บทที่ 555.1 มาเป็นแขกถึงบ้านกินหมัดหนึ่งมื้อ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชายหญิงสองฝ่าย ในอดีตเคยพบเจอกันในบ้านเกิดของคนคนหนึ่งและต่างบ้านของคนคนหนึ่ง

ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าสองฝ่ายสลับกัน เพราะถึงอย่างไรอุตรกุรุทวีปก็ถือว่าเป็นบ้านเกิดครึ่งหนึ่งของเจ้าสำนักผู้เปิดขุนเขาของสำนักชิงเหลียงอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงแล้ว

คนธรรมดาล่างภูเขา ถูกรับกลับเข้าสู่วงศ์ตระกูลคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่จิตใจสงบสุขไร้ความปรารถนาก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันหน้าไปพูดกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ถวายงานในสำนักที่อยู่ด้านหลัง “หลี่โจว เจ้ากลับภูเขาไปก่อน”

แม้ว่าหลี่โจวจะรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย แต่ก็ยังเก็บความคิดที่วุ่นวายกลับมาได้ทันที น้อมรับคำสั่งแล้วจากไป

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “เดินเล่นกันหน่อยดีไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะพูดคุยกันให้รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละ ชักช้าอืดอาดไม่ควรเป็นพฤติกรรมที่เจ้าสำนักคนหนึ่งสมควรมี”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหมุนตัวเดินเข้าไปในตรอกเล็ก เว้นทางตรงกลางเอาไว้ นางเดินติดผนังแถบหนึ่งคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา เฉินผิงอันจึงเดินติดผนังอีกแถบหนึ่ง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยถาม “ในหุบเขาผีร้าย เจ้าเดาได้อย่างไรว่าข้ากับเกาเฉิงแอบวางแผนเล่นงานเจ้าอย่างลับๆ?”

เฉินผิงอันกล่าว “ล้วนเป็นความบังเอิญที่สัมผัสได้อย่างเลือนราง จึงมองขอบเขตมรรคกถาของเจ้าลัทธิเฮ้อให้สูงสักหน่อย มองว่ามีกลอุบายมากสักหน่อย จากนั้นก็รีบหนีไปให้ไกล”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ข้าฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเองไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่ขอบเขตกลับเกือบจะต้องถดถอย เจ้าว่าเจ้าสำนักไม่กี่คนของใต้หล้าไพศาลที่เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบควรมีจุดจบเช่นนี้หรือ?”

เฉินผิงอันนึกถึงประสบการณ์ตอนที่ซื้อส้มก่อนหน้านี้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “หากเอ่ยขอโทษแล้วนับแต่นี้ไปสามารถเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลองกับเจ้าสำนักเฮ้อได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ผิดไปแล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ นางเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าน่าจะพูดจาแบบนี้ไม่ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากเป็นเมื่อก่อน ขอแค่มีชีวิตอยู่รอดดีๆ ได้ จะให้โขกหัวขอร้องคนอื่นก็ยังได้”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ยกตัวอย่างเช่นว่า หากเป็นไปได้ เจ้าก็จะขอร้องวานรย้ายภูเขาให้ไม่ทำร้ายหลิวเสี้ยนหยางจนบาดเจ็บหนักขนาดนั้น?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน หากตอนนั้นเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นรู้สึกว่าโขกหัวยังไม่มีความจริงใจมากพอ ข้าก็จะพยายามโขกหัวจนหัวแตกเลือดไหลให้เดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นเห็น”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยถาม “หลังจากโขกหัวล่ะ?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ปิดบัง “จะยังทำอะไรได้อีก? ก็มีชีวิตธรรมดาที่จืดชืดต่อไปน่ะสิ หากมีหมื่นหนึ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ ให้ข้าได้มีโอกาสคิดบัญชีเก่า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สุราบนภูเขา แต่ไหนแต่ไรมายิ่งเก็บไว้ก็มีแต่จะยิ่งหอม”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงถามอีก “แล้วตอนนี้ล่ะ?”

เฉินผิงอันเดินพลางเดาะส้มลูกที่อยู่ในมือเบาๆ ไปด้วย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความสามารถไม่พอ ดื่มเหล้าได้พอเป็นพิธี จะยังทำอย่างไรได้อีก? โทษฟ้าโทษคน ร้องไห้คร่ำครวญ โหวกเหวกว่าสวรรค์ไม่มีตา แล้วสวรรค์ก็จะหันมาสนใจข้าจริงๆ งั้นหรือ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกำลังจะถามอีกครั้ง

หากในอดีตเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรจะทำอย่างไร?

ลู่เฉินผู้เป็นอาจารย์เคยพานางเดินท่องไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสายไหนๆ ดังนั้นนางจึงเคยได้พบเจอเฉินผิงอันหลากหลายรูปแบบในอนาคตมาก่อน

มีเพียงเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้นที่ไม่เคยอยู่ในบรรดา ‘เฉินผิงอันมากมาย’ เหล่านั้น

“ไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องในอดีต”

เฉินผิงอันกุมส้มเอาไว้ หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ พูดตรงๆ เลยดีกว่า วันหน้าพวกเราคนหนึ่งเจ้าเดินบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินบนทางสะพานไม้ของข้า ได้หรือไม่?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงชี้ไปบนม่านฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่สู้เจ้าไปถามอาจารย์ข้าดู? หากอาจารย์ออกคำสั่ง ข้าที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ย่อมไม่กล้าไม่ทำตาม”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรต้องมีความสามารถมากกว่านี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนจะทำเช่นนั้น ข้าจะต้องดื่มเหล้าไปกี่มากน้อย”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีความจริงใจ ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันได้ยากแล้วจริงๆ

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่สนเลยสักนิดว่าเฉินผิงอันคิดอะไรอยู่ สิ่งเดียวที่นางสนใจก็คือวันหน้าเฉินผิงอันจะก้าวเดินอย่างไร จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าบนมหามรรคาของตนหรือไม่

หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล เด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะสะพายหีบไม้ไผ่ที่ด้านในบรรจุหินดีงูไว้เพียงอย่างเดียว เจอกันครั้งแรกที่ริมน้ำ ไม่เพียงแต่สถานะที่แตกต่าง เขายังต้องแหงนหน้ามองกลุ่มของพวกนางที่อยู่บนหินผาใหญ่ และจิตใจของเด็กหนุ่มในช่วงเวลานั้นก็ยังอยู่ท่ามกลางดินโคลนบนเส้นทาง

คิดไม่ถึงว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบเขตยังคงแตกต่าง ทว่าสภาพจิตใจกลับแข็งแกร่งและถูกยกระดับขึ้นสูงกว่าเดิมไม่น้อย

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่านิสัยเช่นนี้ ทุกครั้งที่เจ้าเดินไปได้สูงหน่อย ยิ่งระมัดระวังรอบคอบ เดินทุกก้าวได้อย่างมั่นคงเท่าไร ขอแค่ปล่อยให้ศัตรูมองเบาะแสออก จิตที่คิดจะสังหารเจ้ามีแต่จะยิ่งแน่วแน่มากเท่านั้น”

“ทำไม นี่คือความผิดของข้าอีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดจาตามมโนธรรมในใจกับเจ้าสำนักเฮ้อสักคำแล้ว เจ้าคิดว่าหากข้าไม่ค่อยๆ เดินขึ้นสูงก็จะไม่มีใครยื่นนิ้วมาบดขยี้ข้าให้ตายแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าคงมีไม่น้อย หากไม่รู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเสีย ก็คงเป็นพวกที่เอาเวลาฝึกตนไปฝึกบนร่างสุนัขหมดแล้ว ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครอง พอคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ดีๆ ของข้าหลังจากได้เจอกับเจ้าสำนักเฮ้อในต่างบ้านต่างเมือง ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “เพราะเจ้าคิดว่าเป็นพวกเขาที่ทำผิดก่อน ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งหรือไม่ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นเจ้าที่คือความผิด?”

สีหน้าของเฉินผิงอันยังคงราบเรียบ “คำพูดยุแยงในหมู่บ้านร้านตลาดที่ชวนให้ไก่กระโดดหมาบินประเภทนี้ อันที่จริงไม่ต้องรบกวนให้เจ้าสำนักเฮ้อเป็นคนพูด ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ บริเวณใกล้เคียงกับตรอกหนีผิงบ้านเกิดของข้า ไม่เพียงแค่คนวัยเดียวกันที่พูดเล่นพล่อยๆ เท่านั้น ยังมีตะพาบบางตัวที่จงใจพร่ำพูดเรื่องพวกนี้มาทำให้คนสะอิดสะเอียน เพื่อนบ้านใกล้เคียงอายุมากหลายคน คนดีๆ หลายคนที่จิตใจดีมาก บางครั้งสายตาที่พวกเขามองข้า อันที่จริงก็กำลังพูดจาในทำนองเดียวกันนี้”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเงียบงันไปนาน

สุดปลายถนนของตรอกเล็ก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหยุดเดิน “ที่แท้เจ้าก็รู้ความจริงมาตั้งนานแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าสำนักเฮ้อเจ้ากำลังพูดถึงอะไร ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “ในใจเข้าใจก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันถามกลับ “พอแล้ว?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางๆ “ไม่ค่อยพอสักเท่าไร”

ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็ใคร่ครวญจนเข้าใจปมในใจบางอย่างได้อย่างน่าประหลาดใจ เฮ้อเสี่ยวเหลียงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน “ข้าจะรอเจ้าอยู่บนยอดเขาของใต้หล้าไพศาล นอกจากนี้ เจ้าและข้าต่างคนก็ต่างเดินกันไป”

มาพบเจอกันอีกครั้งที่จุดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรคราวนี้ เป็นทั้งความบังเอิญ แล้วก็เป็นทั้งความจำเป็น

เรื่องใดก็ตามที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงอยากจะทำให้สำเร็จ ส่วนใหญ่ก็มักจะสมใจปรารถนาเสมอ

ต่อให้ไม่อยากยอมรับในโชควาสนาที่ลึกล้ำของนาง ก็ยังต้องยอมรับแต่โดยดี

เฉินผิงอันได้รับคำตอบที่ดีกว่าที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ จึงยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ไปส่งเจ้าสำนักเฮ้อแล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มตอบ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะกลับทันที ในฐานะเจ้าสำนัก มีเรื่องมากมายให้ต้องเป็นกังวล นานๆ ทีจะได้ออกจากสำนัก ได้เจอกับคนในใจที่ยากจะปล่อยวางได้ ก็ไม่ควรจะทะนุถนอมช่วงเวลานี้ไว้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยสองชื่อ “สวีเสวี่ยน หลี่โจว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงคลี่ยิ้มกว้าง “คนหนึ่งเก็บไม้เก็บมือได้ คนหนึ่งเก็บปากได้ ไม่มีทางทำให้เจ้าเสียสมาธิแน่”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดจา

เฮ้อเสี่ยวเหลียงแสร้งทำเป็นแปลกใจ “ทำไม ยังเป็นความผิดของข้าอีกหรือ?”

เฉินผิงอันนึกอยากจะต่อยนางให้ตายด้วยหนึ่งหมัดจริงๆ

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพูดอย่าง ‘เข้าอกเข้าใจผู้อื่น’ เป็นอย่างดี “ความสามารถไม่พอ แต่ดื่มเหล้ายังพอถูไถ เจ้าพอจะมีสุราดีๆ หรือไม่? ข้ามีสุราตระกูลเซียนที่ดีที่สุดของอุตรกุรุทวีปอยู่บางส่วน จะยกให้เจ้าหมดเลยแล้วกัน”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยีกล่าว “ต่อยเจ้าสำนักเฮ้อให้ตายด้วยหมัดเดียวคงน่าเสียดายจริงๆ ข้าพูดจาเหลวไหลแบบนี้ เจ้าสำนักเฮ้ออย่าได้โกรธเคือง”

ต่อให้สามารถต่อยให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว ก็ยังต้องต่อยสักสองหมัด

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับยิ้มจนตายิบหยี ยื่นมือข้างหนึ่งมาป้องปาก ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ไม่โกรธหรอก แม้ระหว่างเจ้าและข้าจะปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจช้าไปสักหน่อย แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องดี”

เฉินผิงอันเดินออกจากตรอก เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ร่ายเวทอำพรางตาใหม่อีกครั้งจึงเดินออกมาพร้อมกับเขา ทั้งสองยังคงเว้นระยะห่างกันช่วงหนึ่ง จึงไม่ถือว่าเดินเคียงบ่ากัน

สายตาของเฉินผิงอันมองไปเบื้องหน้า บนถนนแออัดไปด้วยผู้คนและรถม้าที่วิ่งสวนกันขวักไขว่ เขาถามว่า “เจ้าจะไปเมื่อไหร่?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “น่าจะช้ากว่าที่เจ้าคิดไว้กระมัง”

เฉินผิงอันถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง เจ้าเป็นคนแบบนี้มาโดยตลอดเลยหรือ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพียงแต่ว่าข้ารู้จักตัวเองมาตั้งแต่แรก เจ้าเฉินผิงอันรู้จักตัวเองช้ากว่า ดังนั้นจึงยากกว่า”

คนทั้งสองเดินออกจากนคร เลียบลำน้ำใหญ่เดินไปยังชายหาดฝั่งตะวันตกของอุตรกุรุทวีป

เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนหอสูงแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทะเล เขาพลันเอ่ยว่า “เฮ้อเสี่ยวเหลียง มรรคกถาที่เจ้าแสวงหาอย่างยากลำบาก ก็เหมือนหนิงเหยาที่อยู่ในใจของข้า พูดแบบนี้เจ้าเข้าใจได้ไหม?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าเข้าใจได้ นี่จะไปยากอะไร แต่ปัญหาก็คือข้าไม่ยากยอมรับผลลัพธ์นี้นี่นา”

เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง ถามว่า “ในเมื่อก่อนหน้านี้ผ่านทางไป เหตุใดถึงไม่แวะไปดูที่สำนักศึกษา?”

อันที่จริงนางเพิ่งออกจากสำนักศึกษามาไม่นาน

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก สองมือกำเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า ชายแขนเสื้อสองข้างลู่ลงตามธรรมชาติ “หากลู่เฉินตายเพราะเจ้า เจ้าจะไปดูที่ป๋ายอวี้จิงกับอารามใหญ่แต่ละแห่งของสามสายหรือไม่?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเงียบงันไปนาน ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงจนกระทั่งวันนี้ ข้าถึงเพิ่งรู้สึกว่าการได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า สำหรับข้าแล้ว ไม่ใช่ด่านอะไร ที่แท้นี่ถือเป็นวาสนาสมรสที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว”

เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา เขานั่งขัดสมาธิ แล้วดื่มเหล้าช้าๆ อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “มหามรรคาไม่ควรเล็กเช่นนี้”

ไม่รู้ว่าเหตุใดเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้เปลี่ยนใจ นางลุกขึ้นยืน เลือกจะไปจากสถานที่แห่งนี้ก่อนกำหนด ก่อนจะจากไป นางหันหน้าไปพูดกับเฉินผิงอันที่นั่งเอนหลังพิงหีบไม้ไผ่ “ถึงอย่างไรความรักระหว่างชายหญิงก็เป็นเรื่องเล็ก”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เรื่องนี้ อย่าว่าแต่ลู่เฉินอาจารย์ของเจ้าเลย ต่อให้เป็นมรรคาจารย์เต๋าก็ยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหลุดหัวเราะพรืด แล้วทะยานลมจากไปไกล

……

ปลายฤดูหนาวของปีก่อน

หลังจากที่หยวนหลิงเตี้ยนออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกร เขาที่ทะยานลมขึ้นเหนือพลันลดระดับฮวบลงมา มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเขียวแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คน ไม่ใช่ภูเขาจวนเซียน เป็นเพียงแค่พื้นที่ห่างไกลในป่าเขาที่มีปราณวิญญาณธรรมดา

ที่นั่น หยวนหลิงเตี้ยนเห็นว่าอาจารย์ของตนกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับสตรีคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายใช้รากภูเขาที่ถูกหล่อหลอมมาเป็นหมากสีดำ ใช้โชคชะตาน้ำที่ถูกรวบรวมมาเป็นหมากสีขาว

หยวนหลิงเตี้ยนประสานมือคารวะทั้งสองฝ่าย แล้วจึงมายืนอยู่ด้านข้างฮว่อหลงเจินเหริน เขาไม่ได้เหลือบมองสถานการณ์บนกระดานหมากแม้แต่แวบเดียว ด้วยกลัวว่าจิตแห่งเต๋าจะวุ่นวาย

ล่างภูเขาไม่มีพิณ หมากล้อม พู่กัน วาดภาพที่แท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนวนเวียนอยู่ที่คำว่าศาสตร์ทั้งสิ้น

ต่อให้จะเป็นร้อยสำนักบนภูเขา เก้าสาขาก็ยังแบ่งออกเป็นบนกลางล่าง พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด พวกที่เล่นพิณนั้นยังดี เพราะถึงอย่างไรก็มีบทสรุปจากอริยะอยู่แล้ว พอจะสะสมบุญได้อยู่บ้าง นอกจากนี้คือพู่กันที่ไม่เข้าขั้นที่สุด คนที่เล่นหมากล้อมดูแคลนคนวาดภาพ คนวาดภาพดูแคลนคนเขียนตัวอักษร คนเขียนอักษรด้วยพู่กันจึงได้แต่ยกเอาคุณความชอบใหญ่เทียมฟ้าในการสร้างตัวอักษรของอริยะมา ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ

ฮว่อหลงเจินเหรินคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้ววางลงบนกระดานหมากที่มีปณิธานเต๋าเป็นเส้นตัดสลับ เอ่ยถามว่า “มอบกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ไปให้แค่เล่มเดียว?”

หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ารับ “ไม่ได้ทำอะไรมากเกินความจำเป็น”

หยวนหลิงเตี้ยนรู้ถึงความตั้งใจของอาจารย์เป็นอย่างดี เพราะในอดีตตนก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน และยังเป็นขอบเขตเดินทางไกลที่เลื่อนขั้นมาจากขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย เพียงแต่ว่าได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ จึงสละรางวัลส่วนนั้น ถือเป็นการสะสมโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งให้อุตรกุรุทวีป ถึงท้ายที่สุดก็ใช้ความเด็ดเดี่ยวที่ยิ่งใหญ่ สละการเรียนวรยุทธ หันมาถามมรรคาอย่างจริงจัง อุปสรรคที่ต้องพบเจอระหว่างนี้เหนือกว่ายามที่ก่อกำเนิดทั่วไปเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเสียอีก

หยวนหลิงเตี้ยนรู้ว่าอาจารย์อยากจะให้ตนชี้แนะวิชาหมัดให้กับอีกฝ่าย แต่หยวนหลิงเตี้ยนไม่มีความสนใจมากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังรู้สึกด้วยว่าการเจ้ากี้เจ้าการของตนใช่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป

บนยอดเขาพาตี้ นอกเสียจากว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะพูดบอกกับลูกศิษย์อย่างชัดเจนว่าควรทำอะไรคิดอะไร นอกจากนี้แล้วลูกศิษย์หลายๆ คนอยากจะทำอะไร อยากจะคิดแบบไหนก็ล้วนไม่มีปัญหา

ฮว่อหลงเจินเหรินเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ทั้งๆ ที่บนกระดานหมากล้อมเขาแพ้แล้ว แต่กลับพลันคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พยายามเอาชีวิตรอดท่ามกลางความตาย ค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย”

หลี่หลิ่วเอ่ย “กระดานหมากเล็กขนาดนี้ มีใจเช่นนี้ ก็คือการรนหาที่ตาย”

หลี่หลิ่วสลายรากภูเขาโชคชะตาสายน้ำไปอย่างง่ายๆ ปล่อยให้พวกมันกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง ฮว่อหลงเจินเหรินเองก็เก็บกระดานหมากล้อมที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานเต๋ามา

ยามนี้ฮว่อหลงเจินเหรินถึงได้เอ่ยว่า “จดหมายของยอดเขาสิงโตที่ถูกเจ้าดักไว้ก่อนหน้านี้ เขียนไว้ว่าอะไร?”

หลี่หลิ่วตอบไม่ตรงคำถาม นางกล่าวว่า “เป็นอย่างที่เจินเหรินว่าไว้จริงๆ ยังคงให้หลี่หยวนสุ่ยเจิ้งเป็นผู้ส่งจดหมาย ไม่ได้ให้ตำหนักวารีหนานซวินช่วยเหลือ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เขียนจดหมาย แต่เขียนจดหมายส่งไปที่ยอดเขาสิงโตโดยตรง”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ในเมื่อเจ้าเดินไปบนเส้นทางสายนี้แล้ว ก็ต้องแบกความรับผิดชอบใหญ่หลวง ไม่ได้เหมือนคนอื่นที่มีชาติภพหนึ่งเพียงภพเดียว เจ้าหลี่หลิ่วใช้ชีวิตอยู่มาหลายชาติภพขนาดนี้ ก็จะต้องรู้มากที่สุด รู้ในสิ่งที่ถูกที่สุด ดีมาก แพ้บนกระดาน แต่นอกกระดาน ข้าผู้เป็นนักพรตกลับทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้แล้ว”