หลังจากทำร้ายเฟิงอวิ๋นซิวด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวไปแล้ว หรงเหรินโบกมือและพูดว่า “การเล่นกับคนอย่างเจ้านับเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยแท้!”
“พวกเจ้า! เฝ้าดูนายน้อยของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าได้ให้เขาก้าวออกไปจากที่นี่แม้เพียงครึ่งก้าว!”
เฟิงอวิ๋นซิวตะคอกกล่าวออกมา “หรงเหริน เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”
หรงเหรินหันกลับมาย้อนถาม “นายน้อยเฟิง ท่านจะทรยศพระนางเพื่อตัวปลอมผู้หนึ่งหรือ?”
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวพลันหรี่เล็กลง หรงเหรินจึงยิ้มแล้วกล่าว “หึ หึ หึ!ข้าพูดล้อเล่น เจ้าจะไปทรยศพระนางได้อย่างไรเล่า?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หรงเหรินเจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี เฉียนซีมิใช่ตัวปลอม! นางก็คือนาง! แล้วอีกอย่าง ถ้าหากเจ้ากล้าทำร้ายนางละก็ ข้าจะต้องให้เจ้าได้ชดใช้ ข้าพูดได้ทำได้!”
หรงเหรินตะลึงงันเล็กน้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันอันงดงามคู่นั้นได้แผ่ซ่านประกายอันเย็นยะเยือกออกมา นั่นทำให้เขาไม่กล้าที่จะมองข้ามในคำพูดกล่าวของเฟิงอวิ๋นซิว
ไม่ว่าพลังความสามารถจะพัฒนาไปอย่างเชื่องช้าเพียงใดในพื้นที่อันต่ำต้อยนี้ แต่กับผู้ที่เป็นคนของตระกูลเฟิง เขานั้นไม่กล้าที่จะดูเบา
หรงเหรินแค่นยิ้มออกมาแล้วกล่าว “จะให้ข้าได้ชดใช้ หึ ข้าจะรอ!”
หลังก้าวออกจากโถงใหญ่ของเฟิงอวิ๋นซิว หรงเหรินก็ได้ออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งไป ถ้าหากว่ามู่เฉียนซียังไม่มาหลังจากนี้อีกสามวันข้าจะฆ่าคนผู้หนึ่ง! หลังจากผ่านไปหกวันชีวิตของมือซ้ายมือขวาของนางจะจบสิ้นและได้ไปเยือนปรโลกแน่นอน มาดูสิว่านางจะปรากฏตัวหรือไม่”
“ขอรับ!”
แกรก! เมื่อตอนที่มู่เฉียนซีได้ยินข่าวนี้เข้า นางก็ได้บีบถ้วยชาในมือเสียจนแตก
มู่เฉียนซีลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ตำหนักตงจี๋รังแกกันมากไปจริง ๆ พาข้าไปที่ห้องปรุงยา”
“ได้!”
“เตรียมสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาเอาไว้ให้พร้อม ยิ่งจำนวนมากเท่าไหร่ยิ่งดี”
“รับทราบ!”
“แล้วก็…”
หลังจากนี้อีกสามวันฝ่ายตรงข้ามก็จะฆ่าคน มู่เฉียนซีจึงได้เริ่มเตรียมการอย่างรวดเร็ว
ถึงต่อให้ต้องเสียสละไปอย่างหมดสิ้นก็จะต้องช่วยตัวออกมาให้ได้
หลังผ่านไปสามวัน ยอดฝีมือต่าง ๆ ของตำหนักตงจี๋ก็ได้ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืด บัดนี้มันได้กลายเป็นหลุมมังกรดอนถ้ำเสือไปเสียแล้ว
ในตอนนี้โม่จิ่นและจวินโม่ซีได้ถูกมัดเอาไว้บนหอสูงในตำหนักตงจี๋ ผู้คุ้มกันที่อยู่รอบด้านของพวกเขานั้นก็ยิ่งเข้มงวดอย่างที่สุด
จวินโม่ซีกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “แม้ว่าอยากจะให้สาวน้อยมาส่งข้าวให้ข้า แต่สถานการณ์ในตอนนี้ข้ายอมที่จะหิวตายเสียดีกว่า แล้วก็ขอร้องอย่าให้นางได้มาเลย”
โม่จิ่นกล่าวอย่างจนปัญญา “นั่นเป็นไปได้รึ? เจ้าไม่รู้จักนายท่านหรือยังไง?”
ก็เพราะว่ารู้จักนั่นแหละ ในตอนนี้จวินโม่ซีจึงยิ่งเป็นกังวลเข้าไปอีก
“นายท่าน!”
“สาวน้อยคนงาม!”
“ซีเอ๋อร์!”
“ผู้นำตระกูล!”
มู่เฉียนซีจะเข้าไปด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจะไปเผชิญหน้าตัวคนเดียวอีกด้วย ทุกคนจึงร้อนรนขึ้นมา
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าตัวคนเดียวไปดึงดูดความสนใจของพวกมัน ก่อนที่จะได้กระบี่มังกรเพลิงไปพวกมันจะไม่ลงมือฆ่าข้า! พวกเจ้าจู่โจมและเข้าช่วยเหลือตามแผนที่ข้าวางไว้!”
“ไม่ได้!” แต่ละปากต่างกล่าวออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ซิงเฉิน จื่อโยว จิ่วเยี่ยได้บอกพวกเจ้าไว้ใช่หรือไม่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามให้ฟังข้า?”
“ใช่!”
“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว! ห้ามขัดคำสั่ง!”
หลิงขมวดคิ้วแล้วกล่าว “รึว่าซีเอ๋อร์ก็จะออกคำสั่งกับอารองด้วย!”
มู่เฉีนซีดึงแขนของหลิงด้วยmท่าทางน่าสงสารแล้วกล่าว “อารอง ท่านก็ตอบรับข้าเถิด! แผนการของข้าไม่มีปัญหาอะไร อีกทั้งยังมีอาวุธวิญญาณที่ป้องกันได้อย่างแน่นอน จะมิได้รับบาดเจ็บหรอกอารอง…”
ด้วยการขอร้องเช่นนี้ของมู่เฉียนซี หลิงแทบจะไม่มีกำลังต่อต้านเลยแม้แต่น้อย แม้คิดที่จะไม่ตอบรับก็ไม่อาจกลั้นใจได้ลง!
เขาจับหัวของมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ซีเอ๋อร์จงอย่าได้เสี่ยงอันตรายอย่างเด็ดขาด!”
“ข้ารู้!”
พวกมู่อีจึงทำได้แต่เงียบงัน แม้ว่าจะไม่อยากตอบรับแต่ว่ามันเป็นคำสั่งของท่านผู้นำตระกูล มันคือทุกสิ่งอย่าง!
มู่เฉียนซีพุ่งไปทางตำหนักตงจี๋ ในตอนนี้พลังความสามารถของนางได้ร่วงดิ่งลงไปอยู่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง พลังในการต่อสู้นั้นไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ แต่ทว่านางยังมียาที่เอาไว้เพิ่มระดับพลังความสามารถเม็ดสุดท้ายอีกเม็ดหนึ่ง
หลังจากที่กินยาเม็ดนั้นเข้าไปแล้ว พลังความสามารถของมู่เฉียนซีก็ไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง
พลังของระดับมหาจักรพรรดิพลังหนึ่งได้มุ่งใกล้เมืองตงจี๋เข้ามา ไป๋อู๋ห่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย “ระดับมหาจักรพรรดิ รึว่าเด็กสาวนั้นบรรลุขั้นกลายเป็นระดับมหาจักรพรรดิแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร?”
หรงเหรินกล่าว “ถ้าหากว่าผู้มาเยือนมิใช่เจ้าของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เช่นนั้นก็ฆ่าผู้ที่มาขัดขวางนั่นเสีย”
เงาร่างสีม่วงเงาหนึ่งเข้าไปในตำหนักตงจี๋อย่างลื่นไหลไร้การขัดขวาง เมื่อเงาร่างสีม่วงอันสูงส่งปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และเมื่อหรงเหรินมองที่ใบหน้านั้น เขาก็เกือบที่จะคุกเข่าลงบนพื้นแล้วร้องตะโกนออกมาว่าถวายบังคมเสียแล้ว
ทว่าเสียงอันสดใสนั้นทำให้เขาได้สติขึ้นมา “ข้ามาแล้ว! สามารถปล่อยตัวคนได้แล้วกระมัง!”
หรงเหรินจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี ทั้งใบหน้า รูปร่าง ช่างเหมือนกันแท้จริงยิ่งนัก!
ทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนที่เหมือนกับพระนางเช่นนี้
แต่นอกจากเรื่องรูปลักษณ์แล้ว นางนั้นไม่มีอะไรเหมือนกับพระนางเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าก็ยังมีรัศมีอันสูงส่งที่ทำให้ผู้คนยอมก้มหัวอยู่เช่นเดิม
ไป๋อู๋ห่ายมองไปที่มู่เฉียนซี มุมปากของเขาได้ยกเป็นรอยยิ้มอันเย็นชา “มู่เฉียนซี เจ้ามาแล้วจริง ๆ”
“นายท่าน!”
“สาวน้อย!”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซีมาถึงแล้ว ไม่เพียงแต่มาแล้ว อีกทั้งยังมาเพียงตัวคนเดียวอีกด้วย พวกเขานั้นร้อนใจเสียจนแทบจะสลบไป
มู่เฉียนซีมองไปยังไป๋อู๋ห่ายแล้วกล่าว “จะปล่อยตัวหรือไม่ปล่อยกันแน่! หากเจ้าตำหนักไป๋คิดอยากที่จะแย่งชิงมหาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เทพก็เข้ามาแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งก็ได้แล้ว แต่กลับมาใช้วิธีการเช่นนี้ มิกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องน่าขันแก่คนทั้งใต้หล้ารึ?”
หรงเหรินกล่าว “เจ้ามาแล้วยังไม่พอ หากต้องการที่จะให้พวกเราปล่อยตัวคนก็นำกระบี่มังกรเพลิงออกมาเถอะ!”
“นั่นคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรอกหรือ? รีบส่งมาเร็วเข้า…”
ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ เสียงที่แค่นออกมาอย่างเย็นชาก็ลอยเข้ามา “มังกรเพลิงสังหาร!”
มังกรเพลิงสีแดงเข้มได้ระเบิดตัวพุ่งไปทางเขา
ในตอนนี้พลังความสามารถของมู่เฉียนซีคือมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง อีกทั้งกระบี่มังกรเพลิงในตอนนี้ก็มีวิญญาณกระบี่แล้ว แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นที่เก้าเต็มขั้น นางก็สามารถที่จะสู้ได้
มังกรเพลิงพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน สีหน้าของไป๋อู๋ห่ายหม่นหมองลงและรีบหลบหลีกไปอย่างร้อนรน
หรงเหรินออกคำสั่ง “จับตัวเด็กสาวนี่ให้ข้า!”
“เสี่ยวหง อู๋ตี้!”
มู่เฉียนซีได้อัญเชิญพวกมันทั้งสองออกมาแล้ว แต่มันก็ได้ถูกยอดฝีมือเต็มขั้นสิบกว่าคนล้อมเอาไว้ มีพวกมันสองตัวนั้นยังไม่พอ!
ในตอนนี้เองบนท้องนภาก็พลันมืดมิดขึ้นมา!
มิใช่ว่าทิวาราตรีมาเยือนหรือห่าฝนกำลังจะมาถึง แต่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภานานาชนิดที่อยู่เต็มผืนฟ้า!
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาเหล่านี้ทำในสิ่งสุดท้าย! พวกมันได้โปรยทิ้งห่อโอสถลงมา!
ฟิ้ว!
ในห่อโอสถเหล่านั้นล้วนแต่บรรจุยาพิษเอาไว้ แล้วมันก็ได้โปรยไปทั่วทั้งตำหนักตงจี๋จนทั้งตำหนักถูกผงพิษสีดำปกคลุมเอาไว้ และมันได้รบกวนวิสัยทัศน์การมองเห็นของทุกคนไป
โม่จิ่นกล่าวด้วยความตกใจว่า “นี่ต้องเป็นฝีมือนายท่านแน่นอน!”
มุมปากจวินโม่ซีกระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “ทั่วทั้งใต้หล้านี้ นอกจากสาวน้อยนั่นแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้อีกเล่า!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาพิษเหล่านี้มันต้องใช้สมุนไพรกับเงินทองไปเท่าไหร่ ต่อให้เจ้าขายตัวถวายชีวิตให้นางทั้งชีวิตก็ยังไม่พอหรอก”
นี่เป็นความสิ้นเปลืองมากเสียจริงเลย ผงพิษมากมายเต็มไปทั่วเช่นนี้ ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ คาดว่าไม่มีผู้ใดกล้าสิ้นเปลืองได้ถึงเพียงนี้แล้ว
ในตอนนี้ไป๋อู๋ห่ายก็ตกตะลึงขึ้นแล้ว แม้แต่หรงเหรินที่ลงมาจากเบื้องบนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะใช้ผงพิษเหล่านี้ได้สิ้นเปลืองเช่นนี้ นี่มัน…” นี่มันไม่ต่างอะไรกับการเอาสมุนไพรพิษมาใช้ราวกับเป็นเม็ดทรายเลย!
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ท่านหรง นี่ไม่ใช่เวลาจะมาตกตะลึงนะ ท่านรีบโคจรพลังวิญญาณป้องกันพิษนี่จะดีกว่า! พิษของสาวน้อยผู้นี้มันร้ายแรงนัก!”
.