ราชันเร้นลับ 1161 : นับถอยหลัง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ทำได้ไม่เลว…เมื่อได้ยินคำชมจากอามุนด์ ไคลน์ฝืนยิ้มและตอบอย่างสุภาพ

“ขอบคุณ”

ว่ากันตามตรงชายหนุ่มอยากได้ยินคำสาปมากกว่าคำเยินยอ เพราะนั่นหมายความว่าตนประสบความสำเร็จ

แต่แน่นอนไคลน์เชื่อว่าต่อให้ตนหลบหนีสำเร็จ อามุนด์ก็จะไม่เสียอาการมากนัก เพราะเมื่อพิจารณาจากนิสัยและธรรมชาติของเทพแห่งการกลั่นแกล้งรายนี้ อีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะแสยะยิ้มด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง แม้ภายในใจอาจผิดหวังและเสียดายเล็ก ๆ ก็ตาม

“ฉลาดมากที่เลือกใช้ ‘ประตู’ มาก่อกวนข้า” อามุนด์ยิ้มอย่างไม่ปิดบัง “แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าขณะที่ ‘เปิดประตู’ ข้าจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ และคอยกังวลว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น?”

ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบขึงขัง

“ตอนแรกก็คิดแบบนั้น แต่เมื่อประเมินว่าคุณน่าจะประเมินสภาพจิตใจของผมได้ และเชื่อว่าผมไม่กล้าลงมือระหว่างเปิดประตู จึงใช้จิตวิทยาย้อนกลับเพื่อลองเสี่ยงหาผลลัพธ์”

กลยุทธ์ที่ดีคือลงมือในตอนที่ศัตรูไม่คิดว่าจะลงมือ

ในชีวิตที่แล้วไคลน์มีโอกาสลิ้มรสเกมที่ต้องเค้นความคิดและสติปัญญาในระดับเดียวกัน

“แล้วถ้าข้าคำนึงถึงจุดนั้นด้วยล่ะ?” อามุนด์แสยะยิ้มพลางใช้ข้อนิ้วชี้ขยับกรอบแว่น

ขณะเดียวกันบรรดาหุ่นเชิดของไคลน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกตัวนำแว่นตาขาเดียวออกจากความว่างเปล่าและสวมไว้บนตาขวา จากนั้นก็จ้องมองมาทางไคลน์โดยพร้อมเพรียง

ฉากดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มเย็นสันหลังวาบ ขณะเดียวกันก็พบว่าการเชื่อมต่อระหว่างตนกับหุ่นเชิดขาดสะบั้นลง

“แม้จะพัฒนา แต่ความล้มเหลวก็สมควรได้รับบทลงโทษ” อามุนด์ยิ้มพลางหันหลังและเดินไปทางวิหาร

ขณะมันเดินขึ้นบันไดวิหาร บรรดาหุ่นเชิดของไคลน์ต่างยกโค้งมุมปากพร้อมกับทรุดตัวลงอย่างไร้ชีวิตชีวา ส่งผลให้ดวงวิญญาณไคลน์เกิดการฉีกขาดหนแล้วหนเล่า เส้นเลือดบนหน้าปากปูดโปนจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ท่ามกลางความเจ็บปวด ไคลน์ยืนแน่นิ่งเป็นเวลานานจนกระทั่งสงบลง

ระหว่างนั้นแม้ไคลน์จะยืนแช่ในความมืดนานหลายวินาที แต่กลับไม่ถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงหรือเข้าสู่ภาวะถูกปกปิด

อามุนด์ขโมยพลังปกปิดในละแวกนี้ไปตั้งแต่ตอนไหน? ถ้าเราพยายามฆ่าตัวตาย ความคิดดังกล่าวก็คงถูกขโมยเช่นกัน…เรายังเตรียมตัวไม่ดีพอ ยังรู้จักอามุนด์ไม่ดีพอ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคยขโมยสิ่งใดมาก่อนหน้านี้บ้าง…ใครจะไปคิดได้ว่าชายคนนั้นจะปล่อย ‘กลางวัน’ ของซากสมรภูมิเทพออกมา…อามุนด์เคยขโมยอะไรมาบ้าง? ถ้าไม่มีข้อมูลนี้ ก็ไม่มีทางเตรียมตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ…แว่นตาขาเดียวเป็นภาชนะในการกักเก็บพลังที่ขโมยมา? หรือมันติดตัวอามุนด์มาตั้งแต่เกิด? ส่งผลให้สามารถนำแว่นออกมาได้ทุกครั้งที่ยึดครองร่างเหยื่อ…ไคลน์ลูบหน้าผาก เดินเข้าไปในวิหาร จ้องอามุนด์ที่ยืนรอหน้าประตูแสงและถามอย่างเป็นกันเอง

“ทำไมถึงมีแว่นตาขาเดียวเยอะนัก เก็บไว้ที่ไหน?”

อามุนด์ลูบแว่นตาขาเดียวที่ตาขวาพลางยิ้ม

“ทำไมเจ้าถึงไม่ถามว่าทำไมทุกร่างโคลนของข้าถึงมีแว่นตา? คิดว่าพวกมันถูกเก็บไว้ที่ไหนล่ะ?”

“…เข้าใจแล้ว” ไคลน์พยักหน้าด้วยความกระจ่าง

อามุนด์หันกลับไปมองประตูแสงที่ยังคงกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำตลอดเวลา จากนั้นก็กล่าวอย่างเป็นกันเอง

“ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ความพยายามของเจ้าเมื่อครู่เป็นเพียงการเตรียมตัว…ยังไม่ได้เอาจริง…กำลังแอบเล่นตุกติกอะไร?”

ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์แสยะยิ้ม

“ลองเดาดูสิ”

“ก็พอจะมีในใจอยู่…เจ้าคิดว่าข้าจะเดาถูกไหม?” อามุนด์ถามด้วยความสนใจพลางขยับกรอบแว่น

“อาจจะ…และอาจจะไม่” ไคลน์ตอบคลุมเครือ เดินตามหลังอามุนด์อย่างให้ความร่วมมือ หยุดยืนมองอีกฝ่ายยื่นแขนออกไปกดลงบนบานประตูแสงสีซีด

เหนือบานประตูแสง ระลอกคลื่นน้ำกระเพื่อมในลักษณะที่รุนแรงขึ้น

ผ่านไปราวสิบวินาที ระลอกคลื่นแผ่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ส่งผลให้ประตูแสงขยายขนาดเป็นสองเท่า

อามุนด์ชำเลืองไคลน์ ส่งสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายไปก่อน

ไคลน์มองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณ

นอกจุดที่แสงตะเกียงส่องถึง ตะกอนพลังของสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์กำลังส่องแสงระยิบระยับ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นผู้วิเศษในตอนที่มีชีวิต แต่หลังจากมนุษย์กลายเป็นสัตว์ประหลาด พลังส่วนใหญ่มาจากความเสื่อมทรามและความมืด คนกลุ่มนี้จึงไม่ทิ้งตะกอนพลังในยามที่ตาย

“ข้าเกือบลืมไปเลย” อามุนด์ที่มองตามไคลน์ ส่ายหน้าพลางยิ้ม

ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มตะกอนพลังลอยขึ้นไปในอากาศและหลั่งไหลมารวมกันภายในร่างกายอามุนด์ เหลือทิ้งไว้เพียงจำนวนน้อย

“มนุษย์ที่กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่อยู่บนเส้นทางผู้ฝึกหัด เขาและครอบครัวสามารถเข้าสู่ ‘เขตมืด’ ของเมืองได้” อามุนด์ถอนสายตากลับพลางกล่าวโดยไม่มอง

แม้จะเป็นตะกอนพลังของเส้นทางใกล้เคียง แต่การ ‘กิน’ เข้าไปโดยตรงก็ย่อมต้องเกิดปัญหาไม่ใช่หรือ? เส้นทางใกล้เคียงสามารถสับเปลี่ยนกันในลำดับสูงเท่านั้นไม่ใช่รึไง? กลับมากินตะกอนพลังลำดับต่ำย้อนหลังได้ด้วย? เฝ้ามองด้วยสีหน้าตกตะลึงสักพัก ไคลน์ตัดสินใจถาม

“ทำแบบนี้จะไม่สั่งสมความบ้าหรือ”

และไม่ใช่แค่การสะสมความบ้าในปริมาณน้อย ไคลน์เชื่อว่าหากเป็นตนทำบ้าง คงได้เข้าสู่ภาวะกึ่งเสียสติทันที

“คนอื่นอาจจะใช่” อามุนด์ยิ้ม “แต่กับข้าแล้วไม่”

บั๊กของแท้…ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว

จากนั้นระยะห่างระหว่างมันกับประตูแสงพลันหายไป

ชายหนุ่มเลิกสนใจตะกอนพลังคนตายโดยไม่รู้ตัว เพียงเดินเข้าประตูแสงไปที่ขยายใหญ่พร้อมกับอามุนด์

ความมืดมิดและเส้นแสงที่สาดกระเพื่อม ผสมผสานเข้าด้วยกันพร้อมกับมอบความรู้สึก ‘ร่อนลง’ ให้กับไคลน์

ผ่านไปสิบวินาที ไคลน์พบว่าตนและอามุนด์ปรากฏตัวที่จัตุรัสแห่งหนึ่ง และด้วยเหตุผลบางประการ แสงบางส่วนของตะเกียงถูกปิดกั้น ส่งผลให้ส่องสว่างได้เพียงครึ่งเดียวจากปรกติ

สายฟ้าที่ผ่าลงมาจากด้านบนช่วยให้สภาพแวดล้อมสว่างไสว

อาศัยความช่วยเหลืองจากสายฟ้า ไคลน์มองเห็นรูปปั้นที่ไม่สมบูรณ์รอบจัตุรัส บ้างถูกมัดมือไว้ด้านหลัง บ้างถูกห่อหุ้มด้วยหนามกุหลาบ บ้างถูกผ้าพันประหนึ่งมัมมี่ มอบความรู้สึกของการถูก ‘พันธนาการ’

“เดิมที ที่นี่เคยนับถือราชามนุษย์กลายพันธุ์” อามุนด์ทำตัวเป็นมัคคุเทศก์ที่ดี คอยกล่าวแนะนำ ‘สถานที่ท่องเที่ยว’ ให้ไคลน์ “วิถีชีวิตของพวกเขาน่าสนใจมาก มักจะพันธนาการตัวเองในสภาพยากลำบากเหมือนกับนักบวชหรือนักพรต แต่เมื่อเห็นเหยื่อเหยื่อเผชิญบางสถานการณ์ พวกเขาจะกลายเป็นคนกระหายเลือดที่เต็มไปด้วยจิตสังหารทันที…เจ้าสามารถจินตนาการได้ว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง เมืองนี้จะมีมนุษย์หมาป่าเดินสวนกันขวักไขว่”

ดูเหมือนว่าเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ดั้งเดิมจะยึดถือแนวทาง ‘ระงับแรงกระหาย’ เป็นหลัก…แต่ในภายหลัง คำสอนถูกบิดเบือนโดยมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…อาศัยสายฟ้าระลอกใหม่ ไคลน์สำรวจอย่างใจเย็นก่อนจะถาม

“ภาพลักษณ์ของราชามนุษย์กลายพันธุ์ใกล้เคียงกับมัมมี่ใช่ไหม”

“เปล่า…ถึงแม้จะอัปลักษณ์และบิดเบี้ยว แต่เจ้านั่นชอบพันธนาการตัวเองด้วยหนามกุหลาบมากกว่า” อามุนด์เย้ยหยัน

“…” ไคลน์ถือโอกาสถาม

“บรรดาสาวกของคุณ นับถือคุณในรูปลักษณ์ใด? ในทางศาสตร์เร้นลับ สัญลักษณ์ของคุณถือหนอนกาลเวลาและนาฬิกา?”

อามุนด์ลูบคางพลางตอบ

“ในทางทฤษฎี สาวกทั้งหมดของข้าคือตัวข้า…จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างรูปเคารพ”

สาวกทั้งหมดคือตัวเอง…อึก…แต่ตอนนี้เรามีเดนิสเป็นสาวกแล้ว…ไคลน์ตระหนักว่าตนมีความคล้ายคลึงอามุนด์ในบางแง่มุม

แต่แน่นอนเมื่อเราพูดว่าสาวกทั้งหมดคือตัวเอง นั่นจะกลายเป็นมุกตลก…แต่พออามุนด์พูดบ้าง นั่นคือเรื่องสยองขวัญทันที…ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว…ไคลน์รำพันจิกกัด

ขณะเดิน อามุนด์กล่าว

“แต่ในสมัยพระบิดา ข้ามีสาวกที่ติดตามและศรัทธาอยู่จำนวนหนึ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของชื่อเทวทูตกาลเวลา พวกเขาใช้สัญลักษณ์นาฬิกาแทนรูปเคารพของข้า…แต่ก็มีบางส่วนที่เรียกข้าว่าเทพแห่งการกลั่นแกล้งและใช้อีกาที่มีลวดลายลึกลับเป็นสัญลักษณ์…บางส่วนก็นำมาผสมกัน”

กล่าวถึงตรงนี้ อามุนด์ที่สวมแว่นตาขาเดียว ชำเลืองมาทางไคลน์และยกมุมปาก

“อีกไม่เกินสามวันก็จะถึงจุดหมายของเรา”

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราเหลือเวลาแค่สามวัน…ไคลน์พ่นลมหายใจเย็นเยียบอย่างยากลำบาก แรงกดดันมหาศาลทำให้มันรู้สึกราวกับเส้นประสาทกำลังจะถูกทำลาย

มันยังไม่พบจุดประสงค์ที่อามุนด์ต้องการเล่นเกม และไม่พบร่องรอยเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย นั่นแปลว่าไคลน์ยังมิได้กุมกุญแจสำคัญ การหลบหนีจึงเกิดขึ้นได้ยาก

ความแข็งแกร่งที่ร่างโคลนแสดงให้เห็น ช่วยให้ไคลน์ยืนยันว่าหากเกิดการปะทะกัน ตนไม่น่าจะยื้อได้นานถึงสิบวินาที

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ปิดปากเงียบ ทำเพียงเดินตามอามุนด์ออกจากลานกว้างซึ่งมีร่องรอยความพังพินาศ

คนเดินถนนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินขวักไขว่ด้วยความเร่งรีบ ภายในท่าเรือพริสต์ซึ่งอาคารหลายหลังมีร่องรอยถูกไฟไหม้ ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตเจ้าของผมสีเกาลัด วางหนังสือพิมพ์ในมือลงบนโต๊ะ

พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทัสซอคลงข่าวการถูกลอบสังหารของกษัตริย์โลเอ็น ระบุว่าเป็นฝีมือของฟุซัคหรือไม่ก็อินทิส

“เรื่องนี้มิได้ช่วยหยุดภัยพิบัติ…หรือทำให้มันรุนแรงขึ้น…” แบร์นาแดตพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เธอครุ่นคิดพลางยกผ้าปูโต๊ะขึ้นมาห่อ จากนั้นก็ปล่อยมือให้มันคลายออก

ทันใดนั้น ถ้วยกาแฟ ที่วางปากกา หนังสือพิมพ์ และข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ภายในผ้าปูโต๊ะพลันอันตรธานหาย สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนคืออุปกรณ์สำหรับประกอบพิธีกรรม

แบร์นาแดตประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์

ในฐานะเพื่อนร่วมงาน เธอเชื่อว่าตนควรไถ่ถามสถานการณ์ของอีกฝ่ายและดูว่าตนต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือหรือไม่

ทันทีที่พิธีกรรมจบลง ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ซึ่งแต่งกายในเดรสยาวสีเข้มซับซ้อน เจ้าของสี่หัวทองตาแดง เดินออกจากแสงเทียนไขที่ลุกโชติช่วง

เปลือกตาแบร์นาแดตกระตุกแผ่วเบา จากนั้นก็ยื่นจดหมายและเหรียญทองที่เตรียมไว้ให้ผู้ส่งสาร

ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ใช้หนึ่งในศีรษะกัดจดหมายและเหรียญทอง ส่วนที่เหลือจ้องมองราชินีเงื่อนงำหัวจรดเท้า

ผู้ส่งสารถอนสายตากลับและเดินหายเข้าไปในความว่างเปล่า แต่ขณะแบร์นาแดตเตรียมเก็บผ้าปูโต๊ะ มิสผู้ส่งสารปรากฏตัวอีกครั้ง

สองหัวเจ้าของผมสีทองดวงตาสีแดง กล่าวเรียงกัน

“เขา…” “หายไป…”

…………………………