ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 92 เห็นหน้าก็เบื่อแล้ว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทั้งนอกและในสถานศึกษาหนานซีเงียบงันไร้เสียง

ไหวเหรินไม่อาจตอบคำ

นางรู้ดีว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ไม่มีทางที่จะแก้ไขกลับกลาย แต่เมื่อนึกถึงภาพอารามพังทลายเหล่าศิษย์ล้มตาย นางก็ได้แต่พยายามเกลี้ยกล่อมเป็นครั้งสุดท้าย

“ข้ารู้ว่าวิธีที่ข้าทำไปนั้นขัดกับกฎของอาราม แต่ข้าไม่อาจทนดูพวกท่านสองคนลากสถานศึกษาหนานซีลงนรกได้”

นางปรายตามองสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงและกล่าว “พวกท่านไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น”

สวีโหย่วหรงลุกขึ้นและจ้องตานางอย่างสุขุม “ก่อนอาจารย์จากไป นางกล่าวกับข้าว่าสถานศึกษาหนานซีมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรสตรีที่มีนิสัยอ่อนโยนแต่กำเนิด แต่ก็ยากที่จะเลี่ยงการใช้ชีวิตในโลกที่วุ่นวาย แต่การใช้ชีวิตโดยปกป้องเส้นทางแห่งจิตของตนเองเงียบๆ ยิ่งเป็นวิธีที่โง่เขลายิ่งกว่า ขัดกับเต๋าของสถานศึกษาหนานซีอย่างสิ้นเชิง”

ไหวเหรินถาม “ศิษย์พี่กับท่านเคยคิดถึงสถานการณ์ของโลกบ้างหรือไม่ อย่างเช่นแม่น้ำเฮิ่นเหอท่วม แค่ประมาทเพียงนิดเดียวก็จะส่งผลให้เรือล่มผู้คนล้มตาย”

สวีโหย่วหรงตอบ “บำเพ็ญเต๋าก็เป็นการต่อต้านสวรรค์อยู่แล้ว ต่อให้เป็นสตรีอ่อนแอเราก็ยังต้องมุ่งหน้าต่อไป แม้ว่าการยืนอยู่ริมแม่น้ำชมทิวทัศน์จะเป็นเรื่องปลอดโปร่งสบายตา แต่หากไม่ยอมให้รองเท้าเปียกจะก้าวข้ามคลื่นไปถึงอีกฝั่งได้อย่างไร”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ต้นไม้ดอกไม้ส่ายไหวในสายลม ดวงตาของศิษย์สถานศึกษาหนานซีกระจ่างใส

“ตอนที่ข้ายังเด็กและอยู่ในจิงตู ข้ากระโดดลงไปในบ่อน้ำสะพานอุดรใหม่ ยืนอยู่บนสะพานและโดดลงลำคลองของแม่น้ำลั่ว ทุกคนคิดว่าข้าหาที่ตาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้าแค่ต้องการโดดไปดูความจริงเท่านั้น มีพระจันทร์จริงหรือไม่ มังกรชั่วร้ายในตำนานมีจริงหรือไม่ ข้ากล้าทำเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นการลงสู่แม่น้ำจะนับเป็นอะไรได้”

ตอนที่สวีโหย่วหรงกล่าว เฉินฉางเซิงมองนาง

ก่อนการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอในจิงตู เขาได้ศึกษาประวัติของนางอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องราวอันน่าสนใจในวัยเด็กของนางเหล่านี้

“อาจารย์เลือกข้าเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพราะนางเข้าใจนิสัยข้าเป็นอย่างดี รู้ว่าข้าจะนำสถานศึกษาหนานซีไปในทิศทางใด”

สวีโหย่วหรงกล่าวกับไหวเหริน “ข้าเคารพที่ท่านไม่ชอบวิธีดำเนินการของข้าและไม่ชอบทางเลือกของอาจารย์ แต่ถ้าหากท่านต้องการจะเปลี่ยน ย่อมไม่มีทาง”

เสียงของนางอ่อนโยนอย่างมาก รื่นหูราวกับเสียงนกร้องไพเราะในหุบเขาอันสงบสุข ไม่มีเจตจำนงที่จะข่มขู่ แต่ก็บ่งบอกว่าคำพูดของนางไม่อาจกังขาได้

โดยเฉพาะคำพูดสุดท้าย ศิษย์หลายคนรวมถึงผิงเซวียนและอี้เฉินนึกถึงตอนที่เฉินฉางเซิงเฉินฉางเซิงได้พูดคำเดียวกันนี้บนที่ราบสูง

‘ข้าสามารถเคารพและเข้าใจได้ แต่ข้าไม่อาจยอมรับ ไม่อาจถูกท่านโน้มน้าว ไม่อาจเปลี่ยนใจเพราะท่าน ไม่ก็คือไม่ ต่อให้ดีก็ยังไม่’

แต่เฉินฉางเซิงนึกไปถึงเสียงตะโกนที่เขาได้ยินจากจวนเก่าในพายุหิมะ

“บุตรคนรองของท่านร่วมมือกับเผ่ามาร!”

ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเริ่มสะสมขึ้นหลังจากการสอบใหญ่

แต่สวีโหย่วหรงกับชิวซานจวินนั้นได้สะสมชื่อเสียงมานับจากวันที่พวกเขาเกิดแล้ว

พวกเขามีชีวิตในโลกมาน้อยกว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มาก แต่ในแง่ของชื่อเสียงจะมีใครเทียบพวกเขาได้

การโต้เถียงทั้งหมดจบลงแล้ว

สวีโหย่วหรงคือเจตจำนงของสถานศึกษาหนานซี

ในเทือกเขาเขียวชอุ่มสิบกว่าลูกนี้ ไม่มีใครสั่นคลอนฐานะของนางได้ หรือแม้แต่จะลองยังไม่ได้เลย

แม้ว่าคนที่ต่อต้านนางในวันนี้จะเป็นอาจารย์ย่าทั้งสามที่มีอาวุโสสูงสุด

ไหวเหรินถอนหายใจ มองไปที่ใบหน้าของสวีโหย่วหรงที่สงบราบเรียบ หัวใจราวกับน้ำที่ซบเซา นางกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอารามจะลงโทษพวกเราอย่างไร”

“ข้าบอกแล้วว่าข้าเคารพและเข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นอาจารย์อาก็ไม่ได้ทำผิดใหญ่โตอันใด แล้วยังต้องลงโทษอะไรอีก”

สวีโหย่วหรงกล่าวต่อ “อาจารย์อาชอบการท่องโลก แต่เพื่ออนาคตของสถานศึกษาหนานซี ท่านต้องฝืนทิ้งการเดินทางและกลับมา ตอนนี้ข้าออกจากการกักตนแล้วก็ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับอารามอีก ดังนั้นข้าขอเชิญให้อาจารย์อาเดินทางท่องเทียวต่อไป ข้ามั่นใจว่าทิวทัศน์ภายนอกจะไม่ด้อยไปกว่าทิวทัศน์ที่นี่”

ด้วยอาวุโสของไหวเหริน การลงโทษนางตามกฎของนิกายหรือกฎของอารามนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

แต่หากให้อาจารย์ย่าทั้งสามอยู่ที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่อไปก็ยิ่งไม่เหมาะสมไปใหญ่

‘ท่องเที่ยว’ เป็นแค่คำเชิญให้จากไป เลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาได้พบกัน

สวีโหย่วหรงสามารถจัดการเรื่องยากนี้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยใจที่เปิดกว้าง คาดว่าแม้แต่ไหวเหรินก็สามารถยอมรับได้

อี้เฉินกับผิงเซวียนมองไปที่ไหวเหรินด้วยความยินดีในดวงตา

ตอนที่ไหวเหรินกำลังจะจากไปนั่นเอง สวีโหย่วหรงพลันนึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้

“แต่ข้าไม่อยากให้อาจารย์อาต้องลำบากลับมาบ่อยๆ เอาเป็นว่ากลับมาสิบปีครั้งก็แล้วกัน”

อี้เฉินกับผิงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยกับคำพูดนี้ อาจารย์ของพวกนางจะรับได้หรือ

เชิญพวกนางออกเดินทางท่องเที่ยวสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นมารยาทของผู้เยาว์ แต่การอนุญาตให้กลับมาได้สิบปีครั้งนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการเนรเทศ

อย่างไรก็ตาม ไหวเหรินเข้าใจว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดถึงสิบปีครั้งนั้นหมายถึงพิธีการฉลองดวงดาวที่จัดขึ้นทุกสิบปีในสถานศึกษาหนานซี

เมื่อเห็นว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ตัดสิทธิ์เข้าร่วมพิธีใหญ่ของนางเช่นนี้ นางยังจะพูดอะไรได้อีก

นางถอนหายใจอย่างเศร้าโศกและเดินออกจากกระท่อมมุงจาก

ไหวซู่คำนับสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิง จากนั้นก็หันกลับและตามไป

ไหวปี้เดินตามไหวเหรินไปก่อนแล้ว นางดูเหมือนสงบแต่ขนตาสั่นระริก ดวงตาฉายขึ้นด้วยความกระสับกระส่ายและหลุดพ้น

แต่ไม่นานจากนั้น ความกระสับกระส่ายและหลุดพ้นในดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นความตกใจและหวาดกลัวอย่างสมบูรณ์

เสียงสวีโหย่วหรงดังก้องไปทั่วสถานศึกษาหนานซีอีกครั้ง

“หยวนเย่ว์ฉิน คิดว่าเจ้าจะจากไปได้หรือ”

……

……

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งหมดเงยหน้าขึ้น

บ้างก็มองหน้ากันในขณะที่คนอื่นมองไปรอบๆ คิดในใจ หยวนเย่ว์ฉินเป็นใครกัน มีศิษย์คนนี้อยู่ด้วยหรือ

ศิษย์ที่มีปัญญาบางคนพอจะเดาได้แล้ว

ไหวเหรินหยุดแล้วหันกลับมามองสวีโหย่วหรงเงียบๆ

ไหวซู่มีสีหน้างงงวย ดูเหมือนจะสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น

ไหวปี้มีสีหน้าน่าเกลียดอย่างที่สุด

ศิษย์เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า ‘หยวนเย่ว์ฉิน’ ก็คือชื่อของอาจารย์ย่าไหวปี้ก่อนบวชนั่นเอง

ไหวเหรินกระวนกระวายอยู่บ้าง

สวีโหย่วหรงไม่ได้เรียก ‘อาจารย์อา’ หรือใช้นามทางธรรมแต่นางกลับเรียกด้วยนามเดิม ความนัยนั้นชัดเจนมาก

ไหวปี้อับอายกลายเป็นโมโหยามที่นางตะโกนใส่สวีโหย่วหรง “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะทำอะไร”

ไหวซู่ยังที่ยังไม่มีปฏิกิริยามองไปที่สวีโหย่วหรงและถาม “นางยังเป็นอาจารย์อาของท่าน ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

สวีโหย่วหรงรู้ว่าไหวซู่เป็นคนแบบนี้เองและไม่สนใจนาง หากแต่มองไปที่ไหวปี้และกล่าว “หยวนเย่ว์ฉิน เจ้าร่วมมือกับคนนอกโจมตีศิษย์ในสำนัก คิดว่าหลังจากทำเรื่องเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าออกจากสถานศึกษาหนานซีไปหรือ”

ได้ยินเช่นนี้ไหวซู่ก็ได้สติกลับมาในที่สุด นางมองไปที่ไหวเหรินต้องการจะพูดอะไรออกมาแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี

สำหรับศิษย์ที่อยู่บนที่ราบสูง คำพูดของสวีโหย่วหรงได้ทำให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น

พวกเขาได้ก่อตั้งค่ายกลกระบี่ เจตจำนงรวมเป็นหนึ่งแข็งแกร่งดังกำแพงยามที่พวกเขาต้านทานอู๋ฉยงปี้ สถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง

ในตอนนั้นเองที่อาจารย์ย่าพลันลงมือทำร้ายพวกนาง ทำให้ค่ายกลแตก

พวกนางจะลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร