บทที่ 556.2 อาจารย์และลูกศิษย์ฝึกหมัดล้วนน่าสงสาร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หญ้าบนหัวกำแพงมากมายโดยรอบสำนักชิงเหลียงก็เริ่มตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขา การค้าหลายอย่างก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นยากลำบากมากกว่าเดิม

กองกำลังในโลกมนุษย์ล่างภูเขาจำนวนมากซึ่งรวมถึงฮ่องเต้สกุลหานของราชวงศ์ฮวาหลิงก็เริ่มกลับคำ ตัวอ่อนผู้ฝึกตนหลายคนที่เดิมทีคิดจะส่งให้ไปฝึกตนที่สำนักชิงเหลียน ต่อให้เดินทางไปได้ครึ่งทางแล้วก็ยังถูกเรียกให้กลับไป

ภูเขาตระกูลเซียนจำนวนมากโดยรอบก็ทำตัวห่างเหินกับสำนักชิงเหลียงที่รากฐานยังไม่มั่นคงคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา พวกเขาออกคำสั่งผู้ฝึกตนในภูเขาของตัวเองว่าไม่อนุญาตให้ไปมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักชิงเหลียงมากเกินไปนัก

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเทียนจวินเซี่ยสือบุกไปที่สำนักชิงเหลียงด้วยตัวเองอย่างดุดัน ผลคือเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้จักหนักเบา สองฝ่ายที่เดิมทีสนิทสนมแนบแน่นกลับกลายเป็นว่าต้องแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นมาสำนักชิงเหลียงก็ยิ่งโดดเดี่ยว สี่ด้านแปดทิศไร้ความช่วยเหลือ พันธมิตรไม่ใช่พันธมิตรอีกต่อไป และยิ่งกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่แอบปัดแข้งปัดขากันเอง ไม่มีใครคิดว่าสำนักแห่งใหม่ที่ทำให้ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่เดือดดาลจะมีหน้ามีตาอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้นานนัก

และภายในของสำนักชิงเหลียงเองก็ระส่ำระส่าย

เค่อชิงและผู้ถวายงานครึ่งหนึ่งต่างก็พากันตัดความสัมพันธ์กับสำนักชิงเหลียง แต่ละคนส่งจดหมายลับออกไป ภายในค่ำคืนเดียวเก้าอี้ที่ตั้งวางในศาลบรรพจารย์ก็น้อยลงไปถึงห้าตัว

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็เป็นคนประหลาด นางไม่ได้ทุบทำลายเก้าอี้เหล่านั้น เพียงแค่ย้ายพวกมันออกมานอกศาลบรรพจารย์ นำมาตั้งวางไว้ใต้ชายคานอกประตู

สำนักชิงเหลียงที่เดิมทีมีลูกศิษย์ไม่มาก บนภูเขาจึงยิ่งเงียบสงัดวังเวง

โชคดีที่ท่ามกลางการเดินทางท่องเที่ยวในอุตรกุรุทวีปของเฮ้อเสี่ยวเหลียง ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเก้าคนที่นางทยอยรับมานับว่ายังอยู่กันอย่างสงบ ยังไม่มีใครเลือกจะทรยศหนีออกจากสำนักชิงเหลียง ในสายตาของโลกภายนอก นั่นเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่เข้าใจความหมายของชื่อป๋ายฉางนี้ดีพอ ยิ่งไม่รู้ถึงความอันตรายอย่างใหญ่หลวงของการผูกปมแค้น อีกทั้งยังฉีกหน้าแตกหักกันของคนบนภูเขา

ลูกศิษย์รุ่นแรกหลังจากที่สำนักชิงเหลียงก่อตั้งมาเก้าคนนี้ต่างก็ทยอยกันถูกเฮ้อเสี่ยวเหลียงพาขึ้นภูเขา ล้วนเป็นคนธรรมดาด้านล่างภูเขาที่เมื่อก่อนไม่เคยฝึกตนมาก่อน อายุไม่ถือว่าต่างกันมากนัก คนที่อายุมากที่สุด ตอนนี้ก็แค่สามสิบปีเท่านั้น คนที่อายุน้อยสุดเป็นแค่เด็กน้อยอายุห้าหกขวบ การรับลูกศิษย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก ดูคุณสมบัติและฐานกระดูกเหมือนกัน แต่ไม่ได้เห็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ขอแค่เดินบนเส้นทางการฝึกตนได้ก็พอแล้ว ที่มากกว่านั้นต้องเป็นคนที่นางถูกชะตาด้วย

วันนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงออกมาจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ใช้ฝึกตนเพียงลำพัง สำนักชิงเหลียงได้ยึดครองพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ทำการก่อสร้างใหญ่โตอะไร เพียงแค่บุกเบิกพื้นที่เล็กๆ ไว้ตรงกึ่งกลางของภูเขาบรรพบุรุษ กระท่อมแต่ละหลังสร้างเรียงติดกัน ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนล้วนอาศัยอยู่ที่นี่ มีเพียงสถานที่ที่ใช้ถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจแห่งนั้นเท่านั้นที่พอจะดูเหมือนจวนเศรษฐีได้บ้าง ลักษณะคล้ายคลึงกับศาลบรรพชนของครอบครัวใหญ่ล่างภูเขา ทั้งสามารถใช้กราบไหว้บรรพชน แล้วก็สามารถเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้กับลูกหลานในตระกูลได้

การรับลูกศิษย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียง นางจะถ่ายทอดแค่คาถาลัทธิเต๋าที่ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำบทหนึ่งให้เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขามากนัก แต่ได้เชิญคนต่างถิ่นคนหนึ่งมาสอนวิชาในชีวิตประจำวันให้แก่พวกลูกศิษย์ คนผู้นี้ทั้งไม่ใช่ผู้ถวายงาน แล้วก็ไม่ใช่เค่อชิง แต่กลับช่วยสอนวิชาความรู้ให้กับลูกศิษย์ทั้งเก้าของสำนักชิงเหลียงมานานหลายปี ไม่ได้ยึดติดกับแค่การวิเคราะห์ความมหัศจรรย์ของตำราลัทธิเต๋าเท่านั้น ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก คนผู้นี้ก็สอนด้วย ดูเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะเชื่อใจในตัว ‘อาจารย์หลี่’ คนนี้มาก ไม่เคยกังวลว่าการอบรมสั่งสอนของเขาจะถ่วงเวลาการฝึกตนของลูกศิษย์ตน ยิ่งไม่กังวลว่าเขาจะทำให้สำนักชิงเหลียงที่นางป่าวประกาศแล้วว่าภายในร้อยปีจะไม่รับลูกศิษย์อีกกลายเป็นสำนักตระกูลเซียนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนที่ยังคงได้รับแค่การบันทึกชื่อเอาไว้ชั่วคราวล้วนให้ความเคารพอาจารย์หนุ่มที่รู้แค่ว่าแซ่หลี่คนนั้นมาก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเดินมาถึงนอกหน้าต่างห้องเรียน

อาจารย์หลี่กำลังสอนบทประพันธ์และบทกลอนของลัทธิขงจื๊อ ก่อนหน้านี้เพิ่งอธิบายว่าข้อดีของ ‘หญ้าใบไม้ผลิถือกำเนิดในบ่อ’ และ ‘แสงจันทร์ส่องหอสูง’ อยู่ที่ตรงไหน ทอดถอนใจว่าบทกวีที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้มองเห็นทักษะได้ดีที่สุด ทำให้นักกวีรุ่นหลังรู้สึกเสียดายที่เกิดช้าไปร้อยปีพันปี จากนั้นก็ถือโอกาสเล่าว่าตระกูลชนชั้นสูงด้านล่างภูเขาแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็พรรคบนภูเขาแห่งหนึ่ง นิสัยของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาเป็นอย่างไร จะส่งผลกระทบต่อขนบธรรมเนียมประจำตระกูลและสำนักอย่างไร สุดท้ายจึงบอกคนทั้งเก้านั้นว่าหากในอนาคตพวกเจ้าได้เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาควรจะทำอย่างไรถึงจะผิดน้อยถูกมาก

มีคนเห็นว่าอาจารย์ปรากฏตัวจึงทำท่าจะลุกขึ้นคารวะ เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับยื่นมือออกมากดลงสองที บอกเป็นนัยให้รู้ว่าอยู่ในสถานที่อย่างห้องเรียน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาใหญ่ที่สุด

อาจารย์หลี่ที่ยังหนุ่มอยู่มากผู้นั้นตั้งคำถามหนึ่งให้ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนได้ใคร่ครวญ จากนั้นก็เดินออกจากห้องตามเฮ้อเสี่ยวเหลียงไป

เขาเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่เจ้ากลับ…ช่างเถอะ สาเหตุของเรื่องนี้ ข้าที่เป็นคนนอกไม่ควรถามให้มากความ แต่ข้าแน่ใจว่า ป๋ายฉางเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด”

ต่อให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิเต๋าคนนั้น แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันใต้หล้าหนึ่ง

แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของเซียนกระบี่อุตรกุรุทวีป หากเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้

และตอนนี้ป๋ายฉางก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าเขาไม่สนใจจริงๆ

เล่าลือกันว่าช่วงแรกเริ่มสุด ในอุตรกุรุทวีปเคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่งใช้ปลายกระบี่ชี้หน้าลูกศิษย์คนหนึ่งของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ยิ้มถามว่าเจ้าคิดว่าหนึ่งกระบี่ของข้าจะฟันลงไปหรือไม่

คำตอบก็แน่นอนว่าต้องฟันลงไป

แต่สุดท้ายแล้วเซียนกระบี่ท่านนั้นไปรบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนอริยะลัทธิขงจื๊อคนนั้นกลับไปก่อตั้งสำนักศึกษาฝูสุ่ยอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ตอนที่เขายังมีชีวิตก็ให้การดูแลควันธูปและทายาทรุ่นหลังของเซียนกระบี่ท่านนั้นเป็นอย่างดี

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มเอ่ย “อาจารย์หลี่ ตอนนี้ข้าเพิ่งเป็นขอบเขตหยกดิบได้แค่ไม่กี่ปี รอให้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน แล้วก็ไปถึงคอขวด หากไม่มีเวลาหลายร้อยปีก็ไม่มีทางทำได้แน่นอน ป๋ายฉางยินดีจะรอคอยก็รอไปเถอะ”

บัณฑิตที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเรียกอย่างเคารพว่าอาจารย์หลี่คนนี้เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ของเทียนจวินเซี่ยสือที่มาก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะบีบคั้นให้คนอื่นลำบากใจ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ปีนั้นระหว่างการเดินทางหาประสบการณ์ เขาเคยได้รับคำชี้แนะจากป๋ายฉาง ป๋ายฉางจึงถือว่ามีบุญคุณในการถ่ายทอดมรรคาส่วนหนึ่งให้แก่เขา บวกกับที่สำนักชิงเหลียงเปิดภูเขาตั้งสำนักได้ไปเบียดบังเอาโชคชะตาลัทธิเต๋าส่วนหนึ่งมาจากอุตรกุรุทวีป แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมเอนเอียงเข้าหาสวีเซวี่ยนและป๋ายฉางมากกว่า”

อาจารย์หลี่ส่ายหน้า “หากหลักการเหตุผลสามารถเอามายืมใช้เช่นนี้ได้ ข้าว่าการถ่ายทอดมรรคาของเทียนจวินเซี่ยสือก็คงมีปัญหาใหญ่แล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลั้นยิ้ม

อาจารย์หลี่ถามอย่างสงสัย “ข้าพูดผิดหรือ?”

ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองก่อน นี่คือรากฐานในการศึกษาหาความรู้ของบัณฑิต

เฮ้อเสี่ยวเหลียงส่ายหน้า “คำพูดประโยคนี้ หวังว่าสักวันหนึ่งอาจารย์หลี่จะสามารถพูดกับเทียนจวินเซี่ยด้วยตัวเองได้”

อาจารย์หลี่ยิ้มกล่าว “หากมีโอกาสจะลองทำดู แต่ดูจากการกระทำของตัวเทียนจวินเซี่ยเองและจากตลอดทั้งสำนักของเขาแล้ว พูดเช่นนี้อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของเขาเสมอไป”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่พูดถึงปัญหาข้อนี้อีก ด้วยกลัวว่าจะทนไม่ไหวหลุดเสียงหัวเราะออกไปจริงๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารลูกศิษย์ของเทียนจวินคนนั้นด้วย

นางหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้หลังคาห่างไปไกล เขามีนามว่าชุยซื่อ คือเด็กรับใช้ที่ติดตามอาจารย์หลี่เดินทางทัศนาจรข้ามทวีปมานานหลายปี

อาจารย์หลี่กล่าว “ข้าควรจะลงจากภูเขาแล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงคารวะด้วยการก้มลงกราบ “มิกล้ารั้งตัวอาจารย์ต่อแล้ว”

หลี่ซีเซิ่งจึงประสานมือคารวะกลับด้วยสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ

ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ได้คารวะกลับคืนด้วยพิธีการแบบเดียวกัน แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังขยับเท้าเบี่ยงตัวหลบ เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งยังอยู่บนภูเขาของสำนักชิงเหลียง การขยับหลบของนางจึงไม่โจ่งแจ้งนัก อย่างน้อยเมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของชุยซื่อคนกระเบื้อง เจ้าสำนักหญิงผู้นั้นก็เหมือนยืนอยู่ที่เดิมรับการคารวะของอาจารย์ตนอย่างผึ่งผาย

……

ในห้องทรงพระอักษรของเมืองหลวงต้าหลี

การประชุมเล็กจบลงแล้ว

ทว่าราชครูชุยฉานกลับยังไม่จากไปซึ่งนับว่าหาได้ยาก

เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ซ่งเหอผู้เป็นฮ่องเต้ไม่ได้เปิดปากถาม เพียงแค่รอฟังคำพูดถัดมาจากราชครูท่านนี้อย่างสงบ

ชุยฉานลุกขึ้นยืน ประกบสองนิ้วปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ในห้องทรงพระอักษรก็ปรากฎม้วนภาพขุนเขาสายน้ำยาวม้วนหนึ่ง เป็นภาพของแจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีปและใบถงทวีป

ฮ่องเต้หนุ่มรีบลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ข้างกายชุยฉาน

ชุยฉานเอ่ยเนิบช้าว่า “การประชุมใหญ่ในท้องพระโรง จักรพรรดิของแคว้นหนึ่งพูดคุยกับขุนนางบุ๋นบู๊ด้วยเรื่องของปัจจุบัน ต่อให้เป็นเรื่องในอนาคตก็ไม่ไกลเกินสามปีห้าปี แต่ในการประชุมเล็ก จักรพรรดิของแคว้นหนึ่งพูดคุยกับเหล่าอัครเสนาบดีล้วนเป็นเรื่องในอนาคตที่ห่างไกลสามปี ห้าปี สิบปี ตอนนี้ข้าอยู่พูดคุยกับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัว ก็คือการปรึกษาแผนการใหญ่ร้อยปี บางทีฝ่าบาทมองเห็นขั้นตอนส่วนหนึ่ง แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถมองเห็นผลลัพธ์สุดท้ายนั่นได้ด้วยตาตัวเอง”

ซ่งเหอเอ่ยเสียงเบา “ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเสด็จพ่อไม่ได้เห็นกีบเท้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำลงบนชายหาดของนครมังกรเฒ่าน่ะหรือ?”

ชุยฉานพูดตรงอย่างไม่กริ่งเกรง “ประมาณนั้น”

ซ่งเหอไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง กลับกันยังเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม เขายิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ อันที่จริงข้ารอคอยวันนี้มาโดยตลอด”

อยู่ต่อหน้าราชครูท่านนี้ ขอแค่ไม่มีขุนนางคนอื่นๆ อยู่ด้วย ฮ่องเต้หนุ่มก็จะยึดหลักมารยาทที่ศิษย์พึงปฏิบัติต่ออาจารย์เสมอมา

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ฮองไทเฮาผู้นั้นช่วยเตือนด้วยซ้ำ

ชุยฉานเอ่ย “รอจนสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปมั่นคงแล้ว ในอนาคตคงหลีกเลี่ยงที่จะให้สำนักฮั่นหลินแต่งเรื่องเล่าของขุนนางทรยศ ขุนนางผู้ภักดีให้กับพวกขุนนางที่มาจากแคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งไม่ได้ อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ความจริงจะกระจ่างแจ้งได้ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทครองราชย์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนในราชสำนักเสียขวัญกำลังใจ จึงได้แต่ให้ฮ่องเต้องค์ถัดไปเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน นี่ก็คือเรื่องในบ้านของแจกันสมบัติทวีปและราชวงศ์ต้าหลี ฝ่าบาทสามารถใคร่ครวญหาแผนการที่เหมาะสมมาก่อนได้ วันหน้าข้าค่อยดูว่ามีช่องโหว่ใดที่จำเป็นต้องแก้ไขหรือไม่ การซ่อมแซมใจคนสำคัญพอๆ กับการซ่อมแซมขุนเขาสายน้ำ”

พูดเรื่องนี้จบ ชุยฉานก็ชี้นิ้วไปยังอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป “มองอุตรกุรุทวีปที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้แล้ว ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไร?”

ซ่งเหอตอบ “เมื่อเทียบกับในอดีต กลวงกว่าเดิมมาก”

ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งทวีปพากันเคลื่อนขบวนไปยังภูเขาห้อยหัวอย่างยิ่งใหญ่หมดแล้ว

ชุยฉานพยักหน้า แล้วก็เอ่ยอีกว่า “แนะนำฝ่าบาทหนึ่งประโยค สกุลซ่งต้าหลีอย่าได้คิดจะไปแตะต้องอาณาบริเวณของทวีปอื่นเลย ไม่มีทางทำได้”

ซ่งเหอรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

เดิมทีนึกว่าราชครูต้าหลี อาจารย์ของตนท่านนี้จะมีความทะเยอทะยานมากกว่าที่ตนคิดไว้

ชุยฉานยิ้มกล่าว “ปณิธานยิ่งใหญ่แต่ความสามารถต่ำเตี้ย ก็กลวงเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ซ่งเหอสีหน้ากระอักกระอ่วน

ชุยฉานชี้ไปยังชายหาดโครงกระดูกที่อยู่ทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีป “หากจะต้องช่วยสร้างสะพานยาวแห่งหนึ่งระหว่างสองทวีปขึ้นที่ภูเขาพีอวิ๋นกับชายหาดโครงกระดูก ฝ่าบาทคิดว่าควรจะสร้างอย่างไร?”

ซ่งเหอยิ้มตอบ “อาศัยเงินเทพเซียน”

ชุยฉานพยักหน้า แต่กลับถามอีกว่า “ต้นกำเนิดของเงินเทพเซียนที่แท้จริงมาจากไหน?”

ซ่งเหอเคลื่อนสายตาไปบนม้วนภาพ มองไปยังทวีปใหญ่ที่อยู่ใต้ยิ่งกว่าแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น “ใบถงทวีปที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องแตกแยก?”

ชุยฉานทั้งไม่ได้พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ไม่ได้ส่ายหน้าปฏิเสธ เพียงถามต่อว่า “หากสืบสาวกันถึงแก่น ควรจะหาเงินและใช้เงินอย่างไร?”

ซ่งเหอส่ายหน้า ปัญหาข้อนี้ใหญ่เกินไป

ชุยฉานกล่าว “คิดจนเข้าใจว่าควรหาเงินอย่างไร ก็เพื่อควรใช้เงินอย่างไร ไม่อย่างนั้นหากอยู่ในท้องพระคลังของต้าหลีแล้วจะมีความหมายอะไร? ภูเขาเงินภูเขาทองของหนึ่งตระกูลหนึ่งครอบครัวเอามากินแทนข้าวได้หรือ? นี่ก็คือการเอาตัวรอดหลังจากที่สกุลซ่งต้าหลีใช้พื้นที่ของทวีปหนึ่งมาเป็นพื้นที่ของแคว้นหนึ่ง”

ชุยฉานยกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น ขณะเดียวกันก็ชี้ไปยังอุตรกุรุทวีปและใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป แล้วให้คำตอบว่า “ควรจะหาเงินตามกฎเกณฑ์มาจากอุตรกุรุทวีปอย่างไร ก็เพื่อควรจะสามารถช่วยเหลือใบถงทวีปที่แผ่นดินกำลังจะแตกแยกอย่างสมเหตุสมผลอย่างไร หนึ่งเข้าหนึ่งออกนี้ มองดูเหมือนว่าต้าหลีไม่ได้เงิน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการสั่งสมรากฐานกองกำลังแคว้นตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ยังได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ หาใช่ว่าข้าชุยฉานหรือเจ้าฮ่องเต้ซ่งเหอเข้าใจการวางตัวเป็นคน แต่เป็นเพราะกลยุทธแคว้นต้าหลีเราสอดคล้องกับกฎเกณฑ์มารยาทพิธีการของลัทธิขงจื๊อจริงๆ จึงกลายมาเป็นแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าซ่งเหอ ข้าชุยฉาน ก็จะทำให้ใครบางคนไม่ชอบใจแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะยังมีความสามารถพอจะทำให้เจ้าข้าและต้าหลีไม่ชอบใจได้ แต่อริยะของศาลบุ๋นย่อมดูดายไม่ช่วยเหลือ เพื่อจะสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเพิ่งจะยื่นมือออกไปก็โดนตีแล้ว”

ชุยฉานเก็บมือทั้งสองข้างลง หันหน้ามาจ้องซ่งเหอ สีหน้าของซิ่วหู่ผู้นี้ค่อนข้างจะเย็นชา “การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับฝ่าบาท ไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทมีพระปรีชายิ่งกว่าอดีตฮ่องเต้ แต่เป็นเพราะฝ่าบาทโชคดีกว่า ได้เป็นฮ่องเต้ช้ากว่า บัลลังก์มังกรที่ได้นั่งก็สูงกว่า แต่ฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องมีโทสะ เพราะความชอบความผิดพลาด ผลประโยชน์และความเสียหายก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของอดีตฮ่องเต้ทั้งสิ้น ส่วนคุณูปการน้อยใหญ่ต่อจากนี้ก็ควรจะเป็นของฝ่าบาทคนเดียว ฝ่าบาทปกครองบ้านเมืองไม่จำเป็นต้องไปงัดข้อกับอดีตฮ่องเต้ที่ตายไปแล้ว หากไม่เข้าใจในข้อนี้อย่างชัดเจน ข้าว่าคำพูดที่ข้าพูดกับฝ่าบาทในวันนี้คงจะพูดล่วงหน้าเร็วเกินไปหน่อย”

ซ่งเหอโค้งตัวประสานมือคารวะ “คำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จดจำไว้แล้ว”

ชุยฉานกล่าว “ลบเลือนร่องรอยในการปกครองบ้านเมืองบางอย่างของอดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้ตายไปแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มีอะไรยาก? จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างพวกเจ้ากรมกวนก็ได้แต่เยาะเย้ยว่าฮ่องเต้อย่างเจ้าใจแคบ แต่อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เจ้าซ่งเหอพูดอะไรหรือทำอะไรมาก เพราะอดทนให้ผ่านไปอีกไม่กี่ปี ขุนนางบุ๋นบู๊เด็กแก่ทั้งหลายก็ย่อมจะกลายเป็นคนฉลาดจนคนอื่นมองเบาะแสไม่ออก เป็นฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลี มีปณิธานอยู่ที่อาณาเขตหนึ่งทวีป สี่ทิศของแคว้นล้วนเป็นมหาสมุทรใหญ่ นี่ก็คือการกระทำที่ในคนสมัยโบราณของใต้หล้าไพศาลไม่เคยทำได้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ควรนำมาดของจักรพรรดิออกมา รอให้วันใดไม่มีข้าชุยฉานนั่งอยู่ในห้องประชุมเล็ก แต่พวกขุนนางของราชวงศ์ก่อนก็ยังคงจงรักภักดี เคารพยำเกรงเจ้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริงของเจ้าซ่งเหอ หากมีวันใดที่ข้าชุยฉานนั่งลงแล้วไม่กล้ามองเจ้าเป็นลูกศิษย์อะไรอีก ถ้าอย่างนั้นเจ้าซ่งเหอจึงจะถือว่าเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาที่พันปีก็ไม่เคยมีปรากฎอย่างแท้จริง”

ชุยฉานเอ่ยต่อไปว่า “แน่นอนว่าสองเรื่องนี้ยากมาก แต่ฝ่าบาทสามารถลองทำดูได้ อะไรที่บอกว่าจิตใจของจักรพรรดิยากจะคาดเดา นั่นล้วนเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ไม่ควรไม่มีเลย แต่ก็ไม่ควรยึดเอาเป็นหลัก ต่อให้จะมีวันที่ชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้องขาดสะบั้น ทว่าทุกครั้งที่ขุนนางประวัติศาสตร์รุ่นหลังเขียนถึงต้าหลี เกี่ยวกับซ่งเหอ ก็จะยังคงเป็นบทความที่น้ำหมึกเข้มข้นมากที่สุดอยู่ดี อยากจะข้ามก็ข้ามไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคำสรรเสริญเยินยอมีมากที่สุด แต่เป็นคำด่าที่ดุเดือดรุนแรงที่สุด”

สุดท้ายชุยฉานยิ้มกล่าว “พูดเรื่องแผนการของสองทวีปและเม็ดหมากที่มีอยู่แล้วพวกนี้กับฝ่าบาท ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังคงเป็นฝ่าบาท ราชครูก็ยังคงเป็นได้แค่ราชครู”