บทที่ 1784 ค่ายกลใหญ่เสียการควบคุม

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อได้ยินอวี้หลัวช่ากล่าวเช่นนี้ คนที่เหลือก็ตกใจ ศีลแปดก็ยิ่งโวยวายใส่นาง “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ที่หันหลังให้กลับกล่าวเสียงต่ำ “ว่ามา!”

อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงดัง “ต่อให้ข้ากับศีลแปดจะเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ แต่ข้าก็ปล่อยให้คนอื่นสมปรารถนาไม่ได้เหมือนกัน ข้าต้องการให้พี่ใหญ่รับประกันกับข้าหนึ่งเรื่อง ว่าต่อไปนี้ศีลแปดห้ามแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก และห้ามแตะต้องผู้หญิงคนอื่นด้วย!”

หลายคนที่อยู่ตรงนี้พูดไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องการการรับประกันเรื่องนี้ ตามหลักแล้วศีลแปดเป็นคนออกบวช เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงาน ส่วนเรื่องแตกต้องผู้หญิงคนอื่น ทุกคนก็ไม่สะดวกจะรับประกันแล้ว อย่างไรเสียศีลแปดก็ทำเรื่องพรรค์นี้มาแล้ว

ศีลแปดร้อนรนจนกระหืดกระหอบ “นี่มันตรรกะอะไรของเจ้า เจ้าไปหาความสำราญกับคนอื่นได้ มีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับข้า?”

อวี้หลัวช่าตอบว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า จะไม่ถามไถ่ถึงเหตุผลในอดีต เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็รับประกับกับเจ้าได้เลย ตั้งแต่นี้ไปข้าจะรักนวลสงวนตัวเพื่อเจ้า เงื่อนไขนี้เจ้าก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน”

“อวี้หลัวช่า เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!” ศีลแปดโมโห

“เจ้าคือพ่อของลูกข้า ส่วนข้าก็เป็นแม่ของเขา ข้ามีสิทธิ์เอ่ยเงื่อนไขนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอำนาจตำแหน่งหรือวรยุทธ์ เจ้าก็ล้วนสู้ข้าไม่ได้ สิ่งที่ข้ากำลังจะจ่ายก็ยิ่งใหญ่กว่าเจ้าเยอะ เจ้าอย่ารังเกียจที่ข้าทำเกินไป เพราะเจ้าเองที่ไร้จิตสำนึก ถ้าอยากจะให้เจ้ามีจิตสำนึกเองก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ข้าทำได้เพียงบังคับ!” อวี้หลัวช่ากล่าว

เหมียวอี้ที่หันหลังให้กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเจ้าสองคน ข้าไม่มีทางรับประกันอะไรได้ และจะไม่รับประกันด้วย!”

“เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็สังหารข้าเสียเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปล่อยเอาไว้สักคน!” นางจ้องศีลแปดพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะมีลูกให้ใครโดยไร้เหตุผล!” อวี้หลัวช่ากล่าว

ปีศาจโลหิตกับไต้ซือศีลเจ็ดมองศีลแปดอย่างตะลึงงัน ศีลแปดเรียกได้ว่าหัวร้อนแล้ว ถลึงตาจ้องอวี้หลัวช่า

เหมียวอี้รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นศีลแปดให้คำตอบ ก็ค่อยๆ ยื่นมือไปคว้าด้ามกระบี่ที่ปักอยู่บนพื้น

ศีลแปดเหล่ตามองแวบหนึ่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง สุดท้ายก็โบกมือโวยวายเหมือนใกล้ประสาทเสีย “ก็ได้ ก็ได้ ข้ารับปากก็ได้”

อวี้หลัวช่าตาเป็นประกาย จ้องศีลแปดพร้อมบอกว่า “ดี! ข้าก็รับประกันเหมือนกัน ว่าต่อจากนี้ไปจะรักนวลสงวนตัวเพื่อเจ้า ไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ไม่ว่าเจ้าจะไปแปดเปื้อนผู้หญิงคนไหน ถ้าข้าจับได้คนหนึ่งก็ฆ่าทิ้งคนหนึ่ง ไม่ปล่อยไว้แน่นอน!”

ศีลแปดแสยะยิ้ม แต่กลับไม่ขัดขืน ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้วว่าที่อวี้หลัวช่าบอกว่าต้องขอความร่วมมือจากเขาหมายถึงเรื่องอะไร สงสัยจะเป็นเรื่องนี้

เมื่ออวี้หลัวช่าได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว นางก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่สนใจเลือดสดที่ไหลบนคอ นางยื่นมือไปรับเด็กที่กำลังร้องไห้ไม่หยุดจากมือไต้ซือศีลเจ็ดราวกับทนรอไม่ไหว แล้วปะเลาะพลางรีบเดินเข้าไปป้อนนมในบ้าน

เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ไปก่อน หลายคนที่อยู่ตรงนั้นโล่งใจไปหนึ่งเปราะ

มีเพียงศีลแปดที่ยืนก้มหน้าที่ดีใจไม่ออกเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขที่รับปากอวี้หลัวช่า ในสายตาของเขา สาเหตุที่อวี้หลัวช่าเสนอเงื่อนไขนี้ในตอนนี้ ก็เหมือนจะทำเพราะหวังให้เหมียวอี้สงบใจมากกว่า นางทำเพื่อคุมเหมียวอี้ให้สงบชั่วคราว และเนื่องด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เขารู้ชัดว่าการที่เหมียวอี้ปล่อยอวี้หลัวช่าไปต้องแบกรับความเสี่ยงมากขนาดไหน ก็เป็นอย่างที่พี่ใหญ่บอก คนที่อยู่ในระดับอวี้หลัวช่า มีหรือที่จะปล่อยให้คนต่ำต้อยพวกนี้มาบีบได้ง่ายๆ การปิดบังสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปต่อเบื้องบนต่างหากที่เป็นภัยคุกคามใหญ่สุดของนาง พี่ใหญ่กำลังนำชีวิตของทุกคนในครอบครัวมาเดิมพันเพราะบาปกรรมที่ศีลแปดก่อ พี่ใหญ่ที่ทำได้ถึงขั้นนี้ ในฐานะน้องชายก็มีแต่จะละอายใจอย่างสุดซึ้ง

“พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ!” ศีลแปดยืนก้มหน้าข้างหลังเหมียวอี้

“ไสหัวไป!” เหมียวอี้ตะคอก ไม่สนใจเขาอีก ดึงกระบี่เดินช้าๆ ไปที่ริมทะเลสาบ แล้วยืนค้ำด้ามกระบี่พร้อมหันหน้าหาคลื่นสีเขียวมรกต

ศีลแปดประนมมือโค้งตัว แล้วถอยออกไปช้าๆ

ปีศาจโลหิตเห็นแล้วทอดถอนใจไม่หยุด ไต้ซือศีลเจ็ดมองเงาหลังที่ดูค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวของเหมียวอี้แล้วประนมมือกล่าวอีกครั้ง “อามิตตาพุทธ ประเสริฐแท้ ประเสริฐแท้!”

เหมียวอี้ที่ทอดสายตามองไปไกลรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งกว่าศีลแปด กังวลว่าอวี้หลัวช่าจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งหรือเปล่าน่ะเหรอ?

ไม่ใช่! แต่เป็นเพราะนึกเสียใจอย่างลึกซึ้งที่ใช้ประโยชน์ศีลแปด

ตั้งแต่รู้ว่าอวี้หลัวช่าตั้งครรภ์ เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองทำใจลงมือไม่ได้ ถ้าเขาฆ่าอวี้หลัวช่าจริงๆ ในภายหลังจะเผชิญหน้ากับศีลแปดและลูกได้อย่างไร?

ตั้งแต่อวี้หลัวช่าตั้งครรภ์ เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าอวี้หลัวช่าแล้ว เขาเตรียมการอีกอย่างเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเอง

เขาไม่กลัวว่าถึงตอนนั้นแล้วอวี้หลัวช่าจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง เพราะในมือเขายังมีไพ่ลับอีกใบ สมบัติลับสำนักหนานอู๋!

หากจบเรื่องแล้วอวี้หลัวช่าจะข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้ง เขาก็จะโยนไพ่ลับใบนี้ออกไปทันที จะบอกว่าตัวเองรู้เรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ ถ้าอวี้หลัวช่าไม่เชื่อ เขาก็สามารถบรรยายสภาพภายในห้องเก็บสมบัติลับใต้ดินได้ คาดว่าชาวพุทธคงแยกแยะออกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่

อวี้หลัวช่าจ้องอยากได้สมบัติลับ นางไม่ฆ่าเขาก่อนจะได้สมบัติลับแน่นอน ตราบใดที่สามารถถ่วงเวลาไม่ให้อวี้หลัวช่าเปิดโปงเรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้ นั่นต่างหากคือจุดอ่อนที่ถึงตายของอวี้หลัวช่าอย่างแท้จริง เพราะการปิดบังเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือประมุขพุทธะก็ล้วนไม่ปล่อยนางไปแน่นอน เขาสามารถใช้เรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋มาควบคุมนางได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็สามารถใช้ควบคุมนางได้เป็นครั้งที่สองเช่นกัน

ทว่าการใช้สมบัติลับมาปกป้องตัวเองก็เป็นเหมือนดาบสองคม สามารถทำร้ายอวี้หลัวช่าได้และทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน ถ้ายอมสละตำแหน่งพุทธะเพื่อให้ได้สมบัติลับอย่างที่นางบอกจริงๆ เช่นนั้นจุดจบของเหมียวอี้จะต้องอนาถแน่นอน ดังนั้นถ้าไม่ถึงที่สุดเขาก็จะไม่โยนไพ่ลับนี้ออกมา

เขาเองก็ไม่กล้าเผยไพ่ลับใบนี้ง่ายๆ เช่นกัน หากอวี้หลัวช่าจริงใจ ไพ่ลับใบนี้ก็มีแรงดึงดูดต่ออวี้หลัวช่ามากเกินไป ไม่แน่ว่าอาจจะยั่วยวนใจอันทะเยอะทะยานของนางก็ได้ นั่นต่างหากที่เรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน

การกระทำต่างๆ ของเขาเมื่อครู่นี้คือการทดสอบอวี้หลัวช่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาอยากจะเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี ถ้าสามารถดึงอวี้หลัวช่ามาเป็นพวกได้ เขาก็จะได้แรงสนับสนุนที่ใหญ่มากจากฝั่งแดนสุขาวดี อวี้หลัวช่าก็คือผู้ช่วยลับที่สำคัญของเขา

เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ประโยชน์ศีลแปด เดิมทีเขาอยากจะบอกศีลแปดให้ชัดเจน เพื่อนจะได้รับการช่วยเหลือจากศีลแปด แต่การจะให้ศีลแปดทำเรื่องพรรค์นี้ เขาเองก็เอ่ยปากพูดไม่ออก บวกกับศีลแปดเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ นิสัยฉาบฉวยเกินไป แม้จะยืนหยัดอยู่ฝ่ายเขา แต่ความสามารถก็ยังไม่มากพอที่จะทำงานใหญ่!

เขาเองก็กลัวว่าศีลแปดจะรู้ว่าเขากำลังหลอกใช้ กลัวว่าจะทิ้งหนามแหลมไว้ในใจศีลแปด กลัวจะทำลายความรู้สึกระหว่างพี่น้อง

ดังนั้นเขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ไม่มีทางเอ่ยกับใคร รวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย!

ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาถึงได้รู้สึกเศร้าสลด เขาไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีทางนำเรื่องแบบนี้มาใช้ประโยชน์เด็ดขาด

สุดท้ายช่วงเวลาที่กังวลที่สุดก็มาถึงแล้ว

นอกเรือนไม้ยกพื้นสูงริมทะเลสาบ คนหลายคนกำลังรวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเขาแทบจะจ้องอวี้หลัวช่าไม่ละสายตา

จนกระทั่งตอนนี้ คนอื่นๆ ถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งที่เหมียวอี้กังวลก่อนหน้านี้มีความสำคัญขนาดไหน ถ้าอวี้หลัวช่าเปลี่ยนใจขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็จะตายหมดภายในชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้ไม่มีใครรอดจากเงื้อมมืออวี้หลัวช่าได้ ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกวิกฤต

แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังนึกเสียใจทีหลังนิดหน่อย เพราะเขากำลังเอาชีวิตคนในครอบครัวมาเดิมพัน ถ้าตัวเองมองผิดไป ก่อนหน้านี้อวี้หลัวช่าเสแสร้งมาตลอด ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิดถึง เขานึกเสียใจนิดหน่อยที่ตอนแรกไม่ได้ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ การกำจัดอวี้หลัวช่าทิ้งโดยตรงต่างหากถึงจะเป็นวิธีการที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ที่สุด

ตอนนี้คำว่า ‘ข้ารู้จักสถานที่ซ่อนสมบัติลับ’ อมอยู่ในปากเหมียวอี้ เตรียมจะพูดออกมาได้ทุกเมื่อ

อวี้หลัวช่ากลับใจเย็นมาก สายตานางจ้องเพียงทารกที่กินนมอิ่มและเพิ่งหลับไป

ครืน!

ระหว่างฟ้าดินมีเสียงดังครืนครานประหลาดพักหนึ่ง แผ่นดินสั่นไหว ทำให้คนยืนได้ไม่มั่นคง ผิวทะเลสาบกระเพื่อมขึ้นลงจนเกิดฟองอากาศจำนวนมาก ทุกที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นดิน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทั้งดาวเคราะห์เกิดฝุ่นดินตลบอบอวล สิงห์สาราสัตว์ตกใจจนหนีกระเจิดกระเจิง

ชั่วพริบตานี้ทุกคนเหมือนจะรู้สึกได้ทันทีว่าผนึกวรยุทธ์บนตัวหายไปอย่างฉับพลัน พลังอิทธิฤทธิ์ที่เต็มเปี่ยมจนล้นออกจากต้นกำเนิดพลังท่วมท้นไปทั่วร้างกายอีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่คนที่ไม่เคยสัมผัสจริงยากจะรับรู้ได้

อวี้หลัวช่าที่โซเซไปตามแผ่นดินไหวพลันยืนนิ่งอย่างมั่นคง นางหลับตาสองข้าง บนใบหน้าเริ่มปรากฏความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองแบบนั้นทำให้สีหน้านางดูเย็นชาเล็กน้อย เป็นความเย็นชาของพุทธะหน้าหยกผู้สูงส่ง ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วหวาดระแวงกลัว

โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้เด็กตกใจจนร้องไห้ เด็กน้อยเริ่มร้องไห้ “อุแว้ๆ” แล้ว

อวี้หลัวช่าที่ลืมตาขึ้นเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว นางอุ้มเด็กพลางใช้มือตบก้นเบาๆ ปากก็พูดเบาๆ ว่า “เด็กดี”

ในขณะที่แผ่นดินไหว เรือนไม้ยกพื้นสูงริมทะเลสาบก็ถล่มแล้ว ภัยคุกคามจากอวี้หลัวช่าที่พวกเขากังวลไม่ได้ปรากฏให้เห็น

ตอนนี้ยังไม่มีภัย แต่ใครจะรับประกันได้ว่าตอนหลังอวี้หลัวช่าจะไม่แปรพักตร์ ที่สำคัญคืออวี้หลัวช่าไม่เอ่ยถึงเงื่อนไขที่จะควบคุมนางอีก มาถึงตอนนี้แล้ว อำนาจตัดสินใจทุกอย่างล้วนอยู่ในมืออวี้หลัวช่า ความเป็นความตายของทุกคนล้วนอยู่ในมือนาง ใครกล้าเอ่ยคำพูดแบบนั้นอีกก็ตลกแล้ว

“ศีลแปด เรื่องที่เจ้ารับปากข้าก่อนหน้านี้ เจ้าจริงใจหรือเปล่า?” อวี้หลัวช่าที่กำลังโอ๋เด็กพลันเอ่ยถามเสียงเรียบ

แม้ตอนนี้นางจะมีสีหน้าอ่อนโยนเมตตาต่อลูกชาย แต่ตอนที่กล่าวถามประโยคนี้กลับทำให้ทุกคนรู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว

ในที่สุดศีลแปดก็ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของผู้หญิงคนนี้แล้ว ในใจเขานึกเสียใจทีหลังที่ไม่เชื่อพี่ใหญ่และฆ่าผู้หญิงคนนี้ให้ตายตั้งแต่แรก ตอนนี้มาพูดอะไรก็สายไปแล้ว

ศีลแปดเป็นคนที่ค่อนข้างปรับตัวกับสถานการณ์เก่งมาตลอด กล่าวย้ำว่า “แน่นอน! ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ!”

อวี้หลัวช่าจึงเงยหน้าพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ได้! ข้าจะจำไว้ เจ้าอย่าหลอกข้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาคนเดียว ข้าพูดได้ก็ทำได้!”

ศีลแปดพยักหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้หลอกเจ้า อาตมาไม่หลอกเจ้าเด็ดขาด”

ไต้ซือศีลเจ็ดรู้จักลูกศิษย์ของตัวเองดีที่สุด เขาแอบทอดถอนใจ หวังเพียงว่าศีลแปดจะรักษาคำพูด ต่อไปนี้ขออย่าให้เกิดความขัดแย้งอะไรอีก เขาประนมมือ “ทุกคน ต้องรีบไปให้เร็วที่สุด ตอนค่ายกลใหญ่เสียการควบคุมเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ถ้าช้ากว่านี้ก็จะไปไม่ได้แล้ว”

อวี้หลัวช่าจึงบอกว่า “ท่านอาจารย์ ทุกคนไปที่ดาวเคราะห์ที่ศีลแปดบอกสักเที่ยวก่อนเถอะ ดูว่าเหมาะสมจะให้ลูกข้าอยู่อาศัยหรือไม่”

ศีลเจ็ดยิ้มเจื่อน ตอนนี้เหมือนจะไม่มีใครปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ได้ เขาทำได้เพียงพยักหน้า

อวี้หลัวช่าโบกมือบังเด็กในอ้อมกอด นำเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วคนที่เหลือก็ทยอยตามไป

ไม่นานพวกเขาก็หลุดออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว ตอนอยู่ในดาราจักรแล้วมองลงมา ทั้งดาวเคราะห์ก็เหมือนจะถูกเมฆหมอกคลุม

ศีลแปดแยะแยกทิศทางแล้วนำทางไป ส่วนคนที่เหลือก็เหาะตาม

เป็นอย่างที่ศีลแปดบอก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาว ทุกคนก็เห็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตแล้ว จากนั้นก็ทยอยกันฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไป

หลังจากเข้ามาในดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว ก็เปลี่ยนให้อวี้หลัวช่าเหาะนำหน้า นางเริ่มใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สำรวจสภาพพื้นที่ด้านล่าง

……………………