จักรวาลผืนนั้นแยกตัวเป็นเอกเทศจากทุกสิ่ง เนิ่นนานมาแล้ว…ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้ราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้ามของมหาจักรวาล
แต่ในตอนนี้หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตรงนั้น…มีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่สองอย่าง ขณะนิ่งเงียบ เขาหลับตาลง ก่อนที่ลางสังหรณ์อันแรงกล้าจะผุดขึ้นในใจราวกับขอเพียงเขาก้าวไปทางนั้นเพียงก้าวเดียว ทั้งกายและจิตวิญญาณก็จะหลอมรวมเข้าไปในนั้น
การหลอมรวมเช่นนี้คือการผสานอย่างสมบูรณ์คล้ายว่าหากเดินไปเช่นนี้ เขาจะกลายเป็น…ส่วนหนึ่งของจักรวาลผืนนั้น
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความรู้สึกคุ้นเคยทั้งสองเหมือนกับพิกัดที่แม่นยำที่สุดในมหาจักรวาล หนึ่งมาจาก…ร่างต้นแบบของเขา อีกหนึ่งมาจาก…โลกแห่งศิลาที่ถูกเขาผสานเข้ากับตัวเอง
โลกแห่งศิลาเดิมถูกเรียกว่า…จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น
มันคือหนึ่งในแสนดวงจิตเทพของมหาเทพที่แปลงมา ดังนั้นจะโลกแห่งศิลาก็ดี หรือร่างแยกมหาเทพในนั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมหาเทพทั้งสิ้น
ตามแผนเดิมของมหาเทพ ดวงจิตเทพมหาเทพที่ถือกำเนิดขึ้นภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แปลงมาจะผสานเข้ากับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นและกลายเป็นสิ่งดำรงอยู่ที่เป็นปริศนา ก่อนจะกลับไปยังมิติเต๋าต้นกำเนิดและหลอมรวมเข้ากับร่างต้นแบบของมหาเทพอย่างแท้จริง
นี่คือกุญแจสำคัญในการฟื้นตัวของมหาเทพ
ทว่าหวังเป่าเล่อกลายเป็นเหตุบังเอิญ กระนั้น…ไม่ว่าอย่างไรระหว่างเขากับมหาเทพก็ยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การเชื่อมโยงนี้…ทำให้ยากที่จะระบุตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อได้
เขาไม่ใช่แค่ดวงจิตเทพหนึ่งของไม้สีดำ แต่ยัง…เป็นส่วนหนึ่งของมหาเทพอย่างแท้จริงด้วย
ผ่านไปนานหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนสะพานที่สิบก็ลืมตาขึ้น เขาล้มเลิกความคิดที่จะก้าวต่อ เพราะหากเข้าไปเช่นนี้มันจะเปิดเผยเกินไป เกรงว่าทันทีที่เข้าไป…ตนอาจไปกระตุ้นความสนใจตามสัญชาตญาณของมหาเทพเข้า
เหมือนกับแสงไฟที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในคืนอันมืดมิด มันสะดุดตาเกินไป
ความเด่นชัดเช่นนี้ไม่ดีต่อหวังเป่าเล่อ กลับกันมันจะยิ่งทำให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายขึ้นด้วย…แม้มหาเทพจะหลับใหล แต่ถึงอย่างไรสัญชาตญาณก็ยังอยู่ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าหลังจากตนเข้าไปอย่างอวดเบ่งเช่นนี้จะเป็นการกระตุ้นกลไกบางอย่างทำให้สัญชาตญาณของเขาออกมากำจัดความโกลาหล กลืนกินแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างของตนหรือไม่
ดังนั้น…วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือเข้าไปในมิติเต๋าต้นกำเนิดอย่างลับๆ
คิดถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็ก้มหน้าลง ร่างที่ยืนอยู่บนสะพานที่สิบพลันพร่าเลือนในฉับพลัน แต่ขณะที่พร่าเลือนนั่นเอง ร่างของเขาก็ค่อยๆ มาปรากฏตัวตรงหน้าท่านพ่อหวัง หวังอีอีและซือถูข้างล่างสะพานที่หนึ่ง
พร่าเลือนและปรากฏกายเกิดขึ้นพร้อมกันเหมือนกับมือสองข้าง ข้างหนึ่งถือยางลบ ข้างหนึ่งถือพู่กัน แล้วลงมืออย่างพร้อมเพรียง
ภาพนี้ดูไม่น่าประหลาดใจขนาดนั้น แต่ความจริงแล้วเมื่อมองไปทั่วทั้งมหาจักรวาล น้อยคนนักที่จะทำได้ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เต๋าหลายแบบ ทั้งความว่างเปล่า เวลา ชีวิตและความตาย รวมถึงการสำแดงเต๋าทั้งหกประเภท และแต่ละประเภทล้วนต้องมีพลังแห่งต้นกำเนิด
การใช้ทุกเต๋าอาจเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่ายและสามารถทำได้สำเร็จ ทว่ามีเพียง…ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพลังขั้นที่ห้าเท่านั้นที่จะทำได้สบายๆ
ขั้นที่สี่ควบคุมต้นกำเนิดเต๋าหนึ่งเต๋า
ขั้นที่ห้าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลสามารถเรียกใช้
เช่นนี้เมื่อร่างของหวังเป่าเล่อหายไปจากสะพานที่สิบอย่างสมบูรณ์ ร่างของเขาล่างสะพานที่หนึ่งก็ปรากฏตัว เขาหายใจเข้าลึกๆ ในพริบตาที่ปรากฏกายก็หันไปโค้งคำนับให้ท่านพ่อหวังทันที
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
หวังอีอีดวงตาวูบไหวและต้องการจะเอ่ยบางอย่าง แต่เห็นบิดาตนและท่านลุงที่อยู่ข้างๆ จึงไม่ได้กล่าวอะไร ด้านซือถูก็กำลังกวาดตามองหวังเป่าเล่อเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะหันไปมองหวังอีอี แล้วกระแอมหนึ่งทีและไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน
ฝ่ายท่านพ่อหวังก็ยังสีหน้าสงบเหมือนอย่างเคย สายตาจับจ้องทั่วร่างหวังเป่าเล่อราวกับจะมองให้ทะลุทั้งนอกและใน
หวังเป่าเล่อตกใจ แต่ไม่นานก็สงบลงและไม่พยายามหลบเลี่ยงสายตาอีกฝ่าย
ไม่นานท่านพ่อหวังก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“จะไปเมื่อใด”
คำถามนี้กะทันหันมากแต่หวังเป่าเล่อก็เข้าใจได้ว่าเขากำลังถามตัวเองว่าจะไปมิติเต๋าต้นกำเนิดเมื่อไร
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“วางแผนว่าจะไปในเร็ววันนี้”
“ไปอย่างไร” ท่านพ่อหวังเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้างกายผู้เยาว์มีสหายอยู่คนหนึ่ง ดูแล้วตอนนี้คงจะเป็นขั้นที่ห้าส่งออกมาจากในมิติเต๋าต้นกำเนิด ดังนั้นบนร่างของเขาจะต้องมีร่องรอยการกลับไป ผู้เยาว์น่าจะตามร่องรอยนี้ไปได้” หวังเป่าเล่อเอ่ยช้าๆ โดยไม่ปิดบัง
“วิธีนี้ไม่ปลอดภัย” ท่านพ่อหวังส่ายหน้า หลังจากไตร่ตรองแล้ว เขาก็สะบัดมือขวา ทันใดนั้นแผ่นหยกสีฟ้าก็หลุดออกมาจากความว่างเปล่า เขาชี้ให้มันตรงไปที่หวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อคว้าไว้ ก่อนจะมองผู้อาวุโส
“วิธีนี้ใช้ความฝันเข้าสู่เต๋า ผู้ฝึกตนสามารถทำให้ความฝันของตนเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง เหมาะแก่การเดินทางไปในที่ลับตาและเหมาะกับการซ่อนตัว”
“คนผู้นั้นในมิติเต๋าต้นกำเนิดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคแรกของมหาจักรวาล เมื่อเทียบกับเขาแล้ว พวกเรา…ล้วนแต่เป็นผู้ที่มาทีหลัง”
“พวกข้าบรรลุเต๋าครั้งแรก เขากำลังหลับใหลและตอนนี้เขาก็ยังหลับใหลอยู่ ข้าไม่เคยไปในที่ที่เขาอยู่เลย”
“และระหว่างเจ้ากับเขาก็มีเหตุผลต้นกรรม เหตุผลนี้และต้นกรรมนี้ไม่มีประโยชน์ที่คนอื่นจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะนี่คือเรื่องของเจ้า คือเต๋าของเจ้า เจ้าต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง”
“ถ้าสำเร็จ เจ้าจะไร้พันธนาการนับแต่นี้ไป” ท่านพ่อหวังกล่าวจบก็ลุกขึ้นหมุนตัวเดินจากไป ซือถูหันไปยิ้มให้หวังเป่าเล่อและกำลังจะเอ่ยบางอย่างบ้าง แต่เสียงของหวังโหม่วก็เอ่ยมาจากที่ไกลๆ
“ซือถู เหล้าอุ่นแล้ว หากกลับไปช้าจะเสียรสชาติ”
ซือถูได้ยินก็หัวเราะดังลั่น ก่อนจะเดินนำหน้าหวังโหม่วออกไป
ด้านล่างสะพานแห่งแรกในตอนนี้เหลือเพียงหวังเป่าเล่อกับ…หวังอีอี
“เป่าเล่อ…” หวังอีอีเอ่ยเสียงเบา
“แม่นางน้อย เดินเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย ดีไหม” หวังเป่าเล่อส่งยิ้มให้หวังอีอี นางจ้องมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มแล้วพยักหน้า
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าอยากไปหา…ศิษย์พี่สักหน่อย”
“ข้าจะไปกับเจ้า”
เวลานี้พระอาทิตย์กำลังตกดิน เมื่อสะพานสู่สวรรค์กลับมาสงบดังเดิม ทุกชีวิตบนดินแดนเซียนก็ค่อยๆ ละสายตาไป แม้จิตใจจะยังคงปั่นป่วนอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็รู้ว่าการก้าวสู่สวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
และข้างล่างสะพานแห่งแรกที่พวกเขามองไม่เห็นนั้น เวลานี้ร่างของหวังเป่าเล่อและหวังอีอีค่อยๆ เดินไกลออกไปท่ามกลางแสงตะวันที่หลงเหลืออยู่คล้ายกับภาพวาดอันงดงาม
แสงระเรื่อสีทองทำให้ภาพวาดนี้อบอุ่นอย่างยิ่ง ณ เวลานี้สะพานสู่สวรรค์อันเก่าแก่ก็ดูเหมือนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของฉากหลัง
แม้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ใกล้กันมากเกินไปเหมือนกับมิตรภาพแท้จริง หากแต่เมื่อเดินไกลออกไป เงาในแสงสายัณห์ก็ยืดยาวออก ราวกับกำลัง…เชื่อมเข้าด้วยกัน
ไกลออกไปช้าๆ
…………………………