บทที่ 558.2 เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

“มีใจที่อยากช่วงชิงชัยชนะเอาชีวิตรอด ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องทำตัวเป็นคนบุ่มบ่ามที่ไม่รู้จักหนักเบา ร่างถอยทว่าปณิธานหมัดเพิ่มทะยาน ก็ไม่ถือว่าถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว”

หลี่เอ้อร์ผงกศีรษะ พูดต่อไปว่า “มนุษย์ธรรมดา หากชีวิตปกติอยู่ใกล้กับมีด ก็ย่อมไม่กลัวกระบองกระบี่ เป็นเหตุให้ยามที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขัดเกลามหามรรคาจึงต้องไปประลองฝีมือกับคนรุ่นเดียวกันบ่อยๆ หรือไม่ก็ไปเยือนสนามรบ ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวรับมือกับศัตรูนับสิบ ฝ่าวงล้อมดาบทวนกระบี่หอกนับร้อยออกไปให้ได้ นอกจากตัวบุคคลแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คืออาวุธที่พวกเขาพกพามาด้วย สิ่งที่ฝึกฝนก็คือดวงตาหนึ่งคู่ที่มองเส้นทางสี่ด้าน หูฟังแปดทิศ และยิ่งเพื่อตามหาจิตบู๊ดวงหนึ่งให้เจอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็กล้าออกหมัดใส่”

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “หากยังไม่ได้เรียนวรยุทธอย่างแท้จริงก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรคมาก่อนแล้ว นี่ไม่เพียงแต่ต้องให้ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาเรือนกาย หล่อหลอมกระดูกเส้นเอ็นให้แข็งแกร่งทนทาน ก็ยังหวังด้วยว่ายามที่เจอกับคนที่มีฝีมือแตกต่างกันอย่างชัดเจน จะไม่เกิดใจหวาดกลัว แต่หากเรียนวิชาโจมตีสังหารคนได้สำเร็จแล้ว แต่กลับจมจ่อมอยู่กับมัน สักวันหนึ่งมันย่อมย้อนกลับมาเป็นภาระให้ตัวเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ออกหมัดสูง”

แล้วก็พูดเสริมอย่างรวดเร็วอีกประโยคว่า “ไม่ออกหมัดง่ายๆ”

หลี่เอ้อร์ถึงได้หยุดมือ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่คำกล่าวว่า ‘ไม่ออกหมัดสูง’ ของเฉินผิงอัน ก็คงต้องกินหมัดที่อย่างน้อยต้องมีพละกำลังเริ่มต้นที่ขอบเขตสิบเน้นๆ เต็มๆ อีกหนึ่งหมัด

ฝึกหมัดฝึกวรยุทธก็คือการเผชิญกับความเจ็บปวดทรมาน หากคิดแค่ว่าถ้าไม่ต้องออกหมัดได้ก็จะไม่ออกหมัด ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไร

หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ที่เดิม ลมหายใจเป็นปกติ เขายื่นมือข้างซ้ายออกมา ใช้มือข้างขวาตบข้อมือซ้าย ท่อนแขนช่วงล่าง ข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อทีละจุดเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “เส้นเอ็นและกระดูกของคนเหมือนรากภูเขาเส้นทางมังกร กล้ามเนื้อแต่ละจุดก็เหมือนกลุ่มภูเขาที่รวมตัวกัน ขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก หล่อหลอมเรือนกาย สิ่งที่ขัดเกลาก็คือขอบเขตเล็กละเอียดทุกๆ ขอบเขต เอาทุกจุดที่เล็กละเอียดอย่างถึงที่สุดซึ่งมีมากนับไม่ถ้วนมาขัดเกลาให้ได้ถึงจุดสูงสุด จากนั้นก็สะสมเพิ่มไปโดยที่ไม่ขัดแย้งกันเอง หนึ่งหมัดปล่อยไป ประตูเมืองไม่อยากเปิดก็ต้องเปิด ขุนเขาไม่ปริแตกก็ต้องปริแตก!”

หลี่เอ้อร์เก็บมือข้างขวามาแล้วพลันสะบัดมือซ้าย

พายุลมกรดพัดโหมจนชุดเขียวของเฉินผิงอันสะบัดเสียงดังพึ่บพั่บ

กระแสน้ำไหลรอบผิวกระจกก็ยิ่งไหลย้อนกลับ

หลี่เอ้อร์พูดเช่นนี้ เฉินผิงอันฟังได้เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะนี่มีความคล้ายคลึงกับการสะสมปราณวิญญาณในจวนช่องโพรงที่ผู้ฝึกลมปราณพยายามจะบุกเบิกให้ได้มากที่สุด

สิ่งที่ต้องการนั้นมองดูเหมือนเป็นการช่วงชิงกับคนขอบเขตเดียวกันที่สามารถนั่งทัดเทียมกันได้ แต่ข้ากลับสามารถใช้จำนวนที่มากกว่าเอาชนะจำนวนที่น้อยกว่า หนึ่งกำลังสยบกดสิบกำลัง

หลี่เอ้อร์แยกขาแยกมือตั้งท่าหมัดช้าๆ

สุดท้ายเมื่อตั้งท่าหมัดได้มั่นคงแล้ว หลี่เอ้อร์จึงกล่าวว่า “เท้า มือ ตา ท่า กำลัง ลมปราณ ปณิธาน ในนอกรวมเป็นหนึ่ง นี่ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กที่ผู้ฝึกลมปราณสร้างขึ้น ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเรามีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์อยู่หนึ่งเฮือก ก็คือกองทัพม้าเหล็กหนึ่งกองที่บุกเบิกดินแดน ทว่าผู้ฝึกลมปราณกลับแสวงหาผู้พิทักษ์ดินแดนที่มีคุณความชอบ มีนครยักษ์โอฬาร จัดวางค่ายกลขบวนรบ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เจิ้งต้าเฟิงพูด ข้าคิดคำพูดที่ไพเราะเช่นนี้ไม่ออก”

หลี่เอ้อร์กระทืบเท้าเบาๆ “ขาไม่มีพละกำลังก็คือผีบังตา หากแรกเริ่มของการฝึกวรยุทธแล้วก้าวแรกเดินผิดก็เท่ากับยันต์ผีวาด ไม่ต้องไปคิดถึงขอบเขตที่ ‘พลังชีวิตเปี่ยมล้น คนคือคนสมบูรณ์แบบ’ เลย”

หลี่เอ้อร์ยื่นนิ้วออกมาง่ายๆ งอนิ้วลงเบาๆ ชี้ไปที่ดวงตาทั้งคู่ของตัวเอง “จะฝึกวรยุทธให้เข้าขั้นก็จะต้องฝึกดวงตาทั้งคู่ให้แจ่มกระจ่าง ประเมินศัตรูอยู่ในใจ มองหมัดอยู่ในดวงตา”

เสี้ยววินาทีนั้นเฉินผิงอันก็ถูกสองหมัดต่อยกระแทกลงบนหน้าอก ร่างถอยกรูดปลิวออกไป เขาหมุนตัวอยู่กลางอากาศ สองมือจับพื้น ห้านิ้วงอเป็นตะขอ บนพื้นผิวกระจกถึงขั้นเกิดเป็นประกายไฟสองสาย เฉินผิงอันถึงจะหยุดเรือนกายที่ถอยกรูดเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองตกลงไปในน้ำได้

หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ เอ่ยว่า “หมัดนี้ของข้าไม่หนักและไม่เร็ว แต่เจ้าก็ยังสกัดขวางไว้ไม่อยู่ เป็นเพราะอะไร? เพราะดวงตาและใจของเจ้ายังผ่านการฝึกฝนมาไม่มากพอ ต่อกรกับผู้แข็งแกร่ง ระหว่างเส้นแบ่งแห่งความเป็นความตาย สัญชาตญาณหลายอย่างทั้งสามารถช่วยชีวิต แล้วก็ทั้งทำให้เกิดความผิดพลาดได้ การขยับตัวของข้าเมื่อครู่นี้ ทำให้เจ้าเฉินผิงอันมองนิ้วมือและดวงตาทั้งคู่ของข้าตามจิตใต้สำนึก นี่ก็คือสัญชาตญาณของคนเรา ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันจะระวังมากพอ ก็ยังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง ทว่าเสี้ยวหนึ่งนี้กลับเป็นตัวตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ การเข่นฆ่ากับผู้อื่นตัวต่อตัว ไม่ใช่การท่องเที่ยวตามภูเขาสายน้ำ ไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ใคร่ครวญอย่างละเอียด ขยับเข้าใกล้อีกก้าว ใจถึงแต่มือยังไม่ไปถึง นี่ก็คือโรคใหญ่ของการฝึกวรยุทธเหมือนกัน”

หลี่เอ้อร์พูดมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมองคนอย่างละเอียดมากพอแล้ว แล้วก็ระมัดระวังตัวทุกชั่วขณะมากแล้วใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือปาดคราบเลือดตรงมุมปาก แล้วพยักหน้ารับ

หลี่เอ้อร์กล่าว “นี่ก็คือต้นตอโรคที่ทำให้ปณิธานหมัดของเจ้าเกิดจุดด่างพร้อย เพราะมักจะรู้สึกว่าความสามารถในข้อนี้มีมากพอแล้ว แต่ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ตอนนี้เจ้าน่าจะยังไม่รู้ชัดเจน การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าบนโลก ส่วนใหญ่มักจะตายอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองถนัดที่สุด เพราะอะไร? เพราะหากเป็นข้อเสียก็มักจะระมัดระวังรอบคอบมากขึ้น แต่การออกหมัดคือข้อดี จึงมักจะรู้สึกพึงพอใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้”

ต่อมาหลี่เอ้อร์ก็ตั้งท่าหมัดและท่ามือเริ่มต้นของกระบวนท่าหมัดอีกครั้ง

นั่นก็คือท่าปรับแก้มังกรใหญ่ที่เฉินผิงอันคุ้นเคยที่สุดและท่ากระบวนเทพตีกลองสายฟ้าที่เขาถนัดที่สุด

หลี่เอ้อร์กล่าว “ในตำรายุทธบอกไว้ว่าสามเศียรหกกรก็คือวิชาอภินิหาร นั่นไม่ใช่เรื่องตลกขำขันในหมู่ชาวบ้านอะไร ใต้หล้านี้แบ่งหมัดได้นับร้อยนับพันรูปแบบ มีกระบวนท่าหมัดและท่าเดินวิชาหมัด โครงท่าหมัดคือรากฐาน ท่าเดินคือพื้นฐาน กระบวนท่าหมัดคือภาพลักษณ์ สามรวมเป็นหนึ่ง ก็คือความแตกต่างของประเภทหมัด จึงมีตำราหมัดนับไม่ถ้วนบนโลก เจ้าเดินทางผ่านยุทธภพมาไม่น้อย ก็น่าจะรู้ว่าระหว่างหมู่ชาวบ้านชอบเรียกคนในยุทธภพทั่วไปว่าเป็นพวกนักต่อสู้ ก็ด้วยเหตุผลนี้”

หลี่เอ้อร์ตั้งท่าหมัดที่สอง ปล่อยหมัดออกไปง่ายๆ ก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า เป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเหมือนกัน แต่พอออกมาจากมือของหลี่เอ้อร์ มองดูเหมือนเนิบช้านุ่มนวล แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธาน เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของเฉินผิงอันกลับให้ความรู้สึกว่าแตกต่างกับท่าของตัวเองราวฟ้ากับดิน

หลี่เอ้อร์ปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปอีกหมัด เป็นปณิธานหมัดที่แตกต่างจากเดิมอีกครั้ง กระชั้นรัวราวฟ้าผ่า แล้วเขาก็พลันหยุดหมัด ยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกยุทธรับมือกับศัตรู ขอแค่ขอบเขตไม่ต่างกันมากเกินไป ต่างคนก็ย่อมมีสัจธรรมแห่งหมัดเป็นของตัวเอง กระบวนท่ามีนับพันนับหมื่น และโอกาสที่จะแพ้หรือชนะก็มีนับพันนับหมื่นเช่นกัน เพียงแต่ว่าหากกลายไปเป็นพวกนักต่อสู้ที่แค่เชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัว ก็มีดีแค่หมัดสวยลูกเตะงดงาม ต่อสู้ได้อย่างน่ามองเท่านั้น หมัดกลัวคนหนุ่มแข็งแรง? หมัดที่ต่อยอย่างสะเปะสะปะทำให้อาจารย์แก่ตายได้? อาจารย์แก่ไม่ต้องตั้งท่าหมัดอะไร แค่ปล่อยหมัดออกไปง่ายๆ นักต่อสู้ที่ร้องตะโกนโอ้อวดตนอยู่นานก็ตายแหงแก๋แล้ว”

เฉินผิงอันพลันศีรษะสะบัดเบี่ยงไปด้านข้าง

หลี่เอ้อร์มายืนอยู่ด้านหน้าแล้ว หมัดของขอบเขตสิบปาดผ่านข้างแก้มของเฉินผิงอันไปอย่างหวุดหวิด

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “สอนแล้วก็เข้าใจ เข้าใจแล้วก็ทำตาม ไม่เลวเลย”

นี่ยังคงเป็นหมัดที่ ‘ไม่เร็ว’ แต่พละกำลังกลับไม่น้อย หากเฉินผิงอันหลบไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นการป้อนหมัดของวันนี้ก็คงต้องจบลงตรงนี้ อีกทั้งควรเป็นเขาหลี่เอ้อร์ที่ต้องถ่อเรือกลับ

หลี่เอ้อร์เก็บหมัด แม้เฉินผิงอันจะหลบหมัดที่เดิมทีควรร่วงลงบนหน้าผากอย่างจังมาได้ แต่กระนั้นก็ยังถูกพายุเสี้ยวเล็กถี่ยิบกรีดใบหน้าจนเกิดเป็นรอยเลือดเส้นหนึ่ง เลือดสดไหลหลั่งลงมาไม่หยุด

หลี่เอ้อร์กล่าว “เจ้าเชี่ยวชาญการขโมยเรียนวิชาหมัดของคนอื่น ช่วยป้อนหมัดให้เจ้ามานานขนาดนี้ ไหนเจ้าลองเลียนแบบความหมายของโครงท่าหมัดข้าบ้างสิ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วปล่อยหมัดเลียนแบบหลี่เอ้อร์ไปหนึ่งหมัด

หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ด้านข้าง เดินไปตามการออกหมัดของเฉินผิงอัน คอยชี้แนะข้อด้อยบางส่วนของโครงท่าหมัด ระหว่างทางก็เตะน่องขาเล็กของเฉินผิงอันไปเบาๆ แล้วใช้สองนิ้วที่ประกบงอเคาะลงบนข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่ของเฉินผิงอัน สุดท้ายเอ่ยว่า “อย่าเอาแต่ฝึกโครงท่าอย่างตายตัว ร่างกายของทุกคนมีความแตกต่างกันมากมาย ลำพังเพียงแค่ส่วนสูงของเจ้ากับข้าก็ไม่เหมือนกันแล้ว แม้ว่าเจ้าจงใจจะเปลี่ยนแปลงท่าหมัดไปเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังขาดความหมายอีกมาก กำลังที่ตายตัวไม่มีค่ามากพอ เกณฑ์ที่สูงที่สุดของปณิธานหมัดคือคำว่ามีชีวิต หมัดมีชีวิต ก็เท่ากับว่าเป็นชีวิตที่สองของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเรา เมื่อเทียบกับจิตหยางกายนอกกาย จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงลมปราณเดินทางไกลของผู้ฝึกลมปราณแล้ว ยังสำคัญยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยหมัดอีกรอบ

“ทิศทางถูกต้องแล้ว”

หลี่เอ้อร์พยักหน้า “ฝึกวิชาหมัดไม่ใช่การฝึกตน ต่อให้ขอบเขตของเจ้าจะถูกยกขึ้นสูงแค่ไหน แต่หากไม่ลงมือในจุดที่เล็กละเอียดที่สุด ถ้าอย่างนั้นการทรุดโทรมของเส้นเอ็นและกระดูก การเสื่อมถอยของเลือดลม จิตใจไม่กระปรี้กระเปร่า ล้วนเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งสิ้น หนีไม่พ้นแม้แต่ข้อเดียว นักต่อสู้ล่างภูเขาฝึกวิชาหมัดทำร้ายร่างกายตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาหมัดสายนอกที่เป็นเพียงแค่การเอาชีวิตมาแลกเปลี่ยนกับพละกำลังและลมปราณ วิชาหมัดไม่ถูกเคี่ยวกรำให้ลึกซึ้งถึงแก่น ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจึงได้แต่อาศัยปณิธานหมัดมาหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเอง เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้อธิบายให้ชัดเจนได้ยาก”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เอ้อร์ก็นั่งลงขัดสมาธิ ยื่นมือกวักเรียกให้เฉินผิงอันนั่งลงด้วยกัน

หลี่เอ้อร์เงียบไปพักใหญ่ คล้ายกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจอย่างที่หาได้ยาก “‘ภายนอกการพรรณนาภาพจริง ความหมายของภาพภายนอก’ นี่ก็คือคำกล่าวที่เจิ้งต้าเฟิงกล่าวหลังจากฝึกวิชาหมัดในปีนั้น เขาพร่ำพูดอยู่หลายรอบ ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็จำเอาไว้แล้ว เจ้าก็ลองฟังดูว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ วิธีการเรียนวิชาหมัดของข้ากับเจิ้งต้าเฟิงไม่ค่อยเหมือนกัน และอันที่จริงสัจธรรมแห่งหมัดของพวกเราสองฝ่ายก็ไม่มีสูงต่ำ หากเจ้ามีโอกาส ตอนกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็สามารถพูดคุยกับเขาได้ เจิ้งต้าเฟิงก็แค่มีปณิธานหมัดที่ต่ำกว่าข้า ถึงทำให้ดูเหมือนว่าวิชาหมัดสู้ข้าที่เป็นศิษย์พี่ไม่ได้ ช่วงเวลาหลายปีที่เจิ้งต้าเฟิงเพิ่งจะฝึกเรียนหมัด เขาบ่นอยู่ตลอดว่าอาจารย์ลำเอียง มักจะคิดว่าวิธีการเรียนวิชาหมัดที่อาจารย์เลือกให้พวกเราสองคนนั้น จงใจให้เขาเจิ้งต้าเฟิงเดินช้ากว่าหนึ่งก้าว พอช้าไปก้าวหนึ่ง ทุกก้าวก็ช้าตามไปด้วย ภายหลังอันที่จริงตัวเขาเองก็คิดจนเข้าใจได้กระจ่างแล้ว ก็แค่ว่าปากไม่เคยยอมรับเท่านั้น ดังนั้นข้าถึงรำคาญปากของเขามาก คนคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตู ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ปากกลับไม่มีหูรูด ดังนั้นเวลาที่ต้องประลองฝีมือกัน ข้าจึงมักจะซ้อมเขาไปไม่น้อย”

หลี่เอ้อร์กำสองมือเป็นหมัด ร่างโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย เพียงแค่ท่วงท่าที่เป็นไปโดยความเคยชินนี้ กลับทำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาตั้งตระหง่าน

ล้วนเป็นเพราะปณิธานหมัดทั้งสิ้น

หลี่เอ้อร์เอ่ยเนิบช้า “ฝึกวิชาหมัดได้สำเร็จส่วนเล็ก ยามที่นอนหลับ ปณิธานหมัดจะไหลรินทั่วร่าง ยามเจอศัตรูก็จะตื่นขึ้นมาก่อน เหมือนมีเทพคอยปกป้องคนฝึกหมัด ยามนอนหลับยังเป็นเช่นนี้ นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงตอนตื่นเลย ดังนั้นคนฝึกวรยุทธจะต้องการสมบัติอาคมติดตัวไปทำไม? นี่ก็คือหลักการเดียวกันกับที่ผู้ฝึกกระบี่ไม่ต้องการใช้วัตถุอื่นในการโจมตี”

หลี่เอ้อร์หัวเราะ ต่อยหมัดหนึ่งลงบนผิวกระจกเบาๆ จากนั้นก็คลายหมัดเป็นฝ่ามือ แล้วกำเป็นหมัดหลวมๆ เอ่ยว่า “เหนือหัวคือฟ้าใส ใต้เท้าคือผืนดิน เก็บหมัดเหมือนอุ้มเด็กทารก นี่ก็คือการมีพร้อมทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวล หากเอาแต่แสวงหาความสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว ย่อมไม่ใช่สัจธรรมแห่งหมัดที่แท้จริง นานวันเข้า ยิ่งฝึกหมัดนานเท่าไรก็จะยิ่งสามารถเชื่อมโยงติดต่อ เก็บปล่อยได้ตามใจปรารถนามากเท่านั้น เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้านี้เป็นวิชาหมัดที่ดี? ถึงขั้นสามารถถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาหมัดที่ดีที่สุดในใต้หล้าได้อีกด้วย? เพราะมองดูเหมือนดุร้าย แต่กลับมีความหมายของ ‘คนต่อยหมัด’ ที่แท้จริง ไม่ใช่คนตามหมัด”

เฉินผิงอันรู้สึกกังขาเล็กน้อย แล้วก็สงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าคำถามที่อยู่ในใจไม่เหมาะจะเอ่ยออกมาก็เท่านั้น

เพราะเฉินผิงอันอยากรู้ว่า ในสายตาของหลี่เอ้อร์ ผู้อาวุโสชุยที่อยู่ชั้นสองของภูเขาลั่วพั่วคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นอย่างไร