บทที่ 1301 ดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ด!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ภาพที่ได้เห็นจากการอาศัยพลังแห่งสะพานสู่สวรรค์กับพลังวิชาจันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อคือคลื่นพายุโหมกระหน่ำซึ่งทำให้ใจยากจะสงบ

เพราะก่อนหน้านี้จิตใต้สำนึกและการสรุปของเขา ร่างต้นแบบนั้นเป็นเพียงไม้สีดำขนาดมหึมา เป็นสารัตถะแห่งไม้ของมหาจักรวาลผืนนี้ ต่อมาถูกใช้เป็นอาวุธ แปลงเป็นตะปูไม้สีดำจุติขึ้นในมิติเต๋าต้นกำเนิดและตอกลงบนหว่างคิ้วมหาเทพ

ในกระบวนการนี้ เขายังไม่มีจิตใต้สำนึก หรือจะกล่าวให้ถูกคือจิตใต้สำนึกที่เป็นของหวังเป่าเล่อยังไม่ถือกำเนิด จนกระทั่งการต่อต้านของมหาเทพด้วยการแปลงเป็นหนึ่งแสนดวงจิตเทพ ตะปูไม้สีดำก็เช่นกัน นี่เป็นเหมือนกับการเปิดโอกาสทำให้ตะปูไม้สีดำในหนึ่งแสนโลกเกิดจิตใต้สำนึกนับแสนขึ้น

หวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น อีกอย่างดูแล้วในตอนนี้ก็เป็นเพียงเขาคนเดียวด้วย

ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะก้าวมาถึงระดับนี้ มีคุณสมบัติ…ที่จะตามหาต้นกำเนิดที่แท้จริง ทว่าหวังเป่าเล่อก็ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า ตอนนี้ทุกอย่างที่ตนเคยคิดจะเกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่และความเป็นไปได้อันไร้ขอบเขต

“หาก…ข้ายังคงเป็นจิตใต้สำนึกของไม้สีดำที่ตื่นขึ้น เช่นนั้นศพในโลงนั่นเป็นใครล่ะ”

“หาก…ข้าไม่ใช่ไม้สีดำที่ตื่นขึ้น แต่เป็นศพนั่นกลับมาเกิดใหม่ แล้ว…ข้าเป็นใครกันแน่”

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ สิ่งที่เขาเข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้แทบจะเกิดความสับสนน้อยมาก แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับว่างเปล่า หวังเป่าเล่อยืนเงยหน้ามองจักรวาลอยู่ที่ปลายสะพานที่สาม สิ่งที่เขากำลังมองไม่ใช่สะพานสู่สวรรค์อื่น ไม่ใช่ห้วงแห่งกาลเวลา แต่กำลังมองโลงศพสีดำที่ค่อยๆ หายไปในภาพความทรงจำของเขา

ตอนนี้เขายังรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางการสืบย้อนความทรงจำเมื่อครู่ ตอนที่เห็นโลงศพนั่น มันก็ไกลออกไปเรื่อยๆ และโปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งตอนที่มันค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า ศพที่หลอมรวมอยู่ข้างในอย่างรวดเร็วนั่นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

ความชัดเจนนี้เพิ่มความสับสนให้แก่หวังเป่าเล่อ

เพราะการเพ่งมองก็คือหนึ่งในประสาทสัมผัสสำหรับเซียนผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นกัน มันสามารถดำรงอยู่ได้จริง ราวกับการเพ่งมองนี้คือเส้นเชื่อมโยงระหว่างเขากับศพนั่น

และในพริบตาที่มันเชื่อมโยงกันและกัน ความรู้สึกคุ้นเคยซึ่งไม่อาจอธิบายก็ส่งผ่านมาจากโลงศพ เมื่อย้อนกลับไปที่ต้นทาง หวังเป่าเล่อจึงพบว่า…ความคุ้นเคยนี้ไม่ได้มาจากโลงศพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มาจาก…ศพที่กำลังหลอมรวมอยู่ข้างในนั้นด้วย

เหมือนกับได้เห็นตัวเองอีกคน

ลักษณะของศพนั้นดูยากมาก มองออกแค่ว่าเป็นเพศชาย ในเวลาเดียวกันสายตาที่เชื่อมโยงกันก็ได้ส่งผ่านความเสียใจและความทุกข์ทรมานอย่างลึกซึ้งจากศพนั่นมาหลอมรวมอยู่ในใจเขาด้วย

หากเปรียบหัวใจของคนเป็นดั่งทะเลสาบ ความเสียใจและความทุกข์ทรมานในขณะนี้ก็คือหยดหมึกที่ตกลงสู่ทะเลสาบจนเกิดระลอกคลื่น ขณะเดียวกันหมึกหยดนั้นก็ดูเหมือนจะส่งผลต่อทั้งหัวใจของหวังเป่าเล่อ

เขาจ้องมองจนกระทั่งโลงศพไม้สีดำหลอมรวมเข้ากับจักรวาลจนหมดสิ้น เมื่อศพที่อยู่ข้างในหลอมละลาย โลงศพก็ดูเหมือนจะถูกผนึกปิดตายและกลายเป็นไม้สีดำในที่สุด…

และไม้สีดำนี้ก็คล้ายจะก่อเกิดความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับจักรวาลผืนนี้ และกลายเป็นต้นกำเนิดมหาเต๋า

ความทรงจำดำเนินมาถึงตรงนี้ก็เลือนหายไป หวังเป่าเล่อยืนเงียบอยู่บนปลายสะพานที่สาม

หวังโหม่วเองก็นิ่งเงียบ แต่สายตาล้ำลึกกลับมีแสงแปลกประหลาด ส่วนหวังอีอีที่อยู่ข้างๆ กำลังมองหวังเป่าเล่อบนสะพานที่สามด้วยความสับสน ก่อนจะมองไปทางบิดาของตนแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ

“ท่านพ่อ หวังเป่าเล่อเขา…เป็นอะไรหรือ”

“เขา… ก็ทำให้ข้าประหลาดใจมากเช่นกัน” หวังโหม่วเอ่ยเสียงเบา

“ประหลาดใจมาก?” หวังอีอีตกตะลึง นางรู้จักบิดาของตนดี รู้ฐานะของบิดาในมหาจักรวาลแห่งนี้ และยิ่งเข้าใจวิธีการพูดของบิดา จึงตกใจมากที่บิดาพูดว่าประหลาดใจ อีกทั้งยังมีคำว่ามากเสริมเข้าไปด้วย

“เขาทำให้ข้านึกถึงคนคนหนึ่ง” หวังโหม่วไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนปลายสะพานที่สามในตอนนี้ได้คลายความสับสนในดวงตาแล้ว และกำลังก้าวเดินจากสะพานที่สามไปยังสะพานที่สี่ที่ห่างออกไปทีละก้าว

ยิ่งก้าวเดินระยะทางจากสะพานที่สี่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฝีเท้าของหวังเป่าเล่อมั่นคงมากขึ้น ความสับสนในดวงตาก็ยิ่งลดน้อยลง

“ข้าจะเป็นจิตใต้สำนึกไม้สีดำก็ดี…”

“เป็นศพเกิดใหม่ก็ช่าง…”

“เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ!”

“อดีตและอนาคตถูกข้ามอบให้อีอีไปหมดแล้ว เช่นนั้นข้าเป็นใคร มาจากไหนแล้วอย่างไรกันเล่า”

“ข้าคือหวังเป่าเล่อ”

“เต๋าของข้าคือไร้พันธนาการ!”

“เช่นนั้น…จะว้าวุ่นไปไย!” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจก็ก้าวไปข้างหน้าและเมื่อเสียงคำรามดังกึกก้อง เขาก็มายืนอยู่ที่หัวสะพานที่สี่แล้ว

นัยน์ตาของเขากลับมากระจ่างชัดอย่างสมบูรณ์ ราวกับมีกระแสเทพอันมั่นคงลุกโชน คล้ายเปลวไฟอยู่ข้างในรูม่านตา

“สำรวจจิตใต้สำนึกสินะ เจ้าสะพานสู่สวรรค์ตัวดี!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงหัวสะพานที่สี่และสูดหายใจเข้าลึกๆ จิตใจไร้ซึ่งกิเลสตัณหา ฝีเท้าไร้ความลังเลราวกับสัมผัสสวรรค์ของตนถูกชำระล้าง เมื่อจิตใจของตนมั่นคงก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานที่สี่

ตอนนี้ร่างของเขาสูงใหญ่ไร้ขอบเขต ฝีเท้าย่างก้าวอย่างมั่นคง พลังปราณบนร่างพลันระเบิดขึ้นอีกครั้ง ในสายตาของทุกชีวิตในดินแดนเซียน สะพานเป็นเพียงกระดาษ ภาพที่ดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดพลันปรากฏขึ้น

ขณะก้าวไปข้างหน้า พลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งและกลายเป็นที่น่าตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เสียงคำรามของดินแดนเซียนรุนแรงขึ้นกว่าเก่า จนกระทั่งหวังเป่าเล่อเดินมาถึงปลายสะพานที่สี่ ความผันผวนในร่างกายของเขาก็ทำให้จักรวาลบิดเบี้ยวและพร่าเลือนไปทุกทิศทาง ทั้งยังมีรัศมีสว่างจ้าถึงขีดสุดปะทุออกมาจากร่างของเขา

ราวกับว่ากำลังจะมีดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในดินแดนเซียน!

ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ทั้งสิบของดินแดนเซียนพลันมืดดับไปเสียแปดดวง คล้ายไม่อาจ…เทียบรัศมีได้!

ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนจำนวนมากพูดไม่ออก ร่างของหวังเป่าเล่อก้าวข้ามสะพานที่สี่ไปแล้ว และเพียงก้าวเดียวเขาก็ก้าวข้ามระยะทางอันไร้ที่สิ้นสุดไปถึงสะพานที่ห้า

ร่างของเขาเปล่งรัศมีมากขึ้นขณะเดินไปยังปลายสะพานที่ห้าทีละก้าว

เมื่อเขาใกล้จะถึงปลายสะพานที่ห้า รัศมีบนร่างหวังเป่าเล่อก็ยิ่งพร่างพราย ดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแห่งเซียนอย่างชัดเจนแล้วขณะนี้ กระทั่งหวังเป่าเล่อไปถึงปลายสะพานที่ห้า ดินแดนเซียนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทันที

อสูรร้ายนับไม่ถ้วนพลันร้องคำราม ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนกู่ร้องอยู่ในใจ ดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดกำลังส่องแสงระยิบระยับสะเทือนแผ่นดิน!

“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา!” ดวงตาหวังโหม่วเปล่งพลังและกระซิบแผ่วเบา ความชื่นชมในตัวหวังเป่าเล่อมาถึงขีดสุด

“การสำรวจจิตใต้สำนึกผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้…ก็คือพิสูจน์เต๋า!”

…………………………….