“แย่แล้ว! หญิงสาวนางนี้มีวิชาดำดิน!”
อึดใจต่อมาขณะที่หัวหน้าผีตนนี้กำลังคิดจะใช้วิชาดำดินลงไป ทันใดนั้นเงาดำก็โฉบมาตรงหน้า หญิงสาวชุดตาข่ายสีดำปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบอีกครั้งแล้วแย้มรอยยิ้มหวานให้เขา จากนั้นนางก็ยกมือข้างหนึ่งจิ้มหน้าผากของตนเอง
“ฟู่!”
สัญลักษณ์มงกุฎสีทองดวงหนึ่งฉับพลันปรากฏบนหน้าผากของหญิงสาวตาข่ายดำก่อนจะฉายแสงสีทองนับหมื่นสายออกมา
หัวหน้าผีร้ายกับทหารผีร่างเตี้ยถูกแสงสีทองกลืนเข้าไป ทั้งร่างแข็งทื่อทันที ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวตัวได้
ตอนนี้เองเสียงใสกังวานก็ดังขึ้น ประกายเย็นเยียบสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ แสงกระบี่สีม่วงซัดเข้าใส่ดุจสายฟ้าแลบฟันลงบนศีรษะของผีทั้งสองตนทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ด้านหลังทหารผีตนอื่นแต่ละตนก็มีร่างของเด็กน้อยสวมชุดเขียวคนหนึ่งปรากฏตัว เปลวเพลิงสีเทาถาโถมออกมาจากปากของเขาพร้อมๆ กัน
หลังจากเสียงชี่ดังขึ้นหลายครั้ง ทหารผีทั้งหลายต่างสูญสลายไปท่ามกลางเปลวเพลิงสีเทาอย่างเงียบเชียบ
หญิงสาวชุดตาข่ายดำกับเด็กน้อยชุดเขียวย่อมคือเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อสูรเลี้ยงทั้งสองของหลิ่วหมิงนั่นเอง
……
หลิ่วหมิงผู้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาขนาดเล็กสูงร้อยกว่าจั้ง สองตาหรี่มองหุบเขาสูงต่ำที่ทอดยาวอยู่ไกลออกไป
สายลมที่เต็มไปด้วยเศษหินบนภูเขาโหมกระหน่ำพัดตีเสื้อเขาจนส่งเสียงดังพรึ่บพรั่บไม่หยุด
ตอนนี้เขาออกจากเมืองจินกวังมาได้ครึ่งเดือนแล้ว
ตลอดทางมาราบรื่นกว่าที่เขาคิดไว้ตอนแรกมาก เนินหลิงจิ้วซึ่งเป็นสถานที่จองจำตั้งอยู่ห่างไกล มันอยู่ห่างจากป้อมปราการสำคัญของกองทัพผีร้ายค่อนข้างไกล อีกทั้งตนยังอ้อมทาง ระหว่างทางจึงพบหน่วยลาดตระเวนขนาดเล็กของกองทัพผีร้ายไม่กี่หน่วยเท่านั้น เขาร่วมมือเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ได้เข้าขาจึงจัดการได้อย่างแทบจะไม่เปลืองแรง
เวลานี้ท้องฟ้าเหนือหุบเขาที่อยู่ไกลออกไปถูกกลุ่มเมฆสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าปกคลุมจนอึมครึม ตัวหุบเขาทั้งหมดถูกปราณหยินสีเทามากมายบดบังไว้จนเห็นผลุบๆ โผล่ๆ ไม่อาจมองเห็นสภาพโดยละเอียดด้านในได้อย่างสิ้นเชิง มีเพียงเนินสูงตระหง่านเกือบพันจั้งที่บนยอดปกคลุมด้วยหิมะหน้าตาเหมือนนกเสอจิ้วลูกหนึ่งที่ปากทางเข้าหุบเขาเท่านั้นที่ยังมองเห็นได้ชัดเจน
สายตาของหลิ่วหมิงจับจ้องเนินเขาลูกนี้เขม็ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเนินเขาที่สูงตระหง่านเทียมเมฆลูกนี้ก็คือเนินหลิงจิ้วเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้
ในตอนนี้เองพื้นดินข้างตัวเขาก็มีปราณสีดำก้อนหนึ่งค่อยๆ ผุดออกมาก่อตัวเป็นเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรร่างหนึ่ง นั่นคือหญิงสาวสะสวยผู้คลุมกายด้วยอาภรณ์ตาข่ายสีดำ เซียเอ๋อร์นั่นเอง
“รายงานนายท่าน ในหุบเขาเหมือนจะไม่มีทหารเฝ้ามากนัก มีทหารผีไม่กี่ตนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าด้านหน้าเท่านั้น ทหารผีเหล่านั้นที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ ล้วนถูกข้ากำจัดอย่างไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นจนเกลี้ยงแล้ว” เซียเอ๋อร์เม้มปากยิ้มรายงาน
“ทำได้ดี! ลองคำนวนดูตั้งแต่สองวันก่อนหน่วยย่อยอีกสองหน่วยน่าจะมาถึงฐานที่มั่นสองแห่งใกล้ๆ แล้ว กำลังหลักของกองทัพผีร้ายที่เฝ้าที่นี่น่าจะถูกดึงไปแล้ว” หลิ่วหมิงหันกายไปกวาดสายตามองบนหน้าผากของเซียเอ๋อร์แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
จะว่าไปนับตั้งแต่เซียเอ๋อร์จับพลัดจับผลูกินไข่ของซือเฉินลงไปจนบนหน้าผากมีสัญลักษณ์มงกุฎสีทองดวงนี้เพิ่มขึ้นมา นิสัยก็เปลี่ยนไปอยู่บ้าง ยามนี้เมื่อนางแปลงเป็นร่างมนุษย์ สัญลักษณ์บนหน้าผากจะแลดูหม่นหมองไร้ประกาย กิริยาท่าทางกลับไปเหมือนก่อนหน้านี้
แต่หากใกล้ๆ มีภูตผีปรากฏตัว บางครั้งนางก็แปลงกายกลับเป็นร่างแมงป่องกระดูกอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ สัญลักษณ์บนหัวเปล่งแสงสีทองเรืองรองปล่อยแสงสีทองที่ข่มขวัญภูตผีได้ออกมาอารมณ์ก็ฉุนเฉียวขึ้นอยู่บ้างด้วย แต่ยังดีที่โดยทั่วไปแล้วนางยังฟังคำสั่งของหลิ่วหมิงอยู่
“นายท่าน อาศัยช่วงที่การป้องกันของอีกฝ่ายอ่อนแอ พวกเรารีบเข้าไปเถิด แต่เนินหลิงจิ้วแห่งนี้เหมือนจะวางค่ายกลชั้นจำกัดบางอย่างเอาไว้ ข้าไม่อาจใช้วิชาดำดินเข้าไปได้” เซียเอ๋อร์เหมือนมองแววตาครุ่นคิดในดวงตาของหลิ่วหมิงออกจึงก้าวเข้าไปเตือนเขาเสียงเบา
“ไม่เป็นไร พวกเราไปทางเข้าด้านหลังของเนินเขาหลิงจิ้วเถอะ” หลิ่วหมิงเรียกสติกลับมาแล้วสั่งเซียเอ๋อร์
เซียเอ๋อร์ขานรับแล้วกลายร่างเป็นปราณสีดำดวงหนึ่งมุดหายเข้าไปในถุงหนังข้างเอวหลิ่วหมิง
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ตั้งท่าเคล็ดวิชากระตุ้นภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่ ซ่อนเร้นลมปราณกลายเป็นเงาดำร่างหนึ่งเหาะเร็วรี่เลียดพื้นตรงไปยังเนินหลิงจิ้วอย่างเงียบเชียบ
……
ด้านหลังของเนินหลิงจิ้วคือเนินเขาชันที่เอียงขึ้นด้านบนแห่งหนึ่ง บนเนินเขาล้านเลี่ยนโล่งเตียนแทบไม่มีหญ้างอกสักต้น มีเพียงทางเดินที่เหมือนเส้นทางแต่ก็ไม่ใช่เส้นหนึ่งทอดคดเคี้ยวมุ่งขึ้นไปด้านบน
ตอนที่ขึ้นไปด้านบนได้ห้าถึงหกร้อยจั้ง แท่นขนาดหลายสิบจั้งแท่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง บนหน้าผาสุดปลายแท่นมีประตูศิลาแลดูธรรมดาบานหนึ่งอยู่ เขาสัมผัสได้เลือนรางถึงปราณเย็นยะเยือกสายแล้วสายเล่าที่แผ่ออกมาจากในประตูศิลา
คัมภีร์หยกที่เซวียหูทิ้งไว้ให้บอกไว้ว่าด้านหลังเนินหลิงจิ้วมีทางเข้าลับอยู่แห่งหนึ่ง แต่มันวางชั้นจำกัดที่ค่อนข้างซับซ้อนบางอย่างเอาไว้ ออกมาจากด้านในได้เท่านั้น เข้าไปจากด้านนอกไม่ได้
เมื่อเทียบกับคำบอกเล่าในคัมภีร์หยกแล้ว แปดเก้าในสิบส่วนคงจะเป็นประตูศิลาบานนี้ตรงหน้า
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสผ่านประตูศิลาแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าเดินไปยังประตูศิลาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังแล้วพบว่ายิ่งเข้าใกล้ประตูศิลา ลมปราณเย็นยะเยือกก็ยิ่งเข้มข้น
เขาหยุดหน้าประตูศิลาแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผิวบนฝ่ามือมีเกล็ดสีม่วงดำเล็กละเอียดชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นก่อนจะยื่นมือไปลูบบนประตูศิลา ทันใดนั้นประตูศิลาที่เดิมทีแลดูธรรมดาก็ทอแสงสีเทาอ่อนชั้นหนึ่งไหลเคลื่อนจากด้านบนสู่ด้านล่าง ท่ามกลางแสงสีเทามองเห็นอักขระเล็กจิ๋วตัวแล้วตัวเล่าเต้นอยู่เลือนราง พวกมันวนเวียนล้อมฝ่ามือของหลิ่วหมิงอย่างไร้เสียง
อึดใจต่อมาเขาก็รู้สึกว่าฝ่ามือชาหนึบ ในห้วงจิตฉับพลันได้ยินเสียงดัง “วิ้ง” จากนั้นทั้งร่างประดุจแตะถูกสายฟ้า ร่างกายโงนเงนอยู่หลายหนอย่างไม่อาจห้ามได้
หลิ่วหมิงรีบกระตุ้นหนอนพลังจิตในอกเสื้อ ความเย็นสดชื่นสายหนึ่งพุ่งตรงขึ้นไปยังสมองแล้ววนเวียนอยู่รอบหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็รีบถอยหลังไปสองสามก้าวจึงยืนตั้งหลักได้
พริบตาที่ผละออกมา แสงสีเทาที่ไหลเคลื่อนอยู่บนบานประตูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยตามราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
หลิ่วหมิงยกฝ่ามือขึ้นดูก็พบว่าบนผิวมีเส้นไหมสีดำที่เหมือนมีชีวิตหลายเส้นกำลังบิดดิ้นพยายามมุดผ่านเกล็ดบนฝ่ามืออยู่
ยังดีที่กายเนื้อของเขาเดิมทีก็แตกต่างไปจากคนปกติ อีกทั้งเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงโดนเล่นงานเข้าแล้ว
นี่เห็นชัดว่าเป็นชั้นจำกัดป้องกันชนิดพิเศษที่ผสานพลังจิตกับการกัดกร่อนของปราณหยินเข้าด้วยกัน หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่น หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ขั้นต้น หากกล้าใช้มือไปแตะเช่นนี้ ผลลัพธ์แทบไม่อยากจะคิด
ด้วยเหตุนี้หลังจากหลิ่วหมิงใช้วิชาสลายเส้นไหมสีดำบนฝ่ามือจนหมด เขาก็พลิกมือข้างหนึ่ง ตะกร้าบุปผาสีขาวประณีตใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ แสงสีขาวส่องสว่าง
เขากระตุ้นพลังเวทในร่างแล้วถ่ายเทเข้าไปในตะกร้าบุปผา
ภาพอันน่าเหลือเชื่อบังเกิดขึ้นแล้ว!
รอบด้านตะกร้าบุปผาฉับพลันอบอวลกลิ่นดอกไม้เบาบาง ไอน้ำสีขาวสายแล้วสายเล่าก่อตัวจากใจกลางบุปผาสีขาวในตะกร้าจนมีสภาพเหมือนเมฆสีขาวก้อนแล้วก้อนเล่าเคลื่อนวนไปรอบๆ ก่อนจะหยุดนิ่งกลายเป็นดอกกุหลาบสีขาวจางๆ ที่กำลังเผยอกลีบบานขนาดหนึ่งจั้งกว่าดอกหนึ่งเบื้องหน้าหลิ่วหมิง แลดูงดงามสะกดตายิ่งนัก
ดอกกุหลาบสั่นแผ่วเบากลางอากาศ จากนั้นมันก็แย้มกลีบบานดัง “พรึ่บ” แล้วหลุดออกจากตะกร้าบุปผา จมลงไปในประตูศิลาสีเทาด้านหน้า
หลังจากที่ดอกกุหลาบจมเข้าไปในประตูศิลา ผิวของมันก็มีแสงสีเทาอ่อนเคลื่อนไหวอีกครั้ง เงียบกริบดังเดิม ไม่มีเสียงดังขึ้นแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงท่องมนตร์เหมือนกำลังใช้เคล็ดวิชาบางอย่าง
เพียงสองถึงสามลมหายใจหลังจากนั้น บนบานประตูศิลาพลันมีดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งบานออกมาแล้วเหี่ยวเฉาหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับที่บุปผาดอกนี้เหี่ยวเฉา แสงสีเทาที่ไหลอยู่บนผิวประตูศิลาก็หม่นแสงตามด้วย พริบตาที่ดอกกุหลาบหายไปอย่างสมบูรณ์พลันเกิดเสียงดัง “ฟู่” แสงสีเทากลายเป็นละอองแสงสีเทาสลายไป
อาวุธเวททำลายค่ายกลที่ทารกเฮ่าเยวี่ยทะนุถนอมชิ้นนี้เยี่ยมยอดยิ่งนักจริงๆ !
หลิ่วหมิงอุทานชื่นชมในใจประโยคหนึ่ง จากนั้นเคล็ดวิชาที่มือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยยิงแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งใส่ตะกร้าบุปผา กลิ่นบุปผาหอมชื่นใจสายหนึ่งโอบล้อมเขาเอาไว้ในพริบตา
เขารู้สึกว่ารอบร่างถูกไอน้ำสีขาวจางๆ ล้อมเอาไว้ นอกเหนือจากนี้สิ่งอื่นก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่ความจริงตอนนี้หลิ่วหมิงเร้นกายกลืนไปกับอากาศอย่างสมบูรณ์ หากผู้ฝึกฝนคนอื่นมองมาจากด้านนอกจะไม่อาจหาเจอว่าร่างกายกับกลิ่นอายของเขาอยู่ตรงไหนแม้แต่น้อย
หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้นหลิ่วหมิงจึงยื่นมือผลักประตูศิลาสีเทาเบาๆ
ประตูศิลาเปิดเข้าไปด้านในเป็นช่องพอให้คนผู้หนึ่งลอดผ่าน ร่างกายของเขาขยับผ่านประตูเข้าไปด้านในตัวเนินเขาหลิงจิ้วอย่างเงียบเชียบ
ทันทีที่เขาเข้ามาในตัวภูเขา ปราณหยินเย็นเยียบเสียดกระดูกสายแล้วสายเล่าก็โถมเข้าใส่ใบหน้าจนทั้งร่างสั่นเทาในทันที
ปราณหยินในตัวภูเขาลูกนี้หนักหน่วงกว่าตรงทางเข้าไม่ใช่น้อย กระทั่งเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนที่ฝึกวิชาสายวิญญาณมากว่าร้อยปีคนนี้ก็ยังรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง
แต่เขาไม่มีเวลาสนใจมากนัก เขารีบแผ่จิตสัมผัสกวาดผ่านพื้นที่ด้านในตัวภูเขาทั้งหมด ทว่ากลับพบว่าภายในตัวภูเขาลูกนี้ว่างเปล่า มีแต่ทางเดินศิลาริมผนังถ้ำวนเป็นวงจากล่างขึ้นบนจำนวนมากถึงหลายสิบชั้น ตำแหน่งที่ตนเองอยู่ตอนนี้อยู่ตรงกลางค่อนไปทางด้านล่าง
สิ่งที่ทำให้เขาค่อนข้างโล่งอกก็คือพื้นที่มหึมาทั้งหมดนี้มีทหารผีระดับต่ำกระจายกันลาดตระเวนบนทางเดินศิลาชั้นต่างๆ อยู่น้อยนิดเพียงไม่กี่สิบตนเท่านั้น ตนที่พลังสูงสุดเป็นเพียงผีรองแม่ทัพระดับผลึกขั้นต้นตนหนึ่ง
นอกเหนือจากนี้ทางเดินศิลาแต่ละชั้นล้วนเชื่อมต่อกับห้องศิลาบูดเบี้ยวห้องแล้วห้องเล่าที่ฝังอยู่ในกำแพงหิน ด้านล่างของประตูห้องศิลาแต่ละห้องมีรูสีดำรูปจันทร์เสี้ยวขนาดหนึ่งฉื่อกว่าอยู่รูหนึ่ง ปราณหยินสายแล้วสายเล่าทะลุผ่านรูสีดำรูปจันทร์เสี้ยวเหล่านี้เข้าไปในห้องศิลาไม่ขาด
เสียงร้องโหยหวนชวนขนลุกดังออกมาจากในห้องศิลาเหล่านี้ไม่ขาดสาย
ทหารผีระดับล่างเหล่านั้นเหมือนจะคุ้นเคยกับเสียงกรีดร้องเช่นนี้นานแล้ว พวกมันเพียงเดินไปมาบนทางเดินด้านในตัวภูเขาแห่งนี้ ลาดตระเวนอย่างไร้อารมณ์ เสียงฝีเท้าตึกๆ ดังออกมาเป็นระยะ
เสียงกรีดร้องโหยหวนกับเสียงฝีเท้าแข็งทื่อเหล่านี้สะท้อนก้องไปมาในตัวภูเขาอันว่างเปล่าแห่งนี้ ฟังดูประหลาดพิกลอย่างบอกไม่ถูก
“ศิษย์พี่เสี่ยวอู่ถูกขังไว้ที่นี่หรือ แต่เสียงเหล่านี้ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์…”
ในดวงตาหลิ่วหมิงฉายแววสงสัย ทันใดนั้นปราณเย็นยะเยือกที่ทำให้ทั้งร่างกายสั่นเทาสายหนึ่งพลันลอยขึ้นมาจากด้านล่างทำให้ทั้งร่างของเขาเย็นเฉียบ ร่างกายสั่นเทาวูบหนึ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่