เหนือสายหมอกสีเทา ดาวแดงตัวแทนเดอะสตาร์กำลังยุบพองอย่างต่อเนื่อง คลื่นกระเพื่อมคล้ายสายน้ำแผ่ออกไปซ้อนทับกับดาวแดงอีกสามดวง รวมกันเป็นกระแสน้ำที่ไหลผ่านพระราชวังโบราณในลักษณะขึ้นลง
หลังจากอธิบายสถานการณ์ของไคลน์ เลียวนาร์ดจบคำวิงวอนและรอการตอบสนองจากมิสเตอร์ฟูล
ทว่ามันกลับไม่ได้รับวิวรณ์ใดแม้จะผ่านมาแล้วสิบห้านาที
“ปรกติมิสเตอร์ฟูลจะตอบสนองเร็ว…” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะพึมพำ
ผ่านไปสองสามวินาที พาลีสแนะนำด้วยเสียงที่ค่อนข้างชรา
“นึกทบทวนคำพูดของเดอะฟูลในระยะหลัง”
เลียวนาร์ดไตร่ตรองอย่างรอบคอบและบรรจงกล่าว
“ในช่วงกลางสัปดาห์ พระองค์เตือนมิให้พวกเราเข้าใกล้ป่าบนภูเขาในเขตชานกรุงเบ็คลันด์ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ…อา…นอกจากนั้นยังบอกใบ้ว่าสัปดาห์หน้าอาจไม่มีการชุมนุม…”
“อย่างที่คิด” พาลีสโซโรอาสเตอร์ถอนหายใจ “เดอะฟูลเดาได้ว่าอามุนด์จะลงมือ…ตอนนี้พวกเขาคงกำลังต่อสู้ในมิติหรือดินแดนที่แตกต่างจากเรา…ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาปราสาทต้นกำเนิด อีกฝ่ายต้องการยึดครองเป็นเจ้าของใหม่…อดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าถูกลากเข้าไปพัวพันอย่างไม่ต้องสงสัย”
“มิสเตอร์ฟูลเดาได้? เป็นกับดักที่วางล่ออามุนด์?” เลียวนาร์ดหรี่ตาถาม
พาลีสใช้เวลาขบคิดสักพัก ความเร็วในการพูดช้าลงอย่างมาก
“อาจจะใช่…แต่ก็อาจเป็นเพราะอามุนด์มองเห็นกับดักและฉวยโอกาสชิงความได้เปรียบ…อย่าประเมินผู้เย้ยเทพ หนึ่งในราชาเทวทูตที่ทรงพลังที่สุดต่ำเกินไป”
จากความเข้าใจของเลียวนาร์ด หากมิสเตอร์ฟูลไม่ใช่เจ้าของดั้งเดิมของปราสาทต้นกำเนิดผู้กำลังฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมา ก็คงเป็นเทพนิรนามสักตนจากอดีตกาล หรือไม่ก็เป็นร่างจุติของปราสาทต้นกำเนิดเสียเอง ในปัจจุบัน เดอะฟูลอาจยังควบคุมอำนาจเดิมได้ไม่เต็มที่ แต่ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด แต่มิสเตอร์ฟูลในปัจจุบันก็ยังมิได้ครอบครองพลังระดับเทพแท้จริง อย่างมากก็ทัดเทียมราชาเทวทูต
ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว เป็นเรื่องธรรมดาที่มิสเตอร์ฟูลจะต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้เย้ยเทพเป็นเวลานานโดยไม่รู้ผลแพ้ชนะ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเทพแท้จริง และน่าจะทรงพลังกว่าปราชญ์เร้นลับที่ถูกขนานนามให้เป็นเทพมารเสียอีก แม้แต่เทพแท้จริงก็ยังต้องหวาดระแวงอามุนด์
“…” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะเครียด มันถามเสียงต่ำอย่างร้อนรน “ตาแก่ คุณมีวิธีส่งความช่วยเหลือไปไหม? อามุนด์เป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณไม่ใช่หรือ”
ความช่วยเหลืออาจไม่มากมายนัก แต่ก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยให้ไคลน์รอดพ้นจากวังวนความวุ่นวาย
ได้ยินเช่นนั้น พาลีสหัวเราะแห้งเชิงจิกกัดตัวเอง
“เจ้าคาดหวังกับข้ามากไปไหม? จริงอยู่ที่หากอามุนด์ได้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิด ตัวข้าก็คงไม่รอดพ้นเงื้อมมือ อาจมีชีวิตไม่พ้นหน้าหนาวนี้ด้วยซ้ำ และในทำนองเดียวกัน ถ้าเดอะฟูลยังคงเป็นผู้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิด อนาคตของข้าก็ค่อนข้างสดใส…แต่สำหรับตาแก่ที่เพิ่งฟื้นฟูพลังกลับมาอยู่ในลำดับสอง ข้าจะเอาปัญญาใดไปแทรกแซงการต่อสู้ระดับนั้น? หรือต่อให้ข้าใช้ยันต์วันวานอีกครั้ง แต่ลำพังระยะเวลาเพียงสองสามวินาทีก็ไม่มากพอที่จะให้ทำอะไรได้…จริงอยู่ หากข้าใช้ยันต์ในจังหวะเหมาะสมก็อาจช่วยพลิกสถานการณ์มาทางฝั่งเดอะฟูล แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังสู้กันที่ไหน และต้องลงมือในจังหวะใด?”
หลังจากฟังคำตอบของพาลีส เลียวนาร์ดได้เพียงปิดปากเงียบ นำสองมือขึ้นมากุมขมับทั้งสองข้างพลางพึมพำกับตัวเอง
“พวกเราทำได้แค่รอคอยผลลัพธ์จริงหรือ…”
พาลีสถอนหายใจ
“อดทน…ที่พวกเราต้องทำคืออดทน…เดอะฟูลกับรัตติกาล รวมถึงราชาเทวทูตบางตนอาจร่วมมือกันโดยนัย เพราะพวกท่านคงไม่ต้องการให้อามุนด์ได้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิด…จงรอคอยอย่างอดทน บางทีโอกาสที่เหมาะสมอาจมาถึงในไม่ช้า”
เลียวนาร์ดเหยียดหลังตรง สูดลมหายใจยาวและพ่นออกมา
“เข้าใจแล้ว”
…
ณ น่านน้ำใกล้เกาะโซเนีย โทสะสีครามซึ่งได้รับคำสั่งจากโบสถ์วายุสลาตันให้โจมตีท่าเรือและเรือสินค้าของฟุซัค กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งในเส้นทางเดินเรือปลอดภัย
อัลเจอร์วิลสันยืนอยู่หลังหน้าต่างห้องกัปตัน อาศัยดวงตาที่มองได้ไกลผิดธรรมชาติ สำรวจชายฝั่งของเกาะซึ่งเป็นแนวยาว
ในสายตาของผู้ขับขานสมุทร ‘หน้าใหม่’ อย่างอัลเจอร์ บรรดากัปตันของเรือหลายลำที่รับภารกิจในทำนองเดียวกับตน ล้วนเป็นผู้วิเศษแถวหน้าในหมู่ลำดับกลาง การร่วมมือของทุกคนจะช่วยให้ฟุซัคเผชิญความยากลำบากในด้านการเดินเรือและเสบียง
และนั่นแปลว่ากองทัพฟุซัคจะทำการตอบโต้ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม มีโอกาสสูงที่กองเรือจะนำโดยครึ่งเทพลำดับสี่ขณะเดียวกันก็มีโอกาสเป็นลำดับสาม นักบวชสงครามหรืออัศวินสีเงิน
สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายมากในสายตาอัลเจอร์ มันไม่อยากนำพาตัวเองเข้าไปเผชิญปัญหาร้ายแรงระดับนั้น
ขณะเดียวกันบรรดาลูกเรือ เพื่อนร่วมงาน และพวกพ้องทุกคนก็เอาแต่จับตามองกันและกัน ป้องกันไม่ให้มีใครหนีกลางคัน หากอัลเจอร์ยังถูกสั่งให้เดินบนขอบหน้าผาเช่นนี้ต่อไป คงอีกไม่นานที่มันจะลงมือฆ่าลูกเรือทั้งหมดทิ้งและตั้งตนเป็นโจรสลัด หรือไม่ก็ยอมสละโทสะสีครามและกลับไปถูกสอบสวนที่เกาะปาซู
หลังจากจบภารกิจรอบนี้ กัปตันเรือคงเหลือรอดไม่ถึงหนึ่งในสาม…อัลเจอร์วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นและคิดหาลู่ทางเอาตัวรอด
ต้องมีส่วนร่วมในภารกิจ แต่ไม่ใช่แกนหลัก
อัลเจอร์จะอาสานำคนขึ้นเกาะโซเนียเพื่อใช้ยุทธการ ‘กองโจร’ และขณะที่เรือลำอื่นบุกโจมตีเรือสินค้ากับเรือเสบียงของฟุซัค มันจะซ่อนตัวอยู่ภายในป่าทึบและคอยสร้างความเสียหายประปรายแก่ท่าเรือ ด้วยวิธีนี้ครึ่งเทพของฟุซัคจะมุ่งความสนใจไปทางทะเลมากกว่าคนบนเกาะ
แต่ในสายตาของลูกเรือ มันจะกลายเป็นวีรบุรุษที่อาจหาญเสี่ยงชีวิตเข้าไปในดินแดนศัตรู
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อัลเจอร์เรียกลูกเรือมาพบและอธิบายแผน ปิดท้ายด้วยการเน้นย้ำ
“แผนนี้เสี่ยงมาก…เชื่อฉันเถอะ มันต้องอันตรายมากแน่นอน เพราะพวกเราไม่สามารถโหมบุกหรือล่าถอยได้อย่างอิสระเหมือนกับบนทะเล อาจถูกศัตรูล้อมโจมตีได้ทุกเวลา แต่หากทำสำเร็จการโจมตีนี้จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่พวกฟุซัค ผลลัพธ์จะคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ต้องแลกมา…พวกนายจะอยู่บนเรืออย่างขี้ขลาด หรือตามฉันมาในฐานะวีรบุรุษที่อุทิศตัวให้กับพระองค์?”
ลูกเรือที่กำลังเลือดเดือด ขานรับพร้อมกับอย่างขันแข็ง
“เชือดไอ้พวกฟุซัค!”
“ดี” อัลเจอร์โล่งอก นำกำปั้นขวาทุบอกซ้าย “พายุจงสถิตกับเรา!”
“พายุจงสถิตกับเรา!” เหล่าลูกเรือเปล่งเสียงขานรับพร้อมเพรียง
หลังจากจัดแจงเรียบร้อย อัลเจอร์ประเมินว่าตนควรยืมไม้กางเขนเจิดจรัสโดยเร็วเพื่อสกัดตะกอนพลังผู้ขับขานสมุทรส่วนเกินออก แม้ว่าอันตรายบนเกาะจะไม่ได้ร้ายแรงตามที่มันพูด แต่ก็ต้องมีอันตรายในระดับหนึ่ง จึงอยากทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพพร้อมรบที่สุด
และพิจารณาจากการบอกใบ้ของมิสเตอร์ฟูล อัลเจอร์เชื่อว่าหากไม่ใช่วันนี้ก็คงเป็นเช้าวันพรุ่งนี้ มิสเตอร์ฟูลจะส่งวิวรณ์มาแจ้งยกเลิกชุมนุม
แต่แน่นอนมันอดไม่ได้ที่จะเกิดความคลางแคลงจากส่วนลึกหัวใจ อัลเจอร์เชื่อว่าทุกครั้งที่มิสเตอร์ฟูลยกเลิกชุมนุมทาโรต์ หมายความว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพระองค์ มันจึงอยากสวดวิงวอนเพื่อทดสอบสถานการณ์ปัจจุบันของอีกฝ่าย
ไม่สิ…ห้ามทดสอบเทพเด็ดขาด…แต่นี่ไม่ใช่การทดสอบ มิสเตอร์ฟูลมิได้ห้ามมิให้เราสวดวิงวอนถึงสักหน่อย… นอกจากนั้น การยืมไม้กางเขนเจิดจรัสของเราก็คำขอร้องที่เข้าใจได้…อัลเจอร์เดินวนเวียนไปมา ลังเลเป็นเวลานาน
ทันใดนั้นมันได้ยินเสียงคลื่นทะเลซัดสาด และจากมุมมองพิเศษของเรือผีสิง อัลเจอร์มองเห็นน้ำทะเลกำลังแยกออกจากกันด้วยฝีมือของสัตว์ทะเลขนาดมหึมา
ปลายักษ์หน้าตาพิสดารอ้าปากกว้างพร้อมกับพ่นลูกบอลโลหะขนาดเล็กขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ
อัลเจอร์พยักหน้าและร้องเพลงขอบคุณ
นี่คือสัตว์ทะเลที่โบสถ์วายุสลาตันฝึกจนเชื่อง ในภารกิจปัจจุบัน มันและเพื่อนของมันจะทำหน้าที่ส่งข่าวระหว่างเรือและเกาะเป้าหมาย
เมื่อได้ยินคำขอบคุณ ปลายักษ์สะบัดร่างกาย ดำลึกลงไปในทะเลพลางส่ายหางขนาดมหึมา ว่ายออกไปไกลจากเรือ
อัลเจอร์เฝ้ามองเงียบงันหลายวินาที ก่อนจะเสกลมเพื่อนำลูกบอลโลหะเข้ามาในห้องกัปตัน
มันคลายเกลียวลูกบอลและดึงกระดาษด้านในออกมา เมื่ออ่านจบด้วยตาอัลเจอร์พลันแข็งทื่อ
จอร์จที่สามถูกลอบสังหารและเสียชีวิต…อัลเจอร์ทวนคำซ้ำในใจ จากนั้นก็นึกถึงคำเตือนของเกอร์มันสแปร์โรว์และคำบอกใบ้ของเดอะฟูล
ในคราวนี้มันไม่ลังเลอีกต่อไป รีบลงกลอนประตูห้องกัปตันและสวดวิงวอนเสียงต่ำ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
…
เสียงสวดมนต์ที่มีท่วงทำนองขับขาน…มิสเตอร์แฮงแมนต้องการยืมไม้กางเขนเจิดจรัสจากเดอะซันน้อย? เลียวนาร์ด…อา…ด้วยเสียงที่ซ้อนทับกันมากมาย ระดับความดังจึงเพิ่มขึ้นจนสภาพแวดล้อมสั่นสะเทือนแผ่วเบา…ไคลน์ยกมือลูบหน้าผาก รู้สึกราวกับถูกสว่างไฟฟ้าเจาะสมองจากทุกทิศทาง
ขณะเดียวกันมันเดินตามอามุนด์จนกระทั่งพบทุ่งกว้างที่ปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทาอมเหลือง บนพื้นเต็มไปด้วยรอยแยก มีบางสิ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในความมืด
เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมที่มีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ ที่นี่ค่อนข้างพิเศษออกไป
อามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลม ยกมือขยับแว่นพลางชี้ไปข้างหน้า
“อีกครึ่งวันก็จะถึงที่หมาย”
“ครึ่งวัน…แต่จากตอนนั้นยังผ่านมาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ…ไหนบอกว่ามีเวลาสามวัน?” รูม่านตาไคลน์ขยายออก
อามุนด์ยิ้ม
“ข้าบอกว่าอีกไม่เกินสามวัน…หนึ่งวันก็ถือว่าไม่เกินสามวัน”
กล่าวจบ ราชาเทวทูตหยุดฝีเท้าและถามด้วยท่าทีสนใจ
“แผนของเจ้าคลาดเคลื่อนใช่ไหม? มันทำให้เจ้าหมดหวังมากขึ้นใช่ไหม?”
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงเหยียดแขนขวาออกไปจับอากาศอันว่างเปล่าด้านข้าง
…………………………