู่

และแม้แต่หลินสวินเองก็ไม่รู้ว่า บนศิลามังกรขดที่อยู่ตรงหน้าเขา มีคลื่นคลุมเครือที่แทบจะว่างเปล่ากระจายออกมา ปกคลุมเงาร่างของเขาไว้ภายใน

ทุกอย่างราวกับมีการสอดรับและตอบสนองบางอย่าง มหัศจรรย์จนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

——

[1] ถานฮวาชั่วข้ามคืน ดอกถานฮวาเป็นต้นไม้วงศ์เดียวกับกระบองเพชร ดอกมีขนาดใหญ่ มีทั้งสีขาวและสีแดงปลายม่วง มีกลิ่นหอมมาก แต่จะบานในเวลากลางคืนเพียงสามถึงสี่ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะเหี่ยวเฉาลง ถานฮวาชั่วข้ามคืนจึงหมายถึงชั่วครู่ชั่วคราว โดยมากใช้เปรียบเปรยถึงเรื่องที่งดงาม ว่ามักคงอยู่เพียงช่วงสั้นๆ ไม่นานก็หายไป