บทที่ 555.3 มาเป็นแขกถึงบ้านกินหมัดหนึ่งมื้อ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

“เจ้าเคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่งหรือไม่ ตนเองกำลังใช้ความไม่ผิดไปคิดว่ามีความผิด? นั่นเป็นการเดินบนวนบนทางแยกหรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินถอนหายใจ “เด็กโง่! หรือว่าอาจารย์บนโลกที่ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ทำได้แค่ช่วยชี้ทางให้ลูกศิษย์เดินทางลัดเท่านั้น? ไม่อนุญาตให้อาจารย์สร้างด่านทับซ้อนบนเส้นทาง ทำให้ลูกศิษย์รู้สึกว่าแม้ทิศทางจะถูกต้อง แต่กลับเดินได้ยากลำบากบ้างเลยหรือ? จะได้ทำให้จิตถามมรรคาของลูกศิษย์แน่วแน่มากขึ้น?”

หยวนหลิงเตี้ยนทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์มีมรรคกถาสูงแค่ไหน ความรู้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ศิษย์ไม่ยินดีกังขาแม้แต่น้อย”

ฮว่อหลงเจินเหรินยื่นนิ้วมาชี้หน้าลูกศิษย์จากยอดเขาจื่อเสวียน แล้วพูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไปถามคนหนุ่มที่เกาะเป็ดน้ำผู้นั้นดู เขาที่อายุน้อยแค่นั้นเคยมีความคิดเช่นนี้ไหม ต่อให้เป็นฉีจิ้งชุนอาจารย์ฉีที่เขาเคารพมากที่สุดก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องมีเหตุผลต้องทำถูกไปเสียทุกเรื่อง! เจ้าลองถามเขาสิว่ากล้าคิดแบบนี้ไหม! กล้าตั้งใจใคร่ครวญหลักการเหตุผลของอิรยะปราชญ์นอกสายของเหวินเซิ่ง โดยไม่กลัวว่าจะไปข่มทับหลักการเหตุผลแรกเริ่มสุดของตัวเองหรือเปล่า?!”

“หลิงเตี้ยน หากเจ้ารู้สึกว่าหลักการเหตุผลทั้งหมดในใต้หล้านี้อยู่แค่บนร่างของอาจารย์ ลูกศิษย์ได้แค่เรียนรู้เอาไปเจ็ดแปดส่วน ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์ถ่ายทอดให้ศิษย์หลาน ศิษย์หลานถ่ายทอดต่อไปอีก ใต้หล้านี้จะเหลือหลักการเหตุผลอีกสักกี่ข้อ? แม้แต่เรื่องนี้เจ้าหยวนหลิงเตี้ยนยังไม่กล้าคิด ฝึกตนอย่างยากลำบากมาหกร้อยปี หรือว่ามีแต่พละกำลังที่เพิ่มพูน จิตแห่งเต๋าไม่เติบโตบ้างเลยหรือ?! ทำไม อยู่บนยอดเขาพาตี้ของอาจารย์ต้องทำงานหนักย้ายภูเขายกดิน ผ่าฟืนเผาถ่าน ถึงจะได้มีเรือนกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างเจ้าหยวนหลิงเตี้ยนหรือ?”

หยวนหลิงเตี้ยนชำเลืองตามองชายแขนเสื้อสองข้างที่สะบัดเบาๆ ของอาจารย์ แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์อย่าโมโห มีอะไรก็พูดกันดีๆ”

หลี่หลิ่วพูดขัดคอขึ้นมาว่า “หยวนจื่อเสวียนพูดว่า ‘ไม่ยินดี’ ไม่ได้พูดว่าไม่กล้า เจินเหรินเจ้าอย่าเอาแต่พร่ำพูดเหตุผลของตัวเองจนเป็นการใส่ร้ายหยวนจื่อเสวียน”

หยวนหลิงเตี้ยนเกือบจะโมโหตาย ไม่มีใครเขาช่วยให้แย่ยิ่งกว่าเดิมแบบเจ้าหลี่หลิ่วหรอกนะ

อาจารย์มีนิสัยอย่างไร เขาหยวนหลิงเตี้ยนรู้ดียิ่งกว่าใคร เพราะถึงอย่างไรหยวนหลิงเตี้ยนก็คือคนที่โดนซ้อมมากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน หากเขาหยวนจื่อเสวียนบอกว่าตัวเองคืออันดับสองบนยอดเขาพาตี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่หนึ่ง

“ไม่ยินดีแย่ยิ่งกว่าไม่กล้าเสียอีก! ไม่กล้าๆ ถึงอย่างไรก็ผ่านการคิดมาก่อนแล้ว เพียงแค่ว่ายังไม่เคยเดินออกไปก็เท่านั้น”

แล้วก็จริงดังคาด ฮว่อหลงเจินหลงยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิม สุดท้ายพูดเสียงเย็นว่า “ไปปิดด่านในถ้ำหินบนภูเขาเถาซานสิบปี คิดให้เข้าใจแล้วค่อยออกจากด่าน!”

หยวนหลิงเตี้ยนเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ สิบปีไม่ถือว่านานเท่าไร งีบหลับสักพัก หลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเวลาก็ผ่านไปแล้ว เพียงแต่ว่าเสียหน้านี่นา อาจารย์ออกเดินทางไกลครั้งนี้ ไปแล้วกลับมา กลับกลายเป็นว่ามีเพียงตนที่ต้องหอบผ้าม้วนเสื่อไสหัวจากยอดเขาจื่อเสวียนไปถูกกักบริเวณอยู่ที่ถ้ำหินภูเขาเถาซาน ศิษย์พี่สองคนของป๋ายอวิ๋นกับเถาซานจะไม่ไปต้มชาดื่มชาอย่างสบายอารมณ์อยู่นอกถ้ำหินทุกๆ สามวันห้าวันหรอกหรือ? แล้วคงจะยังถามเขาว่ากระหายหรือไม่ด้วยสินะ?

หยวนหลิงเตี้ยนพลันเกิดความคิดดีๆ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ศิษย์นัดหมายกับซานเฟิงเรียบร้อยแล้วว่าจะเลือกเวลาเหมาะๆ ลงจากเขามาด้วยกัน ช่วยทำตามคำสัญญาให้สำเร็จ”

ฮว่อหลงเจินหลงไม่ตีหน้านิ่งขรึมอีกต่อไป เขายิ้มบางๆ อืมรับหนึ่งคำ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้ามีเมตตาว่า “แม้ว่าจะเป็นความผิดของตัวเอง แต่ไม่มีความคิดอยากเอาชนะคะคาน มีศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือได้ ย่อมไม่เลอะเลือนอย่างเด็ดขาด ภายนอกยอมรับว่าฟ้าดินร่างมนุษย์สู้ฟ้าดินใหญ่ด้านนอกไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วใจคนกลับไม่ยอมแพ้ใจฟ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ซึ่งผู้ฝึกตนสมควรมี ดีมาก ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลิงเตี้ยน เจ้าก็ไม่ต้องไปที่ถ้ำหินของเถาซานแล้ว อยู่ข้างกายซานเฟิงนั่นแหละ ตั้งใจปกป้องมรรคาให้กับศิษย์น้อง จำไว้ว่าห้ามเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด พวกเจ้าแค่ไปหาประสบการณ์อยู่ตรงตีนเขาเท่านั้น”

หยวนหลิงเตี้ยนประสานมือคารวะ “อาจารย์วางใจได้เลย”

โอ้โหแหะ คราวนี้คงเป็นตาของพวกป๋ายอวิ๋นที่ต้องอิจฉาตนบ้างแล้วกระมัง

หยวนหลิงเตี้ยนกลัวว่าอาจารย์จะเปลี่ยนใจทวงเอาคำสัญญากลับคืน จึงรีบทะยานร่างเป็นรุ้งยาวจากไป

หลี่หลิ่วเอ่ย “หยวนจื่อเสวียนคิดจนเข้าใจแล้ว ลงเขามารอบหนึ่ง วันที่เขากลับคืนสู่ภูเขาก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาฝ่าด่านทะลุขอบเขตแล้ว”

ฮว่อหลงเจินหลงพยักหน้ารับ “ดังนั้นจะไปหรือไม่ไปทบทวนตัวเองอยู่ในถ้ำหินเถาซาน อันที่จริงก็ไม่ได้สำคัญอะไร”

ฮว่อหลงเจินหลงต้องการใช้หลักการเหตุผลที่หยวนหลิงเตี้ยนสามารถยอมรับได้มากที่สุดค่อยๆ หลอกล่อเขาด้วยความปรารถนาดี ช่วยไขข้อข้องใจบนมหามรรคาให้แก่เขา

ไม่อย่างนั้นหากฮว่อหลงเจินหลงใช้แค่ความเป็นอาจารย์สั่งสอนชี้แนะลูกศิษย์ ใช้ขอบเขตยอดเขาของบินทะยานมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่ขอบเขตหยกดิบก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่จะมีประโยชน์ไม่มากนัก อีกทั้งยังมีภัยซ่อนแฝงอยู่มากมาย

หลักการเหตุผลไม่ใช่การพูดง่ายๆ แค่ไม่กี่คำ แต่เป็นคนฟังรับฟังไปแล้วได้เปิดประตูหัวใจอย่างแท้จริง นอกจากจะฟังถ้อยคำสองสามคำของคนอื่นแล้ว ตัวเองยังเก็บเอาไปใคร่ครวญให้มากกว่า สุดท้ายจึงผสานสอดคล้องกับมหามรรคา

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “หยวนจื่อเสวียนมีสติปัญญาสูง หากเจ้าไม่ได้จงใจกำราบนิสัยของเขาเอาไว้ก็มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้เร็วกว่านี้”

ฮว่อหลงเจินหลงกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ช่วยไม่ได้ นิสัยก่อนกำเนิดของเจ้าเด็กนี่โลดโผนแล่นเตลิดเกินไป ต้องปรามเขาเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นยอดเขาพาตี้เป็นต้นไม้ใหญ่เรียกลม นี่ยังถือเป็นเรื่องเล็ก หากหยวนหลิงเตี้ยนฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป นอกจากสภาพจิตใจของตัวเองที่อาจจะต้องเผาไหม้ลุกโชนแล้ว จิตแห่งมรรคาของศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นย่อมเสียหายไปมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ ฮว่อหลงเจินหลงคนเดียวก็คือภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับอยู่บนหัวใจอยู่แล้ว หากมีหยวนจื่อเสวียนเพิ่มเข้ามาอีกคน ไม่ว่าใครที่เป็นมนุษย์ก็ย่อมรู้สึกไม่ดีกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยอดเขาพาตี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้หยวนหลิงเตี้ยนรีบร้อนออกหน้าเพียงเพื่อหวังให้มีขอบเขตบินทะยานเพิ่มมาอีกหนึ่งคน อะไรที่ควรเป็นของเขา ย่อมต้องเป็นของเขา ไม่อย่างนั้นในอนาคตวันใดข้าผู้เป็นนักพรตไม่อยู่ยอดเขาพาตี้แล้ว ด้วยนิสัยของหยวนหลิงเตี้ยน หากจะต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาระทั้งหมดเอาไว้ การฝึกจิตใจของเขายังไม่พอ และหลักการเหตุผลของศิษย์พี่ศิษย์น้องสายอื่นๆ ก็เล็กเกินไป ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็ต้องคิดแบบนี้กันทั้งนั้น นี่คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น ภูเขาตระกูลเซียนลูกหนึ่งมีแต่กลิ่นอายของความอึมครึมไม่น่าอยู่ เรือนเก่าโทรม มีบ่อน้ำลึกแต่กลับเป็นน้ำตาย ก็เท่ากับว่ากฎเกณฑ์ไปหล่นอยู่บนหน้ากระดาษ ได้แต่เอาไปวางให้เปื้อนฝุ่นอยู่ในศาลบรรพจารย์ ไม่ได้หล่นอยู่ในหัวใจของผู้ฝึกตน”

หลี่หลิ่วกล่าว “ไม่ว่ากฎก่อตั้งสำนักของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาคนใดก็ล้วนสำคัญอย่างถึงที่สุดทั้งนั้น”

ฮว่อหลงเจินหลงพยักหน้ารับ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนอย่างพวกป๋ายฉางเซียนกระบี่ที่ต่างก็มีรากฐานในการหยัดยืนเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมแตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผลไปตามความคิดของพวกเขา สามารถกลายเป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อได้ ใครบ้างที่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบอยู่ชุดหนึ่ง ประเด็นสำคัญคือต้องดูว่าใครจะเป็นดั่งน้ำสายเล็กที่ไหลได้ยาว น้ำไหลย่อมไม่มีกลิ่นเหม็น บานพับประตูที่ขยับบ่อยย่อมไม่ถูกปลวกกิน เก็บลมรวมน้ำได้ดียิ่งกว่า แต่ในเรื่องของอาจารย์ชี้ทาง ลูกศิษย์ก้าวเดินนี้ ยอดเขาพาตี้ของข้าผู้เป็นนักพรตคู่ควรกับคำกล่าวบนโลกที่มีคนทำจริงได้น้อยนี้ ตอนนี้ขาดก็แค่คนที่จะสามารถช่วยให้ยอดเขาพาตี้พัฒนาไปได้อีกขั้นก็เท่านั้น”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “จางซานเฟิง?”

ฮว่อหลงเจินหลงเอ่ย “พูดได้แค่ว่าซานเฟิงมีความหวังมากที่สุด แต่ข้าก็หวังว่าพวกศิษย์พี่อย่างหยวนหลิงเตี้ยนก็จะทำได้เหมือนกัน ข้าผู้เป็นนักพรตปฏิบัติต่อลูกศิษย์และศิษย์หลานในนอกยอดเขาพาตี้ ความหวังที่มีต่อพวกเขา ล้วนต่างกันออกไป ไม่ได้บอกว่าซานเฟิงมีความหวังว่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วจะต้องดูแคลนคนอื่นๆ”

หลี่หลิ่วส่ายหน้า “อย่างเจ้านี่เรียกว่ายืนพูดไม่ปวดเอว หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่ง หรือเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง จะยอมมีความคิดเช่นนี้ได้หรือ?”

ฮว่อหลงเจินหลงหัวเราะ ถามย้อนกลับว่า “ข้าผู้อาวุโสไปบีบบังคับให้ภูเขาลูกอื่นคิดเหมือนกันตั้งแต่เมื่อไหร่เล่า?”

สุดท้ายฮว่อหลงเจินหลงพูดเสียงทุ้มหนักว่า “แต่เจ้าต้องรู้ให้ชัดเจนว่า หากกลายมาเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างข้าผู้เป็นนักพรตแล้ว แล้วทุกคนไม่ยินดีจะคิดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นวิถีทางโลกก็คงไม่ค่อยดีแล้ว”

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ไม่ค่อยดี?”

ฮว่อหลงเจินหลงเอ่ย “บนกระดานหมากเล็กๆ ที่ข้าประลองกับเจ้า แพ้ให้เจ้าสองสามกระดาน หรือต่อให้แพ้เป็นร้อยเป็นพันกระดาน จะนับเป็นอะไรได้ แต่สถานการณ์หมากของวิถีทางโลกนั้น ไม่ใช่ว่าข้าผู้เป็นนักพรตมาพูดจาวางโตอยู่ที่นี่ แต่พวกเจ้าเอาชนะไม่ได้จริงๆ”

หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ “พวกเราไม่ได้สนใจเสียหน่อย”

ฮว่อหลงเจินหลงกล่าว “บังเอิญจริง พวกเราก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน”

อุตรกุรุทวีปเดินมาถึงช่วงสุดท้ายของการเล่นบนกระดานหมากแล้ว ยอดเขาสิงโต สกุลหยางหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน และยังมีสำนักมังกรน้ำ ต่างก็เป็นเม็ดหมากบนกระดานนั้น อันที่จริงเม็ดหมากที่มากกว่านั้นล้วนเป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลของนาง นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น สุดท้ายเหลือเพียงแค่หมากบางส่วนที่วางลงตามกฎเท่านั้น จำนวนมีไม่มาก

หลิงหยวนกงและหลงถิงโหวของลำน้ำจี้ตู๋ นางได้มาครองแค่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้นางได้ทั้งกงและโหวสองตำแหน่งมาอยู่ในกระเป๋าจริงๆ นางก็ยังจะรับไว้แค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไรวันนี้ก็ไม่เหมือนวันวาน

เสิ่นหลินแห่งตำหนักวารีหนานซวินและหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งศาลกลางของลำน้ำจี้ตู๋ หากดูแค่สถานะ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีหวังที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพวารีตำแหน่งสูงที่ได้รับความเคารพบูชาอย่างถึงที่สุดนี้ ถึงขั้นที่ว่าหลี่หยวนมีความถูกต้องชอบธรรมมากกว่าด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าการ ‘ไม่สนใจ’ ของหลี่หลิ่ว เป็นเรื่องของนาง เจ้าที่เป็นสุ่ยหยวนตัวเล็กๆ ก็ไม่สนใจอะไรมาเป็นพันปีแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร? หากไม่เป็นเพราะฮว่อหลงเจินหลงยินดีจะคุยเล่นกับหลี่หลิ่วให้มากหน่อย ก่อนหน้าที่จะเริ่มเล่นหมากล้อมจึงเอ่ยออกมาสองสามประโยค นางที่ไปถ้ำสวรรค์วังมังกรคราวนี้ก็คงเงื้อฝ่ามือตบให้ร่างทองของหลี่หยวนย่อยยับ กลายเป็นโชคชะตาน้ำที่กลับคืนสู่ลำน้ำจี้ตู๋ไปแล้ว เปลี่ยนสุ่ยเจิ้งคนใหม่ที่ยินดีปกป้องสำนักมังกรน้ำอย่างเต็มกำลังให้มารับตำแหน่งแทน สำนักมังกรน้ำก็มีแต่จะยิ่งซาบซึ้งในพระคุณของนาง

ฮว่อหลงเจินหลงพลันเอ่ยว่า “หลี่หลิ่ว พวกเรามาเล่นกันใหม่อีกตา เจ้ายอมแพ้ครึ่งหนึ่ง เป็นอย่างไร?”

แน่นอนว่าหลี่หลิ่วไม่ยินดีจะเล่นเพิ่มอีก

เดิมทีฮว่อหลงเจินหลงก็จงใจมารอหยวนหลิงเตี้ยนอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว แล้วก็เพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยลากนางมาเล่นหมากล้อมด้วยเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรการฝึกตนของผู้ฝึกตนขอบเขตยอดเขาของบินทะยานคนหนึ่งก็ไม่ได้อยู่ที่จิตดั้งเดิมแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดึงดูดปราณวิญญาณอะไรเลย

หลายๆ ครั้งมองดูเหมือนฮว่อหลงเจินหลงเดินเหยียบเปลือกแตงโม เดินไปถึงไหนก็พูดภาษาของที่นั่น (เป็นคล้ายคำพังเพยของจีนเปรียบเปรยถึงคนที่เห็นท่าไม่ดีก็เผ่นหนี คนขี้ขลาด ไม่เอาจริงเอาจัง) ทว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ในการกระทำ กลับเป็นทั้งการชี้นำลูกศิษย์อย่างหยวนหลิงเตี้ยน แล้วก็ยังใช้สถานะของสหายมาบอกกล่าวถึงเส้นสายน้อยใหญ่ของยอดเขาพาตี้ให้หลี่หลิ่วเข้าใจชัดเจน ช่วยให้หลี่หลิ่วระวังเรื่องใจคนมากขึ้น แต่ครั้งนี้ฮว่อหลงเจินหลงกลับตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แท้จริงของทั้งสองฝ่ายที่เป็นทั้งมิตรและเป็นทั้งศัตรูอย่างชัดเจน

จากนั้นหลี่หลิ่วถึงได้ย้อนกลับไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรมารอบหนึ่ง

แล้วก็มีการมอบป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ให้แก่หลี่หยวน แต่เสิ่นหลินกลับได้รับตำแหน่งเทพหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋ในอนาคต

เสิ่นหลินไม่กล้าเชื่อ หลี่หยวนก็ยิ่งตีอกชกตัว

ส่วนหลี่หยวนจะรู้หรือไม่รู้ว่าเดิมทีตนต้องตายสถานเดียว ถึงเวลานั้นศาลกลางลำน้ำจี้ตู๋จะมีสุ่ยเจิ่งคนใหม่มาแทนที่เขา เพียงแต่ว่าฮว่อหลงเจินหลงได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และการที่ได้ครองแผ่นหยกชือหลงแผ่นนั้นก็เพราะเฉินผิงอัน บางทีจนถึงตอนนี้หลี่หยวนก็คงยังถูกปิดหูปิดตาอยู่เหมือนเดิม หากจะบอกว่าเป็นแบบนี้ไม่ดี แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่หลี่หยวนทำก็มีไม่มาก ทว่ากลับได้นอนเสวยสุข ทั้งๆ ที่ทำแค่เรื่องเล็กๆ เท่าเมล็ดงาตามคำสั่งไม่กี่เรื่อง แต่กลับได้แผ่นหยกที่รวบรวมควันธูปแผ่นหนึ่งมาเปล่าๆ หากจะบอกดี แต่อันที่จริงการที่เขาไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามฟ้าลิขิตมานานเป็นร้อยเป็นพันปี ก็ทำให้เขาต้องสูญเสียตำแหน่งเทพหลิงหยวนกงซึ่งเป็นผู้นำเทพวารีของอุตรกุรุทวีปไป

……

ฮว่อหลงเจินหลงอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง หวนนึกถึงเรื่องราวบางอย่างในอดีตที่ผ่านมานานนมแล้วก็ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์

มียอดเขาพาตี้ที่เป็นบ้านของตน อุตรกุรุทวีปทั้งทวีป แล้วยังมีใต้หล้าไพศาล

พอเจินเหรินผู้เฒ่าคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็จะง่วงนอนอยู่ร่ำไป ก่อนหน้านี้แค่กระทืบเท้าก็ออกจากยอดเขาพาตี้มาถึงที่นี่ คราวนี้กระทืบเท้าอีกทีก็กลับจากที่นี่ไปถึงยอดเขาพาตี้

เมื่อตนงีบหลับ ยอดเขาพาตี้ก็จะมีหิมะตก ทำให้เจ้าพวกเด็กน้อยทั้งหลายเล่นปาหิมะกันอย่างสนุกสนาน

จางซานเฟิงนั่งอยู่บนลานกว้าง รอบกายรายล้อมไปด้วยนักพรตน้อยที่มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของเขากลุ่มใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนหน้าใหม่ แต่จางซานเฟิงเคยชินกับการคบค้าสมาคมกับพวกเด็กน้อยแล้ว เวลานี้นักพรตหนุ่มกำลังเล่าถึงความยากลำบากในการลงเขาไปกำจัดปีศาจปราบมารให้พวกเขาฟัง เจ้าตัวน้อยแต่ละคนฟังไปก็ร้องว้าวร้องโว้วตามไปด้วย พวกเขาเงี่ยหูฟัง ตาเบิกกว้าง กำมือเป็นหมัด แต่ละคนลุ้นตัวเกร็งไม่ต่างกัน ทำไมอาจารย์อาน้อยถึงเล่าแค่ความร้ายกาจ และชั้นเชิงที่ยอดเยี่ยมของภูตผีปีศาจเหล่านั้น ไม่ยอมเล่าถึงกระบี่ไม้ท้อที่บินสวบๆๆ ไปมาตัดหัวปีศาจให้คนสาแก่ใจเสียที?

จางซานเฟิงหยุดเล่าเรื่อง เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ กลับมาแล้วหรือขอรับ?”

พวกนักพรตน้อยมีสีหน้าแช่มชื้น หันไปคารวะบรรพจารย์ปู่ท่านนี้ คนหนึ่งในนั้นใจกล้าหน่อยจึงแอบกระตุกชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าของอาจารย์อาน้อย จางซานเฟิงกวาดตามองไปรอบวง เด็กน้อยแต่ละคนพยักหน้าแรงๆ ขยิบตาส่งสัญญาณมาให้เขา

จางซานเฟิงจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ ด้านล่างภูเขาใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว หากฤดูหนาวไม่มีหิมะตกลงมาคงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร”

ฮว่อหลงเจินหลงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายพวกเขา ยื่นมือมาลูบศีรษะเล็กๆ ของนักพรตน้อยคนหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นบรรพจารย์ปู่จะมานะงีบหลับสักตื่น? ขอร้องเทพยดาในฝันให้ประทานหิมะใหญ่ตกลงมา?”

พวกนักพรตน้อยที่ยังมีจิตใจเป็นเด็กพยักหน้ารับเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกอย่างพร้อมเพรียง

พอบรรพจารย์ปู่งีบหลับ บนภูเขาถึงจะมีหิมะตก

นี่คือกฎเก่าแก่ที่รุ่นอาจารย์และพวกศิษย์พี่ที่อายุมากยิ่งกว่าของยอดเขาพาตี้บอกต่อกันมาปากต่อปาก

ฮว่อหลงเจินหลงหันไปยิ้มให้จางซานเฟิง “หลังจากที่ศิษย์พี่หยวนกลับภูเขามาแล้วจะลงเขาไปทำตามคำสัญญาเป็นเพื่อนเจ้า”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึง “เรื่องนี้ข้าขอร้องศิษย์พี่ป๋ายอวิ๋นนี่นา ศิษย์พี่ป๋ายอวิ๋นเองก็รับปากแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศิษย์พี่หยวนเลย”

ฮว่อหลงเจินหลงด่าขำๆ “เจ้าตะพาบน้อยนั่น แม้แต่อาจารย์ตัวเองก็ยังหลอกได้ลงคอ”

นักพรตน้อยแต่ละคนพากันอ้าปากกว้าง

บรรพจารย์ปู่ก็ด่าคนเป็นด้วยหรือ?

ฮว่อหลงเจินหลงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาจึงเดินจากไป ไปหาที่งีบหลับ

จางซานเฟิงจึงเริ่มช่วยเก็บกวาดงานที่อาจารย์ทิ้งไว้ ด้วยการหันไปพูดกับพวกเด็กน้อยว่า “อย่าได้ด่าคนอื่นส่งเดชอย่างบรรพจารย์ปู่ของพวกเจ้า”

นักพรตน้อยคนหนึ่งยกสองมือกอดอก พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “บรรพจารย์ปู่มีลำดับอาวุโสสูงที่สุดบนภูเขา ด่าคนจะเป็นไรไป”

จางซานเฟิงบิดหูเจ้าตัวน้อยแล้วยกขึ้นเบาๆ นักพรตน้อยร้องโอ้ย รีบเขย่งปลายเท้า ร้องอ้อนวอน “อาจารย์อาอย่าได้ตีคนส่งเดช ข้าผิดไปแล้ว”

พอจางซานเฟิงยิ้มแล้วปล่อยมือ นักพรตน้อยถึงได้พูดอย่างโมโหว่า “อาจารย์ข้าเคยสอนว่า หากไม่เคารพผู้อาวุโสก็จะต้องถูกตีจนก้นลาย อาจารย์อาท่านระวังตัวไว้เถอะ”