บทที่ 1299 ถามใจ?

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“นี่มัน…ผู้อาวุโส ข้ามิได้ตั้งใจ…” หวังเป่าเล่อรู้สึกผิด คิดดูแล้วอาจเป็นเพราะเมื่อครู่ตนเองอารมณ์เบิกบานไปหน่อย ดังนั้นจึงก้าวเท้าเร็วเกินไปจนทำให้สะพานพัง               ในเวลาเดียวกันใจก็หดหู่ เขาไม่ทันคาดคิดเลยจริงๆ ว่าสะพานแห่งที่สองจะไม่แข็งแกร่งขนาดนี้               แท้จริงแล้วมิใช่สะพานแห่งที่สองไม่แข็งแกร่ง หากสืบสาวราวเรื่องแล้ว เหตุก็เพราะพลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อยามนี้เกินกว่าระดับสี่ทั่วไปตั้งนานแล้วต่างหาก ดังนั้น…การขับไล่ของสะพานแห่งที่สองย่อมทำให้ร่างกายและดวงจิตเทพของเขาถูกกำราบ และก่อเกิดกระแสต่อต้าน               ราวกับว่าสะพานนั้นต้องทำศึกกับหวังเป่าเล่อรอบหนึ่ง บัดนี้…มันจึงพังทลาย               “เจ้าเดินต่อไปเถอะ!” หวังโหม่วถอนหายใจ เขาโบกมือ พริบตานั้นสะพานแห่งที่สองซึ่งพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อครู่ก็ราวกับย้อนเวลา พวกมันพัดม้วนมาจากสี่ทิศแปดด้านด้วยความเร็ว จากนั้นจึงประสานกันแล้วย้อนคืนกลับเป็นเช่นเดิมในพริบตา!               เมื่อมองจากที่ไกลๆ  สะพานแห่งที่สองบนท้องฟ้านี้ก็ยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหมือนเก่า               กระทั่งไม่ว่าจะมองด้วยตาเปล่าเช่นไร ก็เหมือนกับก่อนหน้าที่ยังไม่พังทลายทุกประการ ไม่ได้มีความแตกต่าง ทว่าหากมองและสัมผัสอย่างละเอียดล่ะก็ ยังคงจับสังเกตได้อยู่ว่าสะพานที่สองซึ่งผ่านการฟื้นคืนมานี้ พลังปราณของมันอ่อนด้อยลงอยู่บ้าง               ท่ามกลางการสัมผัสของหวังเป่าเล่อ สะพานแห่งที่สองซึ่งถูกบูรณะซ้ำอีกครั้งก็ลดแรงต้านทานต่อตัวเขาไปไม่น้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้า ราวกับมันยินยอมแล้วอย่างไรอย่างนั้น ยอมลดพลังของตนลงและยอมให้หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนตัวมัน               อีกทั้งหวังเป่าเล่อในรอบนี้ก็ยังอ่อนโยนลงไม่น้อย เขาค่อยๆ ยกขาขึ้นจากนั้นก็ก้าวเดินอย่างระมัดระวังไปยังสุดปลายของสะพานแห่งที่สอง สายตาระวังไม่ให้สะพานต้องพังลงอีกครั้ง หวังเป่าเล่อลอบถอนหายใจ เขามองไปยังสะพานแห่งที่สามห่างซึ่งอยู่ไกลและใหญ่ยิ่งกว่า คิดจะก้าวจากไปจากสะพานแห่งที่สอง               แต่ในตอนนั้นเอง…               ร่างกายของหวังเป่าเล่อพลันชะงักรุนแรง มีกระแสความคิดหนึ่งภายใต้ส่วนลึกในใจของเขางอกเงยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง               ความคิดนี้ มาจากสิ่งที่เขามองเห็น สะพานสู่สวรรค์อันห่างไกลที่ใหญ่สะท้านใจคนนั้น ทุกสะพาน ไม่ว่าจะเป็นสะพานที่สามหรือสี่ แปดหรือเก้า กระทั่งสะพานสุดท้าย ราบกับว่าสะพานเหล่านี้พริบตานั้นพลันเปลี่ยนรูปลักษณ์ ห่างไกลออกไปมากกว่าเก่า ทำให้หวังเป่าเล่อต้องเพ่งมองมัน และตัวเขานั้นตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบระยะห่างระหว่างสะพานแล้ว ราวกับมันถูกขยายจนถึงขีดสุด               ราวกับว่าสะพานเหล่านี้ ได้กลายเป็นยอดเขาที่ไม่อาจป่ายปีน ส่วนระยะห่างระหว่างตัวเขาและสะพานก็ไกลแสนไกล จนความคิดที่อยากจะล้มเลิกก่อตัวขึ้นในใจทันที               เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นก็เหมือนถูกเล็งขยายกลายเป็นแรงขับดันอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั้งกาย คล้ายกับตนนั้นไม่อยากจะทำสิ่งใดอีกแล้วในโลก คล้ายแสวงหาข้ออ้างให้ตัวเองมากมายโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อในยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น               มีเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนพลันระเบิดขึ้นในสมองของเขา เสียงเหล่านี้บอกกับเขาว่า อย่าเดินต่อไปอีกเลย ให้เขาไปจากที่นี่ ให้เขาละทิ้งการข้ามสะพานสู่สวรรค์เอาไว้ ณ ที่แห่งนี้               ในตอนนี้ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงปลายสุดของสะพานแห่งที่สอง เห็นได้ชัดว่าแค่ก้าวออกไปก็จะข้ามผ่านแล้ว แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนราวกับถูกขุมพลังไร้รูปชั้นหนึ่งขวางกั้น บดบังเส้นทางเบื้องหน้าทำให้เขายากจะก้าวเดินได้               ใต้สะพานแห่งที่หนึ่ง หวังโหม่วกำลังเพ่งมอง ส่วนหวังอีอีในยามนี้สีหน้าเป็นกังวล กระทั่งเหล่าเงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนเซียนก็มองเห็นฉากนี้เช่นกัน               “ถามใจ…” หวังโหม่วเอ่ยปาก เขาเข้าใจกระจ่าง ไม่ว่าจะมองในแง่ใด นี่สิถึงจะเป็นการทดสอบจากสะพานสู่สวรรค์ และนี่คือสิ่งแรกที่เขาเตือนให้หวังเป่าเล่อเติมจิตเต๋าของตนให้สมบูรณ์ในครั้งแรก               เพราะเขาทราบดีว่า หากข้ามด่านนี้ไม่ได้ เช่นนั้น…ต่อให้พลังฝึกปรือจะสูงเพียงใด พลังต่อสู้จะเข้มแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจข้ามผ่านสะพาน               เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เนิ่นนานให้หลัง หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงสุดสะพานที่สองก็ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น มองไปยังสะพานที่สามจนกระทั่งถึงสะพานสุดท้ายที่อยู่ห่างออกไปไกล จากนั้นก็ก้มหน้ามองเท้าของตน แล้วยกยิ้ม               “ในใจมีความสำราญ แล้วต้องถามมากมายไปทำไมเล่า?” กล่าวแล้วก็ยกเท้าขวาขึ้น ออกเดินจากสะพานแห่งที่สอง ข้ามผ่านมัน               มุ่งหน้าต่อไปยังสะพานแห่งที่สาม ทีละก้าว ทีละก้าว               เมื่อก้าวแรกเริ่มต้น รอบด้านของเขาก็ก่อเกิดระลอกคลื่น ก้าวที่สองเริ่มต้น ระลอกคลื่นนี้ก็ราวกับรอยวงน้ำ มันขยายต่อไปจนกระทั่งก้าวที่สามที่สี่ จากนั้นสะพานแห่งที่สามอันห่างไกลก็พร่าเลือน               ราวกับว่าโลกที่เขาอยู่ ในพริบตาก็กลายเป็นโลกมายา แต่ฝีเท้าของหวังเป่าเล่อกลับไม่ชะงัก เขาเพียงแค่ปิดตาลง จากนั้นจึงก้าวเดินก้าวที่ห้า ก้าวที่หก ก้าวที่เจ็ด…               รอบด้านพลันเลือนราง กระทั่งเมื่อก้าวที่แปดแล้ว ทุกสิ่งก็หายไปกลายเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด กระทั่งไม่มีแม้แต่เสียง ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่ง หวังเป่าเล่อก้าวเดินก้าวที่เก้าท่ามกลางความเงียบสงัด               เมื่อเท้าเหยียบย่างลงไปพริบตาแรก ก็ราวกับเขาได้ข้ามเส้นกั้นบางอย่าง เดินผ่านธารเวลาระยะหนึ่ง จากโลกหนึ่งเดินเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่หยุดนิ่งพลันเคลื่อนไหว พริบตานั้นเสียงจำนวนมหาศาลก็ถาโถมเข้ามาจากทั้งสี่ทิศ               หวังเป่าเล่อหยุดฝีเท้า เขาได้ยินเสียงอึกทึก ได้ยินเสียงหวีดหวิว ได้ยินเสียงของเม็ดฝน ได้ยินเสียงวุ่นวายรอบด้าน แล้วยังเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนที่แย่งชิงกันก็ปรากฏขึ้น ในสมองของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏฉากมากมาย               นอกจากเสียงเหล่านี้แล้ว ยังมีลำแสงขนาดยักษ์รวมตัวกันอยู่บริเวณเปลือกตาของเขา มันขยายแสงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริเวณนอกเปลือกตาปรากฏภาพลำแสงที่ดึงดูดสายตาภาพหนึ่ง               ในเวลาเดียวกัน กลิ่นหอมเป็นระลอกๆ ก็ลอยเข้าสู่จมูกของเขา เขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและในเวลาเดียวกันก็ได้กลิ่นหอมของน้ำเย็นหล่อวิญญาณ               ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคุ้นชินอย่างมาก จนกระทั่งหลงเหลือความทรงจำ ต่อให้เขาไม่ได้ลืมตาแต่เขาก็สัมผัสได้ นี่ก็คือ…ความทรงจำของตัวเขาเอง เป็นภาพที่อยู่บนเรือบินซึ่งมุ่งหน้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์               เช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อในยามนี้ เข้าใจเหตุผลต้นสายของสะพานแห่งที่สามแล้ว สะพานแห่งที่สามทดสอบจิตเต๋าของเขา ทางทฤษฎีนั้นก็คือนำความทรงจำของตัวเขาออกมาสร้างเป็นจิตมาร หากว่าจิตเต๋าเข้มแข็ง เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ต่อให้มีภาพฉากปรากฏขึ้นมาในสมอง ตนก็จะไม่สะทกสะท้านเหมือนเก่า ย่อมสามารถเดินบนสะพานแห่งที่สามได้               ทว่าเมื่อลืมตา หรือจิตใจนั้นเกิดระลอกคลื่น ก็หมายความว่าโอกาสที่จะได้เดินบนสะพานแห่งที่สามนี้ ลดน้อยลงไปด้วย               “นี่มันปีไหนแล้ว เรื่องจิตมารพรรค์นี้ ตกยุคแล้วนา…” หวังเป่าเล่อเห็นภาพความอบอุ่นพวกนี้แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะพึมพำ               “อีกอย่าง การทดสอบเช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกตนที่ยังไม่เข้าระดับสี่อาจจะมีประโยชน์ แต่กับข้า…ไร้ประโยชน์” หวังเป่าเล่อผิดหวังเล็กน้อย เขาส่ายหน้ากำลังจะละทิ้งความสนใจทุกอย่างแล้วเดินต่อไป แต่ในยามที่เขาก้าวเท้านั้นเอง ส่วนลึกในใจก็เกิดความคิดหนึ่ง               “ในเมื่อสะพานนี้สามารถทำให้ความทรงจำกลับมาได้ หากว่าใช้กับสมุดชะตาแล้วก็เรื่องเทพทั้งหลายที่ข้าได้ประสบมาเมื่อปีนั้น เช่นนั้น…จะสามารถยืมใช้ได้หรือไม่นะ?” คิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ใจเต้น หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาของท่านพ่อหวังและหวังอีอี อีกทั้งสรรพชีวิตบนดินแดนเซียนซึ่งกำลังมึนงงนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็…ถอยหลังจากมา               เขาถอยเก้าฝีเท้าในครั้งเดียว หลังจากนั้น…ก็เดินไปข้างหน้าอีกเก้าครั้ง               ราวกับว่ายังไม่พอใจ หวังเป่าเล่อทำซ้ำอีกรอบ เขาเดินกลับไปกลับมาเช่นนี้ ภาพที่สัมผัสได้เปลี่ยนแปลงไปตลอด กลายเป็นภาพในชาติก่อนๆ โลกแห่งศิลาปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เขายังสามารถมองเห็นได้ว่าในกาลเวลาอันห่างไกลก่อนหน้านี้ การต่อสู้ระหว่างหลัวและกู่ มองเห็นฉากที่ไม้กระดานสีดำร่วงหล่น กระทั่งเขายังมองเห็นฉากในจักรวาลต้นกำเนิดที่แท้จริง ยามไม้กระดานร่วงหล่นและปักลงไปในฉากนั้น               แต่หวังเป่าเล่อยังไม่พอใจ               เขาต้องการดูให้มากกว่านี้ ต้องการมองความทรงจำที่ลึกไกลกว่านั้นของตนเอง!               จนกระทั่งสีหน้าของหวังอีอีแปลกประหลาด ส่วนหวังโหม่วเบื่อหน่าย เหล่าผู้เฝ้าชมที่อยู่บนดินแดนเซียนนั้นล้วนแต่เหม่อลอย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็ชะงัก มุมปากยามนี้เผยให้เห็นรอยยิ้ม               “สำเร็จแล้ว”               ระหว่างที่กล่าวนั้น เขาพลันลืมตาขึ้นมา มองภาพเบื้องหน้าของตน นั่นมิใช่ภาพเรือบินของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แต่กลับเป็น…จักรวาลอันไพศาล!               อีกทั้งที่นี่ ก็ไม่เหมือนกับใจกลางของจักรวาล ราวกับว่าเป็นสุดเขตของจักรวาลเสียมากกว่า เพราะว่า…ไกลออกไปนั้นมีหลุมขนาดยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง!               หากนำจักรวาลนี้มาเปรียบเทียบกับลูกบอลแล้ว ดินแดนเซียนรวมถึงท้องฟ้าที่อยู่ของมหาเทพและเหล่าดารานับไม่ถ้วนก็คือภายในลูกบอลลูกหนึ่ง เช่นนั้นตำแหน่งที่หลุมดำตั้งอยู่นี้ ย่อมต้องเป็น…นอกจักรวาล!               ……………………………………