บทที่ 1477 แยกตัวฝึกฝน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

เมื่อศึกในเมืองเทียนหลัวสิ้นสุดลง

ทวีปเทียนหลัวทั้งทวีปก็สั่นสะเทือน ทุกขั้วอำนาจรู้ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่ก็คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปนี้ เมื่อมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมู่เฉิน ตำหนักมู่ก็มีคุณสมบัติที่จะปกครองทวีปได้แล้ว

คราวนี้ไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์ตำหนักมู่ได้อีกแล้ว

ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในทวีปเทียนหลัวจึงรีบไปที่ตำหนักมู่หลังจากการต่อสู้จบลง เพื่อแสดงความเต็มใจที่จะสวามิภักดิ์และแย่งชิงผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด

ทว่าพื้นที่ของทวีปกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ ในหลายๆ พื้นที่ยังต้องให้ขั้วอำนาจเดิมรักษาเสถียรภาพไว้

 

กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ วังสวรรค์บรรพกาล

มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาพลางมองไปที่ภูเขาที่ห่างไกลซึ่งกำลังแผ่ซ่านความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง

ขณะนี้มั่นถัวหลัวปลีกตัวเข้าสมาธิบนภูเขาแห่งนั้น หลังจากได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณเพื่อพยายามที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนให้จงได้

ฟิ้ว!

เสียงลมฉีกอากาศดังก้อง ร่างของจิ่วโยวก็ปรากฏขึ้นข้างๆ มู่เฉิน นางสวมเสื้อผ้าที่ราวกับเกล็ดงูสีดำซึ่งเผยส่วนโค้งที่น่าประทับใจ

“ที่สำนักเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินหันมาและยิ้มให้จิ่วโยว

จิ่วโยวเหลือบสายตามองอย่างไม่พอใจ ช่วงนี้มั่นถัวหลัวเข้าสู่สมาธิ ส่วนมู่เฉินก็มาซ่อนตัวอยู่ในวังโบราณ ทิ้งทุกอย่างให้นางจัดการ

“ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในทวีปเทียนหลัวต่างมุ่งหน้ามาสวามิภักดิ์ เรื่องรายละเอียดในการจัดการ รอให้มั่นถัวหลัวออกมาก่อนค่อยตัดสินใจ” จิ่วโยวตอบ

มู่เฉินไม่คัดค้านเรื่องนี้เนื่องจากนี่เป็นเผือกร้อน หากเขาให้อิสระกับคนเหล่านี้มากเกินไป อาจทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของตำหนักมู่อ่อนแอลง ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะให้มั่นถัวหลัวเป็นคนจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้

“จำนวนจอมยุทธ์ที่ขอเข้าร่วมตำหนักมู่ก็เพิ่มขึ้นและคุณภาพก็ค่อนข้างดี แค่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็มีถึงหกคนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ”

จอมยุทธ์ระดับนี้มักจะเป็นเสาหลักในขั้วอำนาจต่างๆ เนื่องจากพลังพวกเขาจะเกื้อหนุนสำนักหากพวกเขาบรรลุระดับเทียนยจื้อจุนได้

“ตรวจสอบภูมิหลังให้ดี” มู่เฉินบอก แม้ว่าพวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังต้องพิจารณาภูมิหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากมักมีคนที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อทรัพยากรในการฝึกฝน

จิ่วโยวพยักหน้า

“ห้าเดือนต่อจากนี้ข้าจะเข้าสู่การฝึกฝน ดังนั้นต้องพึ่งพาเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่” มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ เขาพาตัวองค์หญิงมาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ สุดท้ายนางก็กลายเป็นเบ๊ของเขา

จิ่วโยวบึนริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ แต่นางรู้ดีว่านอกจากมู่เฉินแล้วตอนนี้ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถควบคุมตำหนักมู่ได้ นอกจากนี้นางยังรู้ว่าเป้าหมายของมู่เฉินในการฝึกฝนครั้งนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการไปงานชุมนุมนิรันดร์

นี่เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ ตอนนี้เขาได้พัฒนาร่างเทพสุริยะเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรัดร์ เขาสามารถเติมเต็มความฝันได้ตราบใดที่คว้าขั้นตอนสุดท้ายได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มา

ดังนั้นมู่เฉินต้องใช้เวลาทั้งหมดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุด เขารู้ดีว่าทุกคนที่สามารถฝึกฝนร่างเทหสุริยะนิรันดร์ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังในมหาพันภพทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่งานง่ายที่เขาจะเอาชนะพวกเขาและได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์

“ไม่ต้องกังวล เจ้าเข้าสมาธิให้เต็มที่เลย ข้าจะจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่เอง” จิ่วโยวพยักหน้า มู่เฉินเป็นเสาหลักของตำหนักมู่และสำนักจะสามารถยืนหยัดมั่นคงในมหาพันภพได้หากเขาทรงพลังยิ่งๆ ขึ้นไป

มู่เฉินพยักหน้าส่งกำไลเฉียนคุนให้กับจิ่วโยววงหนึ่ง “ในนี้มีของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยด น่าจะเพียงพอสำหรับการพัฒนาในช่วงนี้”

ของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดเป็นสิ่งที่เขาไถมาจากประมุขทั้งห้า ส่วนอีกหมื่นล้านหยดมู่เฉินคิดจะใช้สำหรับการเพาะบ่มครั้งนี้ เขาตั้งใจจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายภายในห้าเดือน ดังนั้นเขาจึงต้องการของเหลวนี้จำนวนมาก มิฉะนั้นจะเป็นไปไม่ได้ต่อให้เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศก็ตาม

จิ่วโยวรับมาไม่อิดออด เนื่องจากตำหนักมู่ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วต้องการของเหลวจื้อจุนมากจริงๆ

หลังจากสนทนากันสั้นๆ จิ่วโยวก็ออกไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องมีคนดูแลในตอนนี้

จ้องมองแผ่นหลังของจิ่วโยวที่หายลับ สายตาของมู่เฉินก็เลื่อนไปทางทะเลสาบสวรรค์ ซึ่งมีภาพเงาอ่อนเยาว์จำนวนมากกำลังบ่มเพาะอยู่บนแท่นฝึกรอบๆ

ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งลงมาห่อหุ้มร่างเงาหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบอุทานออกมา ภายใต้สายตาอิจฉาของทุกคน ภาพเงาอ่อนเยาว์นั้นก็หายไป

ชัดว่าผู้ที่มีพรสวรรค์คนนี้ถูกหอคัมภีร์เทพซ่อนเลือกไป ซึ่งเป็นโอกาสที่หายากสำหรับสมาชิกทุกคนในตำหนักมู่

เมื่อมองไปที่ฉากนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ตำหนักมู่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นเสาหลักต่อไป

เขาถอนหายใจตำหนักมู่มาไกลขนาดนี้โดยที่เขาไม่รู้…

เด็กหนุ่มที่ก้าวออกมาจากสำนักศึกษาเป่ยชางได้กลายเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวในตอนนี้แล้ว

มู่เฉินก้มศีรษะหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะสงบใจกลายร่างเป็นริ้วแสงร่อนลงบนภูเขาที่อยู่เบื้องล่าง มีถ้ำที่ขุดขึ้นเพื่อการฝึกฝน

มู่เฉินนั่งลงบนแท่นหินสีฟ้าอมเขียว ปลายนิ้วแตะไปที่กำไลเฉียนคุนสองวง กระแสน้ำของเหลวจื้อจุนไหลเวียนออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมังกรมหึมาขดอยู่ในถ้ำ

นอกจากนี้ยังมีเส้นสายบนผนัง ซึ่งก่อเป็นค่ายกลคลุมเครือ

นี่คือค่ายกลบรรจบจิตที่มีวิธีในการบีบอัดคลื่นหลิง ดังนั้นเมื่อของเหลวจื้อจุนไหลผ่านก็ถูกกลั่นออกมาผ่านทางค่ายกลและควบแน่นมากขึ้น เหมือนจะเห็นผลึกอยู่ภายในด้วย…

ของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดเป็นจำนวนมหาศาล หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา พวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายปีในการดูดซับ ดังนั้นมู่เฉินจึงเตรียมการเพื่อเร่งอัตราการดูดกลืนของเขา

ทว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอ…

มู่เฉินวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงหลิงก็ลุกโชนขึ้นบนศีรษะเขา เจดีย์ผลึกแก้วใสปรากฏขึ้นลอยอยู่เหนือหัวของมู่เฉิน

เพื่อดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดในห้าเดือน เจดีย์พุทธะของเขาจะมีบทบาทสำคัญเนื่องจากสามารถช่วยในกระบวนการชำระได้

หลังจากเตรียมการเรียบร้อย มู่เฉินก็ค่อยๆ หลับตาลงและแม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็ช้าลงเงียบๆ เขาเหมือนกับไต้ซือเฒ่าทำสมาธิ

ฟู่ ฟู่

มวลลมกู่ร้องก้องถ้ำ ขณะที่ของเหลวจื้อจุนเทลงในเจดีย์พุทธะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เจดีย์เปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นหลุมไร้ก้นบึ้งที่กลืนกินไม่รู้จบ

ในเวลาเดียวกันรัศมีก็เปล่งประกายออกมาจากฐานเจดีย์ ขณะที่เกล็ดผลึกโปรยปรายใส่มู่เฉิน แม้ว่าเกล็ดผลึกเหล่านั้นจะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นคลื่นหลิงที่ได้รับการกลั่นอย่างยอดเยี่ยม…

เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมาก็ละลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับผิวหนังของมู่เฉิน

เลือดของมู่เฉินเดือดพล่านในกระบวนการนี้ ทั่วสรรพางค์กายกลืนกินเกล็ดผลึก…

พายุโหมกระหน่ำภายในถ้ำ เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมามากขึ้นผิวของมู่เฉินก็เปล่งรัศมีออกมา ทำให้ดูราวกับอัญมณี

 

ในช่วงเวลาหลายเดือนต่อมา

มู่เฉินก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน ปิดกั้นข่าวสารภายนอกทั้งหมด

ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิเงียบ มหาพันภพก็เริ่มร้อนระอุกับข่าวชุมนุมนิรันดร์ที่จะจัดขึ้นในไม่ช้า

นี่แตกต่างจากงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู ชุมนุมนิรันดร์เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาในมหาพันภพเนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครอง

ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลซึ่งอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ทุกคนรู้ดีว่าร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าไม่ได้แยกตามระดับ แต่มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นแท้จริงแล้วจึงควรจัดอันดับร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามร่างมหาเทพนิรันดร์มีชื่อเสียงมากกว่า เนื่องจากได้สร้างจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ เทพจักรพรรดินิรันดร์ที่เป็นผู้ฝึกฝนสุดยอดร่างเทห์สวรรค์นี้

ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัยกับพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์

ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่ขั้นเซิ่งก็น้ำลายไหลกับสุดยอดร่างเช่นนี้ ทว่าตามกฎของชุมนุมนิรันดร์ระบุไว้ว่ามีเพียงผู้ที่สร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติและสามารถเข้าร่วมได้ครั้งเดียวในชีวิต

แม้ว่าข้อกำหนดจะเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางชุมนุมนิรันดร์เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ เนื่องจากทุกคนต้องการรู้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกเป็นของใคร…

ดังนั้นเมื่องานชุมนุมใกล้เข้ามา ความสนใจของจอมยุทธ์ทั่วมหาพันภพก็มุ่งเน้นไปที่เผ่าหมัวเฮอ

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป

พริบตาสี่เดือนก็ผ่านไปแล้ว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวันข้างหน้า…

ทว่าเวลานี้เองกำไลเฉียนคุนทั้งสองในถ้ำก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้พลัง ชัดว่าของเหลวจื้อจุนหมดลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

เคร้ง

เมื่อได้ยินเสียงกำไลตกกระทบบนพื้นดังก้อง มู่เฉินที่สัมผัสได้ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น