บทที่ 1781 จางซินหู

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ปีศาจโลหิตเองก็นับว่าได้รู้จักอีกด้านหนึ่งของเหมียวอี้เป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ในปีนั้นเพื่อที่จะสังหารข้า เขาก็เรียกได้ว่าทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ นึกไม่ถึงว่าเขายังมีอีกด้านที่อ่อนโยนขนาดนี้”

พอพูดถึงเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าก็หลุดขำ “ตอนแรกเขาก็ทำกับข้าอย่างนั้นเหมือนกัน มีเรื่องมากมายที่ถ้าลองยืนคิดให้มุมของเขา เขาเองก็ถูกกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน สามารถไต่เต้าขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาคภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ จะขาดความโหดในส่วนนั้นไปได้ยังไง!”

ปีศาจโลหิตกล่าวอย่างแปลกใจ “พูดถึงหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลนั่น มันเรื่องอะไรกันแน่? ในปีนั้นตอนที่ข้าเจอเขาครั้งสุดท้าย เขายังบริหารร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์อยู่เลย ตอนหลังก็เหมือนจะเข้าเป็นทหารของตำหนักสวรรค์ ส่วนเรื่องในตอนหลังข้าก็ไม่รู้ชัดแล้ว”

“ร้านขายของชำซื่อตรง?” อวี้หลัวช่างงไปชั่วขณะ จากนั้นถึงได้เข้าใจว่าปีศาจโลหิตไม่ได้ข่าวจากโลกภายนอกมานานแล้ว นางจึงจัดระเบียบข้อมูลที่ตัวเองรู้ แล้วบอกว่า “ร้านขายของชำซื่อตรงตอนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว เรียกได้ว่าเงินทองไหลมาเทมา นับว่าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในใต้หล้า มีสาขาอยู่ที่ตลาดสวรรค์ทุกแห่ง พอเจ้าพูดถึง ข้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนสร้างร้านขายของชำซื่อตรงขึ้นมากับมือเช่นกัน เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ หลายปีมานี้เขาก้าวหน้าเร็วเกินไป การเสี่ยงอันตรายก็ย่อมไม่น้อย ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ ก่อเรื่องเอาไว้มากมาย หลังจากโยนหุ้นร้านขายของชำทิ้งเพื่อปกป้องตัวเอง เขาก็กลายเป็นทหารเลวของตำหนักสวรรค์…”

เริ่มตั้งแต่ที่เหมียวอี้เป็นทหารเลว จับเฮยหวังแล้วได้เลื่อนเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ไปทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตแล้วได้อันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตำหนักสวรรค์ ประหารข้าทาสของขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จนศีรษะเกลื่อนพื้น พอมีเรื่องกับพวกนั้นแล้วก็ไปทดสอบที่แดนอเวจี ถือทวนบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบ หลังจากออกจากแดนอเวจีแล้วก็ไปชิงตัวนาวคณิกาคนหนึ่ง จึงถูกย้ายไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่กองทัพองครักษ์ จับหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งซึ่งตอนนี้เป็นสนมสวรรค์แขวนบนเสาธง แล้วก็สร้างผลงานใหญ่ครั้งหนึ่งที่งานประมูลในตลาดผี เลยถูกเลื่อนเป็นแม่ทัพภาคกองมังกรดำโดยตรง ตอนหลังไปเฝ้าประจำการที่อุทยานหลวง ตอนงานแต่งตั้งสนมสวรรค์เขาก็พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด ถูกทำโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี…

ตอนแรกอวี้หลัวช่าก็ไม่ได้รู้ละเอียดขนาดนี้ ตั้งแต่ที่ได้ติดต่อกับเหมียวอี้แบบต่อหน้า นางถึงได้ตรวจสอบประวัติของเหมียวอี้อย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ที่เหมียวอี้เป็นทหารเลวที่ตำหนักสวรรค์จนกระทั่งรับตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ปีศาจโลหิตฟังจนเดาะลิ้นไม่หยุด

“หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะผ่านอุปสรรคความเป็นความตายมาเยอะขนาดนี้ เป็นตำนานพอสมควร” ปีศาจโลหิตอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้ม เรื่องที่เคยสู้กับเหมียวอี้ในอดีต พอตอนนี้นึกถึงอีกครั้งก็รู้สึกว่าไร้สาระอยู่บ้าง

“ตอนนี้เขาชื่อเสียงโด่งดังมาก” อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน

เมื่อมีเหมียวอี้จับตาดู ศีลแปดก็เริ่มทำตัวซื่อสัตย์แล้ว ผลัดกับไต้ซือศีลเจ็ดเฝ้าควบคุมนอกวัดอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่มีโอกาสไปแสวงหาความสำราญทั่วทุกที่เหมือนก่อนหน้านี้อีก

ส่วนเหมียวอี้ก็ไปส่งอาหารป่าให้เรือนไม้ยกพื้นสูงริมทะเลสาบเงียบๆ ทุกสองวัน เท่ากับคอยล่าสัตว์มาตลอด รับประกันอาหารที่อุดมสมบูรณ์ให้อวี้หลัวช่าได้บำรุงร่างกาย

อวี้หลัวช่ากับปีศาจโลหิตก็ไม่เปิดโปงเช่นกัน ฝ่ายหนึ่งคอยส่งให้เงียบๆ อีกฝ่ายหนึ่งก็คอยรับเงียบๆ

หลังจากใช้ชีวิตอย่างนี้ผ่านไปหลายเดือน ในที่สุดก็มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากควบคุมให้พระปีศาจหนานโปในวัดแข็งกลายเป็นหินแล้ว เหมียวอี้ ไต้ซือศีลเจ็ดและศีลแปดก็รีบไปที่นอกเรือนไม้ยกพื้นสูงริมทะเลสาบ

ชีวิตในวันนี้ไม่ธรรมดา ศีลแปดได้รับอนุญาตจากเหมียวอี้เป็นกรณีพิเศษถึงได้มาที่นี่ ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากมา จึงถูกเหมียวอี้ซ้อมอีกยกหนึ่ง ถึงได้มาอย่างว่านอนสอนง่าย

“อา…อา…”

ในเรือนไม้ยกพื้นสูง มีเสียงร้องเจ็บปวดทรมานของอวี้หลัวช่าดังออกมาต่อเนื่อง

นอกเรือนไม้ยกพื้นสูง ไต้ซือศีลเจ็ดยืนตรงแน่ว มือขยับนับลูกประคำไม่หยุด ปากพึมพำสวดมนต์

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาริมทะเลสาบอย่างร้อนรน เสียงร้องเจ็บปวดทรมานของอวี้หลัวช่าทำให้เขาค่อนข้างวุ่นวายใจ ถ้าอวี้หลัวช่ายังมีพลังอิทธิฤทธิ์ปกป้องร่างกายก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้นางกลับไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา กอปรกับนางไม่มีประสบการณ์คลอดลูก อีกทั้งปีศาจโลหิตก็ทำคลอดเป็นครั้งแรก เสียงร้องทรมานที่ดังมาเป็นพักๆ ทำให้คนฟังรู้สึกบีบหัวใจ

เหมียวอี้ก็ไม่มีประสบการณ์เช่นกัน ตามที่เขารู้มา อวี้หลัวช่าเป็นคนอย่างไรล่ะ ขนาดผู้หญิงคนนี้ยังเจ็บปวดทรมานถึงขนาดนี้ จะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า? เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กน้อย

เหมียวอี้กระวนกระวายใจมาก

ศีลแปดที่หน้าเขียวปูดนั่งยองๆ อยู่ข้างเตาไฟอย่างง่าย กำลังต้มน้ำร้อนหม้อใหญ่ เขาหันไปมองที่เรือนไม้เป็นระยะ แล้วก็ค่อยเติมฟืนใส่เตาด้วย เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างใจลอยเช่นกัน เมื่อประกอบกับใบหน้าฟกช้ำดำเขียว ก็ดูน่าตลกขบขันเล็กน้อย

“อ๊า…” เสียงร้องที่เจ็บปวดทรมานกว่าเดิมดังออกมาจากเรือน

เหมียวอี้ฟังจนขนลุก พอหันไปมอง เห็นศีลแปดทำท่าโง่ๆ จู่ๆ ก็ควบคุมไฟโกรธไม่ไหว เดินเข้าไปเตะจนกลิ้งอีกที

แปดที่ล้มบนพื้นถามด้วยสีหน้าน้อยใจ “พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ท่านมาตีข้าทำไมอีก?”

เหมียวอี้ชี้เรือนไม้ยกพื้นสูงที่มีเสียงร้องครวญคราง พลางตะคอกตำหนิ “ดูผลงานที่เจ้าทำไว้สิ!”

“…” ศีลแปดพูดไม่ออก ก้มหน้ายอมรับไป

ใครจะคิดว่าขนาดเงียบแล้วยังไม่พอใจอีก เหมียวอี้เตะอีกที “มัวเหม่ออะไร ยังไม่รีบไปต้มน้ำร้อนอีก?”

ศีลแปดรีบลุกไปนั่งเติมฟืนต่อ

“อุแว๊…อุแว๊…” เสียงทารกร้องไห้ดังมาจากเรือนไม้ยกพื้นสูงแล้ว

เหมียวอี้มีสีหน้ากระปรี้กระเปร่าทันที วิ่งไปที่เรือนไม้ยกพื้นสูงอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเหยียบขึ้นบันไดขั้นแรก ก็ถอยกลับออกมาอีก นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่สะดวกจะเข้าไป

ศีลแปดก็ยืนขึ้นมองโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ไต้ซือศีลเจ็ดหยุดขยับลูกประคำในมือแล้ว ลืมตามองเช่นกัน

แกร๊ก! ประตูเปิดออก ปีศาจโลหิตที่บนมือมีรอยเลือดตะโกนบอกคนข้างนอกอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “เด็กผู้ชาย! เป็นเด็กผู้ชาย! ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก!”

“ฮู่ว!” เหมียวอี้ถอนหายใจยาว แล้วประนมมือมองฟ้าด้วยสีหน้าปลื้มปีติ เขาจำได้รางๆ ว่าตอนพ่อแม่บุญธรรมยังอยู่ บางครั้งก็จะพูดหยอกล้อว่า ถ้าเจ้ารองโตขึ้นก็จะมีหลานอ้วนให้อุ้มแล้ว ในที่สุดตอนนี้ตระกูลจางก็มีทายาทแล้ว สุดท้ายตนก็มีคำอธิบายให้พ่อแม่บุญธรรมแล้ว

“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือเช่นกัน เผยรอยยิ้มปลื้มปีติ

ส่วนศีลแปดก็ทำสีหน้าบูดเบี้ยวอยู่อย่างนั้น พึมพำในจซ้ำๆ ว่า ข้ามีลูกชายเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่เอาอย่างนี้สิ!

เหมียวอี้ชี้ศีลแปดทันที แล้วถามด้วยสีหน้าเดือดดาล “ไอ้ลูกตะพาบ ยืนโง่อะไรอยู่ ไม่ได้ยินว่าขอน้ำร้อนรึไง?”

“อ่อ…อ้อ…” ศีลแปดลนลานทันที รีบยกน้ำร้อนหถังหนึ่งขึ้นบันไดไปยื่นให้ปีศาจโลหิต

แกร๊ก! ประตูปิดแล้ว

“ไต้ซือ ท่านมีศิษย์หลานแล้ว ยินดีด้วย” เหมียวอี้วิ่งไปกุมหมัดคารวะแสดงความยินดีต่อไต้ซือศีลเจ็ด ใบหน้าเบิกบานราวกับดอกไม้

ทำเหมือนมีใครรีบร้อนอยากได้ศิษย์หลานอย่างนั้นแหละ ไต้ซือศีลเจ็ดหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตอบกลับว่า “ยินดีเช่นกัน!”

ตอนนี้ทั้งสองผ่อนคลายแล้ว กำลังปรึกษากันเรื่องชื่อเด็ก

ศีลแปดยืนอยู่ข้างๆ เพียงลำพัง อดทนกับเบ้าตาเขียวที่โดนชก สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

ข้างในเรือน อวี้หลัวช่าที่ใบหน้าซีดเผือดกำลังนอนบนเตียงไม้ มองปีศาจโลหิตที่กำลังวิ่งวุ่นทำงาน แล้วถามอย่างหมดแรงว่า “เด็กผู้ชาย ท่านลุงใหญ่ของเขาดีใจมั้ย?”

ปีศาจโลหิตเม้มปากยิ้ม “ดีใจสิ ยิ้มไม่หุบเลยล่ะ”

อวี้หลัวช่าโล่งอก แล้วถามอีกว่า “พ่อเด็กดีใจหรือเปล่า?”

ปีศาจโลหิตหัวใจกระตุกเล็กน้อย มองไม่ออกจริงๆ ว่าศีลแปดมีท่าทีดีใจ แต่นางก็ยังฝืนยิ้มตอบว่า “ดีใจ”

อวี้หลัวช่าเหมือนจะสังเกตอะไรได้จากปฏิกิริยาของนาง แววตาจึงหดหูเล็กน้อย

ตอนที่ฟ้าใกล้ค่ำ ความเคลื่อนไหวในบ้านก็หยุดแล้ว ปีศาจโลหิตที่เก็บกวาดข้างในเรียบร้อยแล้วอุ้มห่อผ้าทารกคนหนึ่งเดินออกมา เหมียวอี้กับไต้ซือศีลเจ็ดเข้าไปล้อมทันที

เปิดห่อผ้าทารกมุมหนึ่งเบาๆ เผยใบหน้าเล็กๆ ที่ยู่ยี่เล็กน้อย กำลังนอนหลับตา

เหมียวอี้ลองใช้นิ้วสัมผัสใบหน้าเล็กที่อ่อนละมุน แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “เมื่อครู่ยังร้องจะเป็นจะตายอยู่เลย ตอนนี้หลับปุ๋ยซะแล้ว”

“เพิ่งเปลืองแรงร้องไปเยอะกว่าจะได้ดูดนม พอดูดนมอิ่มแล้วอาจจะเหนื่อย” ปีศาจโลหิตตอบเบาๆ

“ข้างนอกลมแรง รีบกลับเข้าไปข้างในเถอะ” ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าว

เหมียวอี้ได้ยินแล้วรีบบังใบหน้าเด็กน้อยทันที ที่นี่ไม่มีใครควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ถ้าป่วยขึ้นมาก็อาจจะยุ่งยาก เขาจำได้ว่าเด็กในโลกมนุษย์มีอัตราการตายสูงมาก ตอนนี้ทุกคนก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา เขาพยักหน้าบอกอย่างกังวลเล็กน้อย “ไต้ซือพูดถูกแล้ว รีบกลับไปเถอะ”

ปีศาจโลหิตกลับอุ้มเด็กไปข้างกายศีลแปด บอกใบ้ให้เขาอุ้มและดู

เมื่อเห็นใบหน้ายู่ยี่นั่น ศีลแปดก็บอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร โชคดีที่ชั่วเองโดนซ้อมจนหน้าปูดแล้ว มองออกไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงโดนซ้อมอีกรอบ

อย่างไรเสียก็เป็นกายหยาบที่ฝึกมาจากพลังจิตวิญญาณ อวี้หลัวช่าฟื้นตัวเร็วมาก ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ดังนั้นริมทะเลสาบจึงมีใบหน้ารักใคร่เอ็นดูอุ้มทารกเดินเล่นช้าๆ ให้เห็น

ชื่อของเด็กคนนี้ ไต้ซือศีลเจ็ดตั้งให้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ตอนที่ตั้งชื่อให้เด็กน้อย ไต้ซือศีลเจ็ดก็ชี้ที่หัวใจของตัวเอง แล้วก็ชี้ผิวทะเลสาบนอกเรือนไม้ยกพื้นสูง ตั้งชื่อว่าจางซินหู ชื่อนี้อวี้หลัวช่าพอใจมาก นางขอบคุณเขา!

ส่วนศีลแปด เหมียวอี้ก็ไม่จับตาดูเขาเข้มงวดอีกแล้ว แต่เร่งให้เขามาเยี่ยมสองแม่ลูกแทน

ส่วนท่าทีที่ศีลแปดมีต่ออวี้หลัวช่า ก็ไม่เย็นชาและไม่อบอุ่นมาตลอด จนกระทั่งถึงวันที่ถูกนางขอให้นอนค้างด้วยกัน ถึงได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเขา เริ่มพูดคุยยิ้มแย้มกับนาง และเริ่มเปิดใจรับเด็กเช่นกัน บางครั้งก็จะเห็นเขาอุ้มเด็กเดินเล่นริมทะเลสาบ

ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ไม่นาน ความคิดที่หนักอึ้งก็กดหัวใจทุกคนอีกครั้ง สำหรับเหมียวอี้ อวี้หลัวช่ายังเป็นโจนย์ยากที่แก้ไขไม่ได้ เขาตัดสินแล้วว่าอวี้หลัวช่าอาศัยลูกมาปกป้องชีวิตตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีทางแน่ใจได้ว่านางจะเลิกราเพราะเห็นแก่หน้าลูกหรือเปล่า ถ้านางข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งขึ้นมา เช่นนั้นเหมียวอี้ก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเก็บเด็กไว้ แต่เก็บผู้ใหญ่ไว้ไม่ได้!

ยิ่งวันที่ค่ายกลจะไม่มีผลใกล้เข้ามาเท่าไร เหมียวอี้ ศีลแปดและอวี้หลัวช่าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงก็ยิ่งหนักใจมากเท่านั้น ต่างก็รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์เหล่านี้ในสักวัน

ลองนับเวลวาดูแล้วก็เหลืออีกหนึ่งเดือน เหมียวอี้เชิญทุกคนนอกจากอวี้หลัวช่าไปที่หุบผาเพื่อปรึกษาเรื่องการออกไปจากที่นี่

หลังจากฟังท่าทีของไต้ซือศีลเจ็ดจบแล้ว เหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว “ไต้ซือต้องการจะอยู่ที่นี่จริงเหรอ?”

ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจ “ถ้าไม่มีใครควบคุมที่นี่ ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนอีกมากมายเท่าไรต้องจบชีวิตภายใต้เสียงมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโป โยมยังไม่เคยเห็นสถานการณ์เลวร้ายนั่นกับตา ไม่มีทางจินตนาการได้”

สำหรับจุดนี้ ปีศาจโลหิตนับว่าได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งแล้ว ต่อให้นางจะใช้พุทธศาสนาเป็นที่พึ่งมาแล้วหลายปี แต่พอนึกถึงเรื่องที่เคยทำเมื่อถูกมนต์คร่าชีวิตควบคุมในปีนั้น นางก็ยังตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว

เหมียวอี้รู้ว่าพอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน พระรูปนี้จะดึงดันเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเมตตาจนเกินพอดี แต่เขาก็ยังพยายามโน้นน้าวเต็มที่ “ไต้ซือ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะเฝ้าที่นี่ไปทั้งชีวิต”

………………