ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 848 การปะทะกันของประมุข

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในปัจจุบันบนโลกซ้อนโลก ระหว่างเขาลึกที่เป็นจุดตัดของเขตสุราลัยบูรพาและเขตสารทอิสาน ฟ้าดินทางเหนือและทางใต้ถูกขอบเขตไร้รูปร่างแบ่งเป็นโลกสองใบ

เทือกเขาทางทิศใต้ ฟ้าดินเป็นสีเขียว ปราณบริสุทธิ์หลายสายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ต้นไม้ใหญ่เทียมฟ้าต้นหนึ่งตั้งตระหง่าน กิ่งทั้งเก้าเหยียดยื่นออกไปรอบๆ แผ่ขยายไปทั่วบริเวณ

ใบอันหนาแน่น เกิดจากสายฟ้าสีเขียวสายแล้วสายเล่า ส่องแสงสว่างละลานตา

พลังชีวิตอันเต็มเปี่ยมที่ก่อให้เกิดการเติบโตของทุกสรรพสิ่ง กับพลังงานอันน่ากลัวที่ทำลายล้างทุกสรรพชีวิต ปรากฏขึ้นพร้อมกัน แผ่กระจายไปทั่วอากาศ

ทางเทือกเขาทิศเหนือ ฟ้าดินเป็นสีม่วง

นอกจากสายฟ้าแล้ว ก็ไม่มีมีสิ่งอื่นอยู่อีก

ฟ้าดินทางทิศเหนือของเทือกเขา ติดอยู่ในทะเลอัสนีผืนหนึ่งโดยสมบูรณ์

บนลำต้นของต้นไม้โบราณเก้ากิ่งทางทิศใต้ กับตรงกลางของท้องทะเลสายฟ้าทางทิศเหนือ มีเงาคนอยู่ฝั่งละสาย

ทั่วทั้งร่างของเงาคนทั้งสองเปล่งแสงที่เป็นอนันต์ไร้วันดับ เหมือนกับดาวพร่างพราวบนฟ้า

จักรวาลภายในร่างผนึกรวมกับจักรวาลภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนกับเป็นร่างเดียวกันไม่อาจแบ่งแยก

จักรวาลที่เกิดจากร่างกายราวกับจักรวาลที่แท้จริง

ปราณบริสุทธิ์และสายฟ้าสีม่วงปะทะกันไม่หยุด จากนั้นก็ดับสลายติดต่อกัน ไม่ทันไรก็มีการให้กำเนิดใหม่ ยื้อยันกันอยู่เช่นนี้

สายฟ้าสีม่วงมีอานุภาพแข็งแกร่งกว่า แต่ว่าปราณบริสุทธิ์เกิดใหม่เร็วกว่า แค่สถานการณ์คุมเชิงกันในตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่อาจแบ่งดีเลว

กลับเป็นระหว่างพลังของยอดฝีมือทั้งสอง จิตแห่งหลักการกลับมีจุดร่วมอยู่เลือนราง

ด้านในท้องทะเลสายฟ้าทางทิศเหนือมีเสียงดังมา “ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเอง ตัดสินใจจะฆ่าให้หมดสิ้นแล้วหรือ”

เงาคนที่อยู่บนต้นไม้เก้ากิ่งทางทิศใต้กล่าวอย่างราบเรียบ “ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนจำนวนมากเกินไปทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ทำตัวตามใจชอบในที่ลับ เรื่องคงไม่ดำเนินมาถึงวันนี้”

“ยังไม่พูดถึงว่าแต่ละคนมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน มีความสัมพันธ์เก่าก่อน แค่ดูจากความคิดเช่นนี้ของท่านหมายความว่าท่านจะทรยศสำนักเต๋าแล้วหรือ” เสียงในทะเลสายฟ้ากดต่ำดังสะเทือน สั่นสะท้านฟ้าดิน

เงาคนบนต้นไม้โบราณกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ “จะเป็นไปได้อย่างไร”

อีกฝ่ายเดินกดดันเข้ามา “เช่นนั้นการเสาะหาอย่างต่อเนื่องของท่านคืออะไร”

เสียงที่ดังมาจากต้นไม้โบราณนิ่งสงบ “ข้าเพียงแต่คิดว่าแนวคิดของกษัตริย์ดินเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จึงยอมร่วมมือและนำมาปฏิบัติจริง”

หลังจากอีกฝ่ายเงียบงันไปเล็กน้อย ก็ค่อยๆ พูดว่า “กษัตริย์ดินเองก็ไม่ได้มีการแสดงออกอะไรต่อเรื่องนี้

“เช่นนั้นเรื่องที่ดรุณีน้อยทำ หากมองจากระยะยาวจะถูกหรือจะผิด พวกเราต่างรู้ดี!”

จากกลางทะเลสายฟ้า เงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งค่อยๆ ก้าวเดินออกมา

เงาร่างนี้คาดเข็มขัดหยก ใส่มงกุฎสีม่วง เป็นชายชราผมขาวที่มีใบหน้าน่าเกรงขาม ใบหน้าเป็นสีบานเย็น

ทุกๆ ย่างก้าวของเขา เหมือนกับระหว่างฟ้าดินเกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ทำให้อากาศสั่นไหวไปด้วย

เขตแดนและสภาพแวดล้อมของโลกซ้อนโลก แข็งแกร่งยิ่งกว่าโลกเบื้องล่างมากนัก คนธรรมดาไม่อาจสั่นสะเทือนได้ง่ายๆ

สามารถทำให้สภาพแวดล้อมของฟ้าดินได้รับผลกระทบที่ใหญ่โตและชัดเจนเช่นนี้ ความแข็งแกร่งในพลังของชายชรามงกุฎม่วงผู้นี้เห็นได้อย่างชัดเจน

เขาจ้องมองต้นไม้โบราณเก้ากิ่งทางทิศใต้ ตวาดว่า “จงถอยกลับไป! ที่นี่แม้จะเป็นเขตสองเขต แต่ว่าหากคำนวณกันจริงๆ มันคือเขตแดนของเขตสารทอิสานของข้า”

คนที่อยู่บนต้นไม้เก้ากิ่งเหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไร น้ำเสียงยังคงเรียบสงบ “ก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่ห้ามปรามหรือไม่ก็ช่วยเหลือในที่ลับ มาวันนี้ท่านคิดจะแสดงตัวช่วยเหลือสตรีนางนี้แล้วหรือ”

ชายชรามงกุฎม่วงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ถ้าใช่แล้วเป็นไร? ไม่ช่วยพวกเดียวกัน หรือจะให้ส่งเสริมคนนอกมาสู้กับพวกตัวเอง”

“หากอีกฝ่ายรวบรวมศิลากำเนิดฟ้าที่สมบูรณ์แบบได้เสร็จ เราสองคนไม่มีวันอยู่เป็นสุข ในเรื่องนี้พวกเราคือคนที่ได้รับผลประโยชน์ ไม่ช่วยเหลือยังจะมาแว้งกัดอีกหรือ”

ชายชรามงกุฎม่วงขณะที่พูด บนใบหน้าปรากฏโทสะขึ้น

เงาคนที่อยู่บนต้นไม้โบราณเก้ากิ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแจ่มชัด เผยให้เห็นบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าองอาจ สวมชุดบัณฑิต ท่วงท่าสง่างาม

เขากล่าวอย่างแช่มช้า “มีสุขย่อมมีทุกข์ มีทุกข์ย่อมมีสุข หากมองจากระยะยาวแล้วถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่อาจจะนำภัยพิบัติมาในเวลาอันสั้นเช่นกัน”

“หากไร้ปัจจุบัน จะพูดถึงอนาคตได้อย่างไร”

บุรุษวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตถอนใจคำหนึ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อย

ชายชราสวมมงกุฎม่วงผู้นั้นกล่าวอย่างเย็นชา “โลกนี้เต็มไปด้วยความลำบาก ตอนนี้ล้วนแต่ต้องพึ่งพาตัวเอง เฝ้าระวังกันเอง ไม่บีบบังคับกันและกัน”

“เรื่องของผู้เยาว์ ข้าไม่สนใจ ขึ้นอยู่กับการกระทำของดรุณีนางนั้นเอง แต่ถ้าท่านคิดลงมือด้วยตัวเอง ต้องถามดาบในมือข้าก่อนว่าอนุญาตหรือไม่!”

แม้จะไม่ได้แสดงอาวุธ และไม่ได้ลงมือ แต่ว่าแสงสายฟ้ารอบๆ ชายชรามงกุฎม่วงผู้นี้ เริ่มกลายเป็นคมดาบที่หั่นฟ้าดินหลายส่วนแล้ว

“ข้าคิดเอาชนะท่านไม่ง่าย แต่ท่านคิดเอาชนะข้ากลับยากกว่า สู้กับข้า อย่างมากสุดท่านก็ทำได้แค่เสมอ”

ชายชรามงกุฎม่วงรวมสภาวะดาบเอาไว้ไม่ปล่อย มิติที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มเกิดการคลาดเคลื่อนแล้ว

บุรุษวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตเอ่ยอย่างราบเรียบ “ทุกคนมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันแต่คนละสำนัก ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันดี พูดถึงเรื่องการต่อสู้ ข้าด้อยกว่าท่านขั้นหนึ่งจริงๆ แต่ท่านเผยความคมกล้ามากเกินไป ความจริงไม่เหมาะกับวิชาหลัก คิดทำลายคอขวด แรงหนุนเสริมย่อมไม่พอ ยากลำบากกว่าข้านัก”

ชายชรามงกุฎม่วงว่า “มิผิด ท่านหนุ่มกว่าข้านัก แต่กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าแล้ว กระนั้นขอพูดจาโอหังเล็กน้อย รอในตอนที่ท่านอยู่เหนือกว่าข้าแล้วค่อยมาว่ากันเถอะ”

บุรุษวัยกลางคนชุดบัณฑิตพยักหน้า “ตกลง แต่ขอเตือนท่านสักประโยค ท่านปกป้องนางได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจปกป้องนางได้ตลอดไป”

“ครั้งนี้ท่านปกป้องนางไว้ได้เท่านั้น แต่ถ้าหากว่าต้องคอยคุ้มครองนางตลอดเวลา เขตสารทอิสานอาจจะเกิดภัยพิบัติได้”

บุรุษวัยกลางคนชุดบัณฑิตพูดจบก็หมุนกายจากไป

ต้นไม้โบราณเก้ากิ่งที่ปกคลุมท้องฟ้าทิศใต้ค่อยๆ กลายเป็นเงาลวงตา สุดท้ายก็สลายไป

ชายชรามงกุฎม่วงกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ต่อจากนี้ข้าจะทำอะไร ท่านไม่ต้องมาใส่ใจ”

บุรษวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตพูดพร้อมกับที่เงาหลังออกห่างไป “ศิษย์ในสำนักข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ท่านอย่าได้สร้างความลำบากให้แก่พวกเขา”

ชายชรามงกุฎม่วงว่า “ข้าย่อมไม่ลงมือสร้างความลำบากแก่พวกเขา แต่ว่าพวกผู้เยาว์จะสู้กันอย่างไร ข้ากลับไม่สนใจ กล้ามาเหยียบในเขตสารทอิสานของข้า จะเจอผลลัพธ์อะไรก็เป็นสิ่งที่แส่หาเรื่องเอง”

เงาร่างของบุรุษวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตหายไป

ชายชรามงกุฎม่วงยืนอยู่ที่เดิม เท้าเหยียบอากาศ นิ่งเงียบไม่พูดจา

เนิ่นนานให้หลัง เขาเงยหน้าขึ้นถอนใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย หันกายเดินเข้าไปในประตูทางเชื่อม มาอยู่ในมิติต่างแดน

พอเข้ามาด้านในแล้ว คิ้วที่ขมวดมุ่นในตอนแรกของชายชรามงกุฎม่วงก็คลายออก แต่ว่าไม่ทันไรก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “ดรุณีน้อยนางนั้นหายไปแล้วหรือ เช่นนี้เป็นใครต่อสู้กับเหล่าเด็กน้อยจากเขตสุราลัยบูรพาที่นี่กัน”

เขากวาดสายตา ข้ามการขวางกั้นของมิติ หยุดลงลงบนร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ

“ข้าหลิวเจิงกู่ ท่านเป็นใคร”

เยี่ยนจ้าวเกอคำนับด้วยรอยยิ้ม “ข้าแซ่เยี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอ ขอคำนับประมุขอิสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)”

หลิวเจิงกู่ ผู้ปกครองเขตสารทอิสานแห่งตำหนักขุย[1]สายฟ้า หนึ่งในประมุขทั้งสิบบนโลกซ้อนโลก ประมุขอิสาน

“เยี่ยนจ้าวเกอ? ชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง…” หลิวเจิงกู่มองเยี่ยนจ้าวเกอ สายตาพลันสั่นไหว “รอเดี๋ยว หน้าตาของท่าน…”

………………..

[1] ขุย เป็นเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายมังกรมีเขาเดียว